บทที่ 7 ป่าอสูร
ในเช้าวันที่สามหลังจากถังเฟยหู่ได้ออกเดินทาง บนท้องฟ้าเหนือผืนเมฆอันกว้างใหญ่ ค้างคาวโลกันต์ตัวสีม่วงใหญ่กำลังเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วไปทางทิศตะวันตก บนหลังของค้างคาวนั้นคือชายหนุ่มอายุสิบห้าปีผู้มีดวงตาสีเขียวและขาว เขากำลังนั่งสมาธิอยู่บนหลังของค้างคาวโลกันต์เพื่อฝึกฝนลมปราณของตนเอง
ในหลายวันมานี้การเดินลมปราณของถังเฟยหู่นั้นช่ำชองมากยิ่งขึ้น แต่ระดับพลังฝีมือของตนเองนั้นกลับไม่ค่อยมีการพัฒนาที่เห็นได้ชัดเจนเสียเท่าไหร ถังเฟยหู่ลืมตาตื่นจากภวังขึ้นมามองทิวทัศน์เบื้องหน้า กลับพบเห็นป่าใหญ่กว้างสุดลูกหูลูกตา ราวกับเป็นผืนทะเลสีเขียวที่อยู่บนผืนดิน
“ถึงเสียทีนะ…ป่าอสูร พวกเราลงตรงนี้กันเถอะ” ถังเฟยหู่กล่าวกับทาสอสูรค้างคาวโลกันต์ของตนเอง ซึ่งมันก็ร้องตอบรับคำสั่งของชายหนุ่ม มันได้พานายของตนเองบนหลังร่อนลงตรงชายป่าเบื้องหน้านี้
ถังเฟยหู่ในชุดผ้าสีดำนี้ยืนอยู่เบื้องหน้าป่าใหญ่โต เขาได้เงยหน้ามองต้นไม้สูงเหล่านี้ด้านหน้านี้ เมื่อมองใกล้ๆแล้วก็พบว่าพวกมันนั้นใหญ่โตมากมายกว่าที่คิดไว้นัก เมื่อมองจากมุมสูงบนท้องฟ้าแล้วช่างต่างราวฟ้ากับเหวจริงๆ
ชายหนุ่มหาได้สนใจอะไรอีก เขาได้ก้าวเดินเข้าไปในป่าอสูรโดยไว เพียงเข้าสู่อาณาเขตป่าอสูรเพียงไม่นานก็สามารถสัมผัสได้ถึงบรรยากาศซึ่งแตกต่างกันมากนักจากเมืองฟูเจี้ยนที่ตนจากมา พลังวิญญาณในที่แห่งนี้เหมาะแก่การฝึกตนและพัฒนาจิตวิญญาณยิ่งนัก หากเทียบกันแล้วนั้น ที่นี่นับว่ามีความหนาแน่นของพลังวิญญาณมากกว่า ถังเฟยหู่เดินลึกเข้าไปในป่าเรื่อยๆก็มักจะเจอกับสมุนไพรชนิดต่างๆมากมาย เมื่อเจอต้นไหนที่พอจะนำมาใช้ประโยชน์ได้ ตนเองก็นำมันใส่ในห่อผ้าเบื้องหลังไปด้วย ทั้งยังเจอสัตว์ป่ามากมาย แต่พวกมันนั้นไม่ได้สร้างปัญหาอันใดให้แก่เขามากมายนัก อาจจะเป็นเพราะตรงนี้ยังเป็นป่าชั้นนอกอยู่ จึงไม่มีอันตรายใดๆ
แต่ตัวของชายหนุ่มเองก็ไม่ได้ประมาท เพราะทุกย่างก้าวในป่าอสูรเท่ากับหย่อนขาตัวเองข้างนึงไปยังนรก ทุกอย่างก้าวอาจหมายถึงความตายได้ ดวงตาที่เหลือเพียงหนึ่งข้างของเขาพยายามสอดส่องไปทั่วเพื่อระวังภัยตลอด
ถังเฟยหู่ได้เดินเข้ามาจากชายป่าได้ไกลหลายลี้แล้ว สำหรับร่างกายของผู้ฝึกยุทธ์แล้วย่อมแข็งแรงกว่าคนธรรมดาสามัญมากนัก การเดินเท้าในระยะทางเพียงเท่านี้ไม่นับเป็นอันใด เขาได้เดินมาถึงภูเขาหินประหลาดต่ำเตี้ยแห่งหนึ่งในตอนเย็นวันนั้น ภูเขาหินต่ำเตี้ยนี้มีความสูงเพียงสามวาเท่านั้น อีกทั้งยังมีรากไม้ขึ้นปกคลุม
“เอ๊ะ…นั่นมัน..ถ้ำเหรอ?”
เมื่อสังเกตดีๆแล้วชายหนุ่มกลับพบว่าที่แท้ภูเขาหินนี้คือถ้ำแห่งหนึ่งซึ่งมีรากไม้ช่วยบดบังทัศนวิสัยเอาไว้ เป็นที่เหมาะแก่การพักอาศัยและซ่อนตัว พอดีกับตอนนี้ก็ใกล้จะค่ำมืดแล้ว ชายหนุ่มก็ต้องการหาที่พักอาศัยพอดี แต่ไม่ทราบว่าที่หลบภัยที่ดีเยี่ยงนี้จะมีสัตว์อสูรตนไหนครอบคลองไว้หรือไม่
ถังเฟยหู่เรียกเข็มดำออกจากจากปลอกแขนอสูรหมื่นเข็มมาถือไว้ในมือหนึ่งเล่มจากนั้นจึงปลดปล่อยปราณห้าพิษเข้าสู่เข็มดำ เขามองไปยังความมืดเบื้องหลังรากไม้ซึ่งเป็นถ้ำที่ถูกซ่อนไว้อย่างดีจากนั้นจึงได้ซัดเข็มอาบพิษนั้นพุ่งเข้าไปภายในความมืดของถ้ำนั้น เข็มดำพุ่งเข้าไปปักในผนังถ้ำนั้นอย่างเงียบเชียบ ในครั้งนี้นั้นเป็นเพียงการซัดอาวุธลับธรรมดาหาได้ใช้วิชาเพิ่มพลังทำลายให้อาวุธอย่างเข็มทิพย์ดอกเหมย เมื่อเข็มนั้นได้พุ่งไปปักยังผนังของถ้ำแล้วมันก็ได้ปลดปล่อยปราณพิษพวยพุ่งออกมาจากเข็มจนตลบอบอวลไปด้วยปราณพิษสีเขียวเข้มทั่วทั้งถ้ำ ภายในถ้ำนั้นเจ้าของที่แท้จริงเมื่อสัมผัสได้กับสิ่งที่เป็นอันตรายมันก็โกรธเป็นอย่างมาก ดวงตาสีแดงเข้มที่เต็มไปด้วยความโกรธของมันแทบจะมีเปลวไฟพวยพุ่งออกมาอยู่รอมร่อ
โฮกกกก
เงาดำพร้อมกับเสียงขู่คำรามพุ่งออกมาจากถ้ำหินตรงหน้าของถังเฟยหู่ มันได้ปรากฎโฉมของมันออกมา ร่างกายของมันเต็มไปด้วยขนหยาบหนาสีเงินดุจเหล็กกล้า ทั้งแขนและขาที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามหนา สัตว์อสูรตัวใหญ่นี้คือหมีขนเหล็ก สัตว์อสูรซึ่งมีพลังระดับสอง ถึงแม้หมีขนเหล็กจะมีพลังระดับสองก็ตาม แต่เพราะความที่มันเป็นสัตว์อสูรที่เต็มไปด้วยความดุร้ายและบ้าเลือดจึงทำให้มันรับมือยากมากนัก
ถังเฟยหู่ปลดปล่อยละอองปราณสีเขียวออกมาจากนั้นจึงได้เรียกอสรพิษมรกตออกมาที่เบื้องหน้าของตนเอง ร่างกายตัวน้อยของมันเมื่ออยู่ต่อหน้าหมีขนเหล็กตัวใหญ่ราวกับพยายามจะใช้ไม้ซุงมางัดเขาไท่ซาน เจ้างูตัวน้อยนั้นดูตัวสั่นแปลกๆราวกับกลัวเจ้าสัตว์อสูรดุร้ายเบื้องหน้า แต่มันก็ไม่สามารถถอยหนีได้เพราะถังเฟยหู่ผู้เป็นนายมันนั้นต้องการที่จะต่อสู้
เขาต้องการที่จะฝึกฝนหาประสบการณ์ต่อสู้ วิชาที่มีพลังมากที่สุดของเขาคือเข็มทิพย์ดอกเหมยซึ่งเหมาะแก่การใช้โจมตีในระยะไกลเพื่อสนับสนุนเสียมากกว่า ในตอนนี้พลังของเขาในทุกๆด้านนับว่าพัฒนาขึ้นแล้ว ขาดก็เพียงแต่จิตวิญญาณงูน้อยของตนเท่านั้นที่ยังไม่มีการพัฒนาขึ้นเลย การที่ให้มันไปต่อสู้นับว่าเป็นวิธีการพัฒนาที่ช้ากว่าแบบการให้จิตวิญญาณกลืนกินวัตถุดิบต่างๆเช่นผลึกอสูรอย่างที่คนทั่วไปมักจะทำกัน แต่เขานั้นไม่มีเงินทองเหลือมากพอที่จะใช้ซื้อของแบบนั้น ถึงจะมีเงินเขาก็คงนำไปซื้อยาให้มารดาตนเองเสียมากกว่า
ถังเฟยหู่ใช้จิตสั่งการอสรพิษมรกตให้จู่โจมหมีขนเหล็กในทันที แต่มันเองก็หาได้อยู่เฉยให้อสรพิษมรกตเล่นงานมัน มันใช้อุ้งตีนของมันตะปบไปยังอสรพิษด้วยความโกรธ อสรพิษมรกตใช้ความเร็วที่เหนือกว่าหลบไปอย่างรวดเร็ว เลื้อยหลบอ้อมไปอีกทางเพื่อไปยังจุดบอดซึ่งหมีขนเหล็กมองตัวมันไม่เห็น อสรพิษมรกตเลื้อยพันรอบขาหลังของหมีขนเหล็กจากนั้นมันก็ฉกไปยังขาข้างนั้นของมัน ผิวหนังของหมีขนเหล็กนับว่าหนามาก เขี้ยวของงูตัวน้อยนับว่ายังน้อยไปที่จะใช้จู่โจม เขี้ยวของมันทะลุเข้าไปเพียงถากๆ แต่พิษของมันนับว่ายังส่งผลอยู่บ้าง ถึงแม้จะไม่ทำให้ถึงตายแต่มันก็ทำให้หมีขนเหล็กเจ็บปวดและใช้งานขาข้างนั้นได้ลำบาก
หมีขนเหล็กพยายามยืนขึ้นด้วยขาเพียงข้างเดียว มันยิ่งโกรธเพราะความเจ็บปวดและยิ่งบ้าเลือดมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม มันใช้เล็บอันแหลมคมของตัวเองตะปบไปที่ขาข้างที่โดนอสรพิษรัดไว้ มันตั้งใจจะตัดทิ้งทั้งขาของมันและหัวของอสรพิษไปพร้อมๆกัน
“ฝันไปเถอะ!”
เข็มทิพย์ดอกเหมย หนึ่งเข็มทะลวงฟ้า
ถังเฟยหู่เห็นดังนั้นจึงรีบเข้าขัดขวางทันที เขาซัดเข็มดำเข้าไปปะทะกับอุ้งตีนของหมีขนเหล็กนั้นเพื่อขัดขวาง เมื่อเข็มดำเข้าปะทะกับอุ้งตีนของหมีขนเหล็กด้วยความแรงของเข็มดำจนทำให้แขนของมันถึงกับกระเด็นไป ขัดขวางจังหวะโจมตีของหมีขนเหล็กได้ทันกาล อสรพิษมรกตเองก็รีบคลายด้วยแล้วหลบฉากออกมาในทันที
แขนข้างที่โดนโจมตีของหมีเหล็กเองก็ทะลุเป็นรู เลือดสีดำเพราะโดนพิษก็ไหลออกมาเป็นทางเพราะเข็มดำและปราณพิษ และด้วยความแรงของการปะทะจึงทำให้แขนข้างนั้นถึงกับหักไป ทั้งขาอีกหนึ่งข้างยังใช้การแทบไม่ได้
อสรพิษมรกตรีบพุ่งเข้าโจมตีอีกคำรบหนึ่ง แต่หมีขนเหล็กนั้นเองก็ได้ตอบโต้กลับมา มันใช้แขนข้างที่เหลือพยายามโจมตีให้โดน แต่อสรพิษน้อยนั้นตัวเล็กจนเกินไปที่จะโจมตีให้โดน อีกทั้งความเร็วยังเหนือกว่ามาก ถังเฟยหู่เองก็หาได้อยู่เฉย เขาพยายามหาจังหวะที่จะโจมตีหมีขนเหล็กอยู่ตลอดเวลา หากเมื่อใดที่อสรพิษของเขาใกล้จะพลาดท่าเสียทีเมื่อไหร เขาก็จะใช้เข็มดำจู่โจมเพื่อสร้างจังหวะให้มันหนีรอดไปได้ เป็นเช่นนี้อยู่นานหลายชั่วโมง หมีขนเหล็กกลายเป็นของเล่นภายในมือของคนและงูทั้งสองเพื่อใช้ฝึกฝน จนในที่สุดหมีขนเหล็กเองก็ทนบาดแผลไม่ไหวแล้วก็ตายไปจนได้ ชายหนุ่มเรียกเก็บอสรพิษมรกตกลับมายังห้วงวิญญาณของตนก่อนจะเดินไปยังซากศพของหมีขนเหล็กตัวนั้น เขามองมันพร้อมกับคบคิดไปด้วยภายในใจ ความจริงแล้วบัณฑิตผู้ได้ร่ำเรียนหนังสือมาเช่นเขาไม่สมควรพรากชีวิตของผู้ใดหรือของสิ่งใดอย่างเลือดเย็นโดยไม่รู้สึกอะไรเช่นนี้ ถังเฟยหู่ได้เพียงแต่ถอนหายใจแล้วยอมรับตัวตนของตัวเองในตอนนี้ ตัวตนของเขาได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว เพื่อมารดาของตน ต่อให้กลายเป็นอสูรปีศาจเขาก็ยอม!
ถังเฟยหู่ลากซากศพของหมีขนเหล็กหลบเข้าไปภายในถ้ำที่อยู่เบื้องหน้า ตอนนี้นั้นใกล้มืดค่ำเต็มทีแล้ว ชายหนุ่มได้ปลดปล่อยอาวุธจิตวิญญาณของตนให้กลับสู่สภาพเดิม กลายเป็นอสูรทมิฬยืนอยู่เคียงข้างกันภายในถ้ำมืด แสงจากไฟวิญญาณในดวงตาของอสูรทมิฬให้แสงสว่างลี้ลับภายในถ้ำเล็กๆแห่งนี้
เขาหยิบมีดพกออกมาจากนั้นจึงเริ่มทำการชำแระซากศพหมีขนเหล็กตัวนั้น เขาได้เริ่มถลกหนังมันออกมาเป็นอย่างแรก เพราะขนของหมีขนเหล็กนั้นเป็นของที่มีค่ามาก สามารถขายได้ราคาดี ชายหนุ่มจัดการทำให้มันสะอาดเสีย จากนั้นจึงเก็บไปยังห่อผ้าของตัวเอง ถังเฟยหู่ชำแระไปเรื่อยๆจนถึงหัวใจของหมีขนเหล็ก เขาได้ผ่าลงไปและพบเข้ากับผลึกอสูรระดับสอง เขาได้เรียกจิตวิญญาณอสรพิษมรกตออกมาอีกครั้ง จากนั้นจึงสั่งให้มันนั้นกลืนกินผลึกอสูรนี้เข้าไป อสรพิษนั้นอ้าปากออกและเริ่มดูดกลืนพลังวิญญาณของผลึกอสูร ละอองแสงสีขาวจำนวนมากพวยพุ่งออกจากผลึกอสูรตรงเข้าสู่ปากของมัน
หลังจากดูดกลืนพลังทั้งหมดไปแล้ว อสรพิษมรกตก็มีขนาดตัวที่ใหญ่มากขึ้นกว่าเดิมจนตอนนี้ขนาดของมันใหญ่พอๆกับลำแขนของคนแล้วในตอนนี้ จากนั้นมันจึงเลื้อยกลับมาคลอเคลียกับถังเฟยหู่และพันอยู่รอบคอของเขาอย่างสงบ
ถังเฟยหู่เรียกค้างคาวโลกันต์ออกมาแต่ดูเหมือนว่ามันจะคับแคบเกินไปสำหรับถ้ำเล็กๆแห่งนี้ เขาได้มอบเนื้อที่เหลือของหมีขนเหล็กให้แก่ค้างคาวโลกันต์นั้นกิน มันได้กินเนื้อทั้งหมดด้วยความรวดเร็วจากนั้นจึงสลายกลับเข้าสู่ห้วงวิญญาณอีกครั้ง เท่านี้ก็นับว่าไม่เสียของแล้ว บนพื้นถ้ำนั้นหลงเหลือซากกระดูกกระจายอยู่พร้อมทั้งคราบเลือดเล็กน้อย ชายหนุ่มได้นั่งลงตรงมุมหนึ่งของถ้ำจากนั้นจึงเริ่มทำการฝึกฝนพัฒนาลมปราณของตนอีกครั้ง ภายในสภาวะเช่นป่าอสูรนับว่าอำนวยประโยชน์แก่การฝึกฝนมากกว่าในเมืองยิ่งนัก ทุกห้วงลมหายใจนั้นพลังวิญญาณที่มากมายได้ไหลเข้าสู่เส้นชีพจรลมปราณ ไหลเวียนไปทั่วร่างก่อนจะค่อยๆสะสมไปยังตันเถียนของเขา
ปราณสีแดงลอยขึ้นจากผิวกายของถังเฟยหู่คละคลุ้งจนเต็มถ้ำไปหมด ถึงแม้การฝึกฝนที่ป่าอสูรนี้จะรวดเร็วกว่าที่บ้านของตนแต่ก็ยังช้าไปสำหรับการประลองในอีกสิบเดือนข้างหน้า แค่ปราณขั้นสองของตนนั้นยังชนะคนในตระกูลไม่ได้เสียด้วยซ้ำไป
“ช่างเถอะ…เรื่องในวันหน้าค่อยว่ากันอีกที ในตอนนี้สิ่งที่ควรทำก็คือเร่งรีบฝึกฝนให้ทัดเทียมผู้อื่นโดยไว….” ถังเฟยหู่หลับตาและเร่งฝึกฝนต่อไป
ในยามฟ้าสางของอีกวันหนึ่ง ถังเฟยหู่แปลงอสูรทมิฬกลับเป็นปลอกแขนอีกครั้งแต่ไม่ได้เก็บอสรพิษมรกตกลับเข้าสู่ห้วงวิญญาณ เพราะจากตรงนี้ไปยิ่งลึกเข้าไปในป่ามากขึ้นก็ยิ่งพบอันตรายมากกว่าเดิม อสรพิษมรกตเองก็เติบโตขึ้นมากกว่าเดิมมากนัก หาได้เป็นจิตวิญญาณงูน้อยเฉกเช่นเดิม ถึงแม้ภาพรวมจะดูแข็งแกร่งขึ้นมากแต่มันก็ยังคงอยู่เพียงระดับหนึ่งเท่านั้น หากได้ผลึกอสูรระดับสองอีกสักหลายก้อนหน่อยอาจจะทำให้จิตวิญญาณของเขาพัฒนาขึ้นก็ได้
ถังเฟยหู่เดินทางอย่างต่อเนื้องเข้าไปเป็นระยะทางหลายลี้ หนทางหาได้เรียบง่ายมากนัก ต้องพบเจออุปสรรคตลอดทางไม่ว่าจะเป็นสัตว์อสูรทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นหมาป่าแดงซึ่งมีระดับเพียงหนึ่งแต่พวกมันมักจะออกล่าเป็นฝูงทำให้การต่อสู้ของเขาร่วมกับอสรพิษมรกตลำบากไปบ้าง แต่ในที่สุดก็สามารถจัดการพวกมันจนหมดสิ้นทั้งฝูง หรือแม้แต่แมงป่องม่วงซึ่งเป็นสัตว์อสูรระดับสองเช่นเดียวกับหมีขนเหล็ก
เข็มทิพย์ดอกเหมย ดอกไม้แดงเริงระบำ
ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!
เข็มดำทั้งหกเล่มกระแทกเข้ากับเปลือกสีม่วงแข็งของแมงป่องอย่างแรงจนเปลือกของมันร้าวไปจนหมด กลีบดอกไม้แดงจากมายาปราณปลิวไสวไปทั่วทั้งป่า แมงป่องม่วงร้องโหยหวนอย่างเจ็บปวด มันใช้หางเหล็กแหลมของมันพยายามโจมตีอสรพิษมรกตที่เลื้อยหลบไปมาอยู่รอบๆมันอย่างบ้าคลั่ง ถังเฟยหู่ซึ่งลอบโจมตีอยู่ห่างๆก็สังเกตสถานะการณ์ต่างๆได้อย่างเฉียบขาดมากขึ้นในทุกครั้งที่ต่อสู้ ประสบการณ์ที่มากขึ้นทำให้ความสามารถโดยรวมของเขามากขึ้นตามตัวไปด้วย
ในโลกที่ระดับของพลังจิตวิญญาณเป็นตัวตัดสินผู้คน การฝึกฝนและเพิ่มความสามารถของจิตวิญญาณเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ อสรพิษมรกตในตอนนี้ตัวใหญ่ขึ้นอีกส่วนหนึ่งหลังจากกลืนผลึกอสูรของหมาป่าแดงไปเป็นจำนวนมาก
เข็มทิพย์ดอกเหมย ด้ายแดงชิงใจ
ในจังหวะที่แมงป่องม่วงเผลอ ถังเฟยหู่ซัดเข็มแปดเล่มออกไปโดยครั้งนี้มันต่างออกไปจากเดิมมากนัก เพราะครั้งนี้เขาได้ใช้วิชาขั้นสี่ของเข็มทิพย์ดอกเหมยซึ่งตนเองพึ่งจะสำเร็จหลังจากที่ใช้วิชานี้ในการต่อสู้จริง การต่อสู้ที่มีชีวิตเป็นเดิมพันนั้นเหนือกว่าการฝึกซ้อมในสวนหลังบ้านเป็นไหนๆ เพียงแค่ไม่นานก็บรรลุขั้นที่สี่แล้ว ด้ายปราณสีแดงจากนิ้วมือของเขาได้ติดปลายเข็มออกไปด้วยระหว่างการซัดอาวุธในครั้งนี้ เข็มทั้งแปดเล่มซึ่งมีด้ายปราณติดอยู่ที่ปลายวิ่งวนไปในทิศทางที่แปลกประหลาด มันหมุนวนไปรอบหางของแมงป่องม่วงหลายรอบก่อนมันจะพุ่งลงไปปักยังพื้นดินด้านข้าง! ด้ายแดงนี้มีควันปราณสีเขียวเข้มของปราณห้าพิษลอยออกมาด้วย
วิชาด้ายแดงชิงใจนั้นจะสร้างด้ายปราณออกมาเพื่อใช้พันธนาการเป้าหมายหรือแม้แต่โจมตี ด้ายปราณนี้ของถังเฟยหู่กลับสร้างจากปราณห้าพิษ โดยทั่วไปแล้วอาจทำให้คู่ต่อสู้โดนพิษจนถึงตายเลยก็ได้ แต่ครั้งนี้นับว่าไม่ส่งผลเท่าใดนักเพราะแมงป่องม่วงเองก็เป็นสัตว์อสูรซึ่งมีพิษเช่นกัน ถึงแม้ว่าพิษที่ใช้ในการฝึกปราณห้าพิษของถังเฟยหู่จะร้ายแรงมากก็ตาม แต่ปริมาณและความเข้มข้นที่ชายหนุ่มใช้ได้จะแปรผันไปตามพลังปราณ แค่พลังขั้นหนึ่งที่เขามียังนับว่าน้อยไป
ฟ่อออ
อสรพิษมรกตเล็งเห็นจังหวะก็รีบโจมตีใส่ทันที ปราณพิษสีเขียวใสซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของจิตวิญญาณรูปแบบอสรพิษมรกตห่อหุ้มรอบตัวของมันและหมุนวนอย่างรุนแรง อสรพิษพุ่งตัวเข้าใส่เปลือกที่แตกร้าวของแมงป่องอย่างรุนแรงและรวดเร็วเสียจนแมงป่องม่วงไม่อาจต้านทานได้ทัน ร่างกายสีเขียวของอสรพิษมรกตเมื่อรวมเข้ากับปราณพิษสีเขียวก็ราวกับกลายเป็นหอกซึ่งพุ่งจู่โจมเข้าใส่จุดอ่อนบนร่างกายของแมงป่องม่วงซึ่งถูกทำลายจนแตกร้าวไปหมดสิ้น หอกสีเขียวนี้ได้พุ่งทะลุเข้าไปจนถึงหัวใจของแมงป่องม่วงและทำลายมันลงในครั้งเดียว แมงป่องม่วงกรี๊ดร้องโหยหวนเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะสิ้นใจอยู่ตรงนั้น ถังเฟยหู่เองก็ปลดด้ายปราณที่พันธนาการไว้อยู่ออกไป ชายหนุ่มจัดการนำอสรพิษมรกตกลับสู่ห้วงวิญญาณเพื่อให้มันได้พักผ่อนและรักษาบาดแผลของตนเอง
เขาเดินเข้าไปสู่ซากศพของมันทำการผ่าชำแระเพื่อนำเอาของที่เป็นประโยชน์ออกมา เปลือกบางส่วนที่ยังอยู่ในสภาพดีได้ถูกลอกออกมาและเก็บไว้ในห่อผ้าด้านหลัง ผลึกอสูรระดับสองเองก็ถูกเก็บไว้ในห่อผ้าเช่นกัน ส่วนอวัยวะที่สำคัญที่สุดซึ่งชายหนุ่มต้องการในครั้งนี้คือถุงพิษของแมงป่องม่วง มันเป็นถุงขนาดพอๆกับศีรษะมนุษย์ ภายในบรรจุไว้ด้วยของเหลวสีม่วงเข้มซึ่งมีเหลืออยู่ภายในถุงนั้นประมาณสองในสามส่วน อาจจะเป็นเพราะการต่อสู้เมื่อครู่นี้ที่ทำให้มันใช้พิษไปแล้วส่วนหนึ่ง จึงทำให้วัตถุดิบชั้นดีเช่นนี้หายไปอย่างเปล่าประโยชน์เสียจริง
ถังเฟยหู่ยิ้มอย่างมีความสุขเมื่อเห็นถุงพิษนั้นในมือของตน เขาได้เริ่มออกเดินอีกครั้งโดยครั้งนี้เขาได้ตามหาที่สำหรับไว้พักค้างแรมในเวลากลางคืน นี่ก็ใกล้จะมืดค่ำแล้ว การเดินทางในป่าอสูรในช่วงเวลากลางคืนนับว่าอันตรายกว่ากลางวันหลายเท่านัก
เขาออกเดินไปไม่นานนักก็ได้พบเจอกับที่เหมาะสมแก่การพักแรม ด้านหน้าของเขาคือซากต้นไม้ใหญ่ซึ่งตายไปนานแล้ว ใจกลางของซากต้นไม้นี้กลวงโบ๋ด้านใน สามารถใช้เป็นที่พักค้างแรมได้อย่างดี ถังเฟยหู่เรียกค้างคาวโลกันต์ออกมาให้มันอยู่ในโพรงไม้กับตัวเขาด้วย เขาได้สั่งการให้มันใช้ปีกของตัวมันครอบคลุมตัวของเขาภายในโพรงไม้ไว้ ใช้ร่างกายของค้างคาวโลกันต์ที่กลมกลืนไปกับความมืดยามราตรีเพื่อปกปิดตัวตนของตัวเองไว้ นอกจากป้องกันสัตว์อสูรแล้วยังใช้เพื่อป้องกันสิ่งที่อันตรายยิ่งกว่าภายในป่าอสูรแห่งนี้ ซึ่งก็คือเหล่ามนุษย์ที่มาฝึกฝนในป่านี้ ในสังคมที่พลังคือตัวตัดสินทุกอย่าง เขาไม่อาจไว้ใจใครก็ได้ง่ายๆ พลาดเพียงก้าวเดียวอาจหมายถึงความตายของตน และไม่ใช่เพียงชีวิตของตนเองเท่านั้น หากตนเองต้องตายที่นี่ ชีวิตของมารดาตนก็คงต้องจบสิ้นลงไปด้วย
เมื่อดวงตะวันหายลับไป จันทราก็ขึ้นมาแทนที่บนฟากฟ้า แต่เพราะต้นไม้ที่หนาทึบของป่าอสูรจึงทำให้แสงจันทร์ที่สาดส่องลงมานั้นมีเพียงน้อยนิด ภายในป่าจึงดูมืดมิดมากเป็นพิเศษ ทำให้ซากต้นไม้ที่ถังเฟยหู่และค้างคาวโลกันต์อยู่นั้นกลายเป็นที่ซ่อนตัวอย่างดีเลยทีเดียว
ถังเฟยหู่นำถุงพิษของแมงป่องม่วงออกมาจากถุงผ้าจากนั้นจึงทำการกัดมันและดูดกลืนพิษทั้งหมดภายในถุงเข้าสู่ร่างกายของตนเองในทันที แม้พิษแมงป่องม่วงจะสู้ห้าพิษที่เคยได้รับมาไม่ได้นั้น แต่มันก็ยังสามารถหล่อเลี้ยงชีพจรพิษและลมปราณห้าพิษให้มีพลังมากขึ้นกว่าเดิมได้ พิษสีม่วงได้ไหลไปตามหลอดอาหารและดูดซึมเข้าสู่ร่างกายของเขาอย่างรวดเร็ว พิษนั้นเข้าสู่เส้นลมปราณและถูกดูดซึมโดยชีพจรทั่วทั้งร่าง พลังปราณห้าพิษของเขานับว่าพัฒนาขึ้นบ้างแล้ว ปราณห้าพิษวิ่งพลุ่งพล่านไปทั่วทั้งร่างกายเพราะถูกกระตุ้นโดยพิษของแมงป่องม่วง ปราณจำนวนมากถูกสะสมไว้ภายในตันเถียนอย่างต่อเนื่อง เป็นเช่นนี้อยู่หลายชั่วโมงจนถึงยามรุ่งสางของวันใหม่
ตู้มม!
เสียงสนั่นเลือนลั่นจากภายในกายของถังเฟยหู่ ลมปราณที่พุ่งพล่านเพราะพิษแมงป่องได้สงบลงแล้ว พลังปราณในร่างของเขาตอนนี้นับว่าแข็งแกร่งกว่าเดิมแล้ว จากที่พยายามมาหลายวัน ในที่สุดก็สามารถข้ามสู่ระดับใหม่ด้วยพิษแมงป่อง
ปราณขั้นสองระดับต่ำ