บทที่ 6 อาวุธจิตวิญญาณ
ถังเฟยหู่นำอาวุธจิตวิญญาณที่พึ่งสร้างเสร็จออกมาดู มันเป็นตราหกเหลี่ยมสีดำซึ่งมีลายละเอียดมากมายบนนั้น ถ้าหากสามารถมองทะลุแผ่นโลหะนั้นเข้าไปด้านในได้ละก็ คงจะสามารถเห็นวงจรพลังที่ซับซ้อนมากมายอยู่ในนั้น
ชายหนุ่มปลดปล่อยพลังปราณแล้วเรียกจิตวิญญาณอสรพิษมรกตและอสูรทมิฬของตนออกมา เขากำลังใช้ความคิดเพื่อตัดสินว่าจะให้ตัวไหนนั้นกลืนกินอาวุธวิญญาณนี้เข้าไปดี อาวุธนี้ควรจะเป็นไพ่ตายของเขาเพื่อใช้ในยามคับขันและตัดสินเป็นตาย
เมื่อเห็นดังนั้นเขาจึงตัดสินใจได้ ชายหนุ่มจัดการซัดตราหกเหลี่ยมนั้นไปทางอสูรทมิฬในทันที ซึ่งอสูรทมิฬเองก็แววตาที่เป็นเปลวเพลงก็เจิดจ้าขึ้น มันอ้าปากและกลืนตราหกเหลี่ยมสีดำนั้นไปในทันที
ฟูววว
ควันดำหมุนวนไปรอบตัวของอสูรทมิฬด้วยความตื่นเต้นคึกคักก่อนที่จะสงบลงในเวลาไม่นาน ชายหนุ่มเองก็ลองสั่งการให้อสูรทมิฬแปรเปลี่ยนเป็นอาวุธจิตวิญญาณ อสูรทมิฬสลายกลายเป็นควันสีดำก่อนที่ควันดำนั้นจะมาหมุนวนอยู่รอบแขนทั้งสองข้างของชายหนุ่มไปมาอย่างรวดเร็วดุจพายุ
ควันปราณสีดำค่อยๆก่อรูปร่างบนท่อนแขนทั้งสองข้างของชายหนุ่ม โลหะสีดำค่อยๆเกาะอยู่บนแล้วหล่อหลอมกันเป็นรูปร่างเกราะแขนอย่างเบาที่เรียบเนียนไปกับท่อนแขน ลวดลายบนเกราะแขนนั้นเป็นลายเกล็ดซึ่งมองไปแล้วราวกับเป็นหนังงูสีดำ บนหลังฝ่ามือของเกราะแขนเป็นศีรษะของปีศาจ และเมื่อหงายมือมาดูนั้นจะสามารถเห็นรูเล็กๆจำนวนมากใกล้กับข้อมือ หากไม่สังเกตดีๆแล้วละก็คงไม่มีใครสังเกตเห็นปลอกแขนนี้อย่างแน่นอน เป็นอาวุธซึ่งซ่อนไว้ในแขนเสื้ออย่างแท้จริง
และนี่ก็คืออาวุธจิตวิญญาณผลงานความร่วมมือของจางฟางจิ้งและถังเฟยหู่ นามของมันก็คือปลอกแขนอสูรหมื่นเข็ม! ถังเฟยหู่เก็บอสรพิษมรกตกลับมาก่อนที่จะทดลองอาวุธใหม่ของตน
ชายหนุ่มปลดปล่อยปราณของตัวเองใส่ลงไปในอาวุธเพื่อเรียกใช้รูปแบบพลังของมัน ภายในปลอกแขนนั้นเรียกใช้รูปแบบพลังหลากหลายและสร้างเข็มดำขึ้นภายในชั่วพริบตา แม้จะสร้างขึ้นมาได้ในชั่วพริบตาแต่ความจริงแล้วใช้รูปแบบพลังมากมายทั้งรูปแบบสำหรับหล่อหลอม สร้างสรรค์ ขึ้นรูป แปรรูป ทั้งยังมีรูปแบบการวางวงจรซ้อนไว้ภายใน ซึ่งสิ่งนั้นคือเมื่อสร้างเข็มดำเสร็จสิ้นแล้วนั้น วงจรอีกหลากหลายวงจรจะทำงานร่วมกันเพื่อลงรูปแบบวงจรเล็กๆไว้อีกในเข็มดำอันเล็กนี้ ภายในคือรูปแบบกักเก็บพลังซึ่งจะทำให้สามารถถ่ายทอดปราณลงสู่เข็มดำได้มากขึ้น อีกทั้งยังทำให้สังเกตพลังปราณได้ยากอีกด้วย โดนปกติเข็มทิพย์ดอกเหมยหากใช้กับผู้มีไหวพริบเก่งกาจอาจสังเกตทิศทางได้ ยากแก่การลอบโจมตี แต่เหมาะแก่การโจมตีฉับพลันโดยไม่ให้อีกฝ่ายไหวตัวทัน แต่หากใช่เข็มดำนี้ละก็ เข็มทิพย์ดอกเหมยนั้นยังมีพลังทำลายเช่นเดิมแต่ปราณที่เล็ดลอดออกมาจากเข็มนั้นน้อยจนแทบไม่สังเกตเห็น ถ้าใช้ร่วมกับปราณห้าพิษจะกลายเป็นสุดยอดอาวุธลอบสังหารเลยทีเดียว เข็มดำนั้นใช้เวลาเพียงพริบตาเดียวในการสร้างและยังมีกลไกที่สามารถเก็บเข็มไว้ภายในปลอกแขนห้าพันเล็ม รวมทั้งสองข้างแล้วมีนับหมื่นเล่ม เรียกว่าใช้ได้แทบไม่มีหมด
หลังจากถังเฟยหู่ลองสร้างเข็มดำจากภายในปลอกแขนแล้ว มันก็ได้พุ่งออกมาจากรูบนข้อมือของปลอกแขนและเข้าสู่มือของชายหนุ่มในทันที ซึ่งชายหนุ่มเองก็จับไว้ได้ในทัน ถังเฟยหู่ทดลองซัดใส่กำแพงห้องของตนเองโดยไม่ใช้ปราณใดๆเข้าช่วย
ฟุบ!
เข็มดำปักเข้าไปในผนัง จมหายเข้าไปและทะลุออกสู่ภายนอก ก่อนเข็มนั้นจะไปปักอยู่บนต้นไม้นอกบ้าน เหลือเชื่อยิ่งนัก! ขนาดยังไม่ใช้ปราณใดๆยังสามารถทำได้ขนาดนี้ เหล็กดำช่างเป็นวัตถุดิบที่ร้ายกาจสมชื่อของมันจริงๆ! นี่คงใกล้ได้เวลาที่เขาจะได้ไปฝึกฝนในป่าอสูรดั่งที่หวังไว้สักที
ถังเฟยหู่ได้ไปที่ห้องทำงานของตาตนเองและเริ่มปรุงเม็ดยาจำนวนมากจากสมุนไพรที่ซื้อมาจากในเมือง หลังจากเสร็จสิ้นทั้งหมดก็จัดการบรรจุเม็ดยาทั้งหมดลงในขวด ถึงแม้เม็ดยาจะมีนับร้อยแต่ด้วยขนาดที่เล็กของยาพวกนี้จึงทำให้วามารถบรรจุลงในขวดยาจำนวนสามขวดได้ ชายหนุ่มเก็บขวดยาทั้งสามลงภายในอกเสื้อของตนอีกครั้งก่อนจะไปฝึกซ้อมกระบวนท่าต่างๆที่ได้เรียนรู้มาจากหอตำราเพื่อเตรียมความพร้อมให้มากที่สุดก่อนจะได้เข้าสู่ป่าอสูร
ชายหนุ่มเองก็ยังฝึกฝนลมปราณอำมหิตและลมปราณห้าพิษควบคู่กับกระบวนท่าต่างๆไปด้วยเช่นกัน ถึงแม้ปราณอำมหิตซึ่งเป็นวรยุทธ์ระดับสองนั้นจะนำมาเทียบกับปราณห้าพิษซึ่งเป็นวรยุทธ์ระดับสี่ไม่ได้เลยก็ตาม แต่การหมั่นฝึกฝนอยู่เสมอทำให้การเรียกใช้ปราณนั้นคล่องแคล่วว่องไวยิ่งขึ้น
ทั้งปราณสีแดงและสีเขียวเข้มของถังเฟยหู่วิ่งโลดแล่นไปตามเส้นชีพจรลมปราณดุจดั่งม้าพยศ ยิ่งนานเข้ายิ่งว่องไวดุจดัน ทุกกระบวนท่าทั้งหมัดมือและเท้าทุกกระบวนท่าปลดปล่อยละอองปราณสองสีออกมามั่นคงและต่อเนื่อง
อีกทั้งถังเฟยหู่ยังฝึกซ้อมการใช้ปลอกแขนอสูรหมื่นเข็มให้ช่ำชอง ทั้งยังถ่ายทอดลมปราณลงไปในอาวุธวิญญาณชิ้นนี้เพื่อสร้างเข็มดำให้ครบทั้งหมื่นเข็ม ชายหนุ่มยังคงฝึกเข็มทิพย์ดอกเหมยร่วมไปด้วย ถังเฟยหู่ฝึกฝนวิชานี้อย่างหนักจนในตอนกลางคืนเขาก็ได้สำเร็จขั้นที่สามแห่งวิชาเข็มทิพย์ดอกเหมย โดยแต่ละขั้นนั้นมีความสามารถที่มากขึ้นตามไปแต่ละขั้น ขั้นที่หนึ่งคือหนึ่งเข็มทะลวงฟ้าซึ่งถังเฟยหู่เคยใช้มาแล้ว รวบรวมพลังไว้ในเข็มเดียวเน้นโจมตีทะลุทะลวงไปที่จุดอ่อนของคู่ต่อสู้ ขั้นที่สองคือเข็มคู่ทะยาน ท่านี้เน้นโจมตีอย่างลี้ลับจากสองทิศทางซึ่งต่างกันเข้าสู่จุดตาย ส่วนขั้นที่สามซึ่งถังเฟยหู่พึ่งจะฝึกสำเร็จนี้นั้นคือดอกไม้แดงเริงระบำ ท่าที่โจมตีหลากหลายทิศทางพร้อมภาพมายาปราณดอกไม้แดงล่อหลอกให้คู่ต่อสู้สับสน
“ดอกไม้แดงเริงระบำ…”
ฟุบ ฟุบ ฟุบ ฟุบ ฟุบ ฟุบ
เข็มดำทั้งหกเล่มพุ่งออกมาจากปลอกแขนอสูรหมื่นเข็มอย่างรวดเร็วจนแทบมองไม่ทัน นิ้วทั้งสิบของชายหนุ่มต่างจับคีบเข็มทั้งหกไว้ในมืออย่างมั่นคง พลังปราณสีแดงจากวิชาลมปราณอำมหิตบรรจุเข้าสู่เข็มทั้งหกเล่ม ลมปราณอันแรงกล้าบรรจุภายในเข็มทั้งหกเล่มแต่ไม่มีสักนิดที่เล็ดลอดออกมาได้เพราะคุณสมบัติของเข็มดำ
ทันใดนั้นถังเฟยหู่สะบัดแขนทั้งสองข้างอย่างรวดเร็ว ปลดปล่อยเข็มทั้งหกเล่มพุ่งออกจากนิ้วมือไป เส้นสายลมปราณพุ่งทะยานออกไปพร้อมกับเข็มทั้งหก วิ่งวนไปในทิศทางที่ลึกลับ เส้นสายลมปราณจากเข็มแปรเปลี่ยนเป็นกลีบดอกไม้สีแดงหมุนวนไปดุจดั่งพายุสีแดงเลือด เมื่อเห็นวิชาที่ตนใช้สำเร็จผลด้วยดีจากนั้นชายหนุ่มจึงบังคับให้เข็มทั้งหกโจมตีใส่พื้นเบื้องหน้าของตน!
ฟิ้ววว ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!
เข็มดำพุ่งปะทะกับพื้นเบื้องหน้าพร้อมระเบิดพลังปราณสีแดงจำนวนมากออกมาจนพื้นหินเป็นหลุมเป็นบ่อขนาดใหญ่ ขั้นที่สามแห่งเข็มทิพย์ดอกเหมยมิใช่หลักการซ่อยเร้นและลอบโจมตีดั่งเช่นขั้นอื่นก่อนหน้านี้ แต่มันใช้หลักการล่อลวงให้เผยช่องว่างจากนั้นโจมตีจากทิศทางที่ไม่อาจคาดเดาได้พร้อมทั้งระเบิดพลังใส่ กระบวนท่านี้นับว่ายังกินพลังปราณมากไปสำหรับปราณขั้นสองอย่างเขาในตอนนี้
“กระบวนท่านี้นับว่าร้ายกาจยิ่ง หากใช้ร่วมกับปราณห้าพิษคงให้ผลที่ต่างออกไปจากนี้มากนัก…ภาพมายาอาจจะถึงขั้นมีพลังพิษแทรกซึมเข้าสู่คู่ต่อสู้ได้อย่างที่พวกเขาไม่ทันได้รู้ตัว แต่ติดอยู่ที่ว่าปราณพิษของข้ายังมีน้อยเกินไป ถึงคุณภาพจะสูงกว่าปราณอำมหิตแต่ในด้านปริมาณยังนับว่าด้อยยิ่งนัก” ถังเฟยหู่ทบทวนทุกสิ่งภายในหัวเพื่อให้พร้อมมากที่สุด ทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้รับมาเรียกได้ว่าทบทวนจนหมดสิ้น จะเหลือก็เพียงแต่วิชาปราณลึกลับซึ่งได้จากอสูรทมิฬเพียงเท่านั้น ถังเฟยหู่หลับตาทบทวนวิชาลมปราณมารไร้ลักษณ์ ภายในหัวสมองของชายหนุ่มปรากฎวิชาลึกลับนี้
ไร้รูปไร้ลักษณ์พลิกแพลงผกผัน ไร้รูปไร้เงาอยู่ยงดุจมาร
วิชานี้เป็นวรยุทธ์ซึ่งไม่อาจบ่งบอกระดับ อีกทั้งยังมีวิธีการฝึกฝนที่แปลกประหลาดยิ่งนัก ในวิชานี้นั้นระบุว่าจำต้องใช้ปราณมรณะในการฝึกฝนวิชานี้ซึ่งได้จากพรากชีวิตผู้อื่น ดูดกลืนวิญญาณ ปราณ และจิตวิญญาณของคนผู้นั้นในการฝึกฝนวิชานี้ วิชาลมปราณทั้งเก้าขั้นนี้นับว่าเป็นวิชามารอย่างแท้จริง ช่างขัดต่อหลักการณ์แห่งปราชญ์ซึ่งตนเคยร่ำเรียนมาตั้งแต่เด็กยิ่งนัก
“วิชามารเยี่ยงนี้….ข้าคงทำใจฝึกมันไม่ได้จริงๆ หากเกิดข้าฝึกวิชานี้แล้วทางการได้ทราบเข้าคงหาว่าข้าเป็นพวกนอกรีตดุจดั่งคนเผ่าเซี่ยเป็นแน่ เฮ้ออ” ถังเฟยหู่ถอนหายใจด้วยความเหนื่อยใจก่อนจะเลิกคิดอะไรให้มากความแล้วกลับไปพักผ่อน
ในยามฟ้าสางของอีกวันหนึ่ง ถังเฟยหู่ตื่นขึ้นมาบนเตียงของตนเอง เขาได้ล้างหน้าล้างตาเสียให้เสร็จสิ้นทุกอย่างจากนั้นจึงรวมรวมของทุกอย่างให้พร้อม ทั้งของที่จำเป็นทั้งหลาย มีดพกซึ่งนำไว้ใช้ป้องกันตัวในยามคับขัน ขวดยาซึ่งบรรจุเม็ดยาที่จำเป็นทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นยาฟื้นฟูลมปราณหรือแม้แต่ยาห้ามเลือด ชายหนุ่มได้ฝนหมึกและหยิบพู่กันขึ้นมาเขียนจดหมายบอกเล่าแก่ท่านตาและมารดาของตนว่าจะไปฝึกฝนที่ป่าอสูรสักหลายวันหน่อย ไม่ต้องเป็นห่วงอันใดต่อตนเองมากนัก
ชายหนุ่มรวบรวมทุกอย่างไว้ในอกเสื้อของตนพร้อมกับนำจดหมายนั้นเดินไปยังห้องทำงานของถังหยางหลิวผู้เป็นตา เขาได้เลือกวางจดหมายนั้นตรงกลางบนโต๊ะเพื่อให้ถังหยางหลิวสามารถสังเกตเห็นได้โดยง่าย ถังเฟยหู่ควานหาห่อผ้าภายในห้องทำงานนั้นซึ่งเมื่อเจอแล้วก็นำมันมาผูกไว้กับตัวเองเผื่อเขานั้นได้เจอสมุนไพรหรือวัตถุดิบหายากอันใดในป่าอสูรแห่งนี้จะได้นำกลับมายังบ้านของตนเองด้วย ชายหนุ่มได้บรรจงถอดที่ปิดตาโลหะสลักรูปอสรพิษออกมา เผยให้เห็นนัยตาสีขาวขุ่นมัวอันไร้แววชีวิตของตนเอง ตั้งแต่จำความได้ตัวของชายหนุ่มก็สูญเสียการมองเห็นของตาข้างนี้ไปเสียแล้ว
ถังเฟยหู่ได้ว่างที่ปิดตาโลหะนั้นไว้บนโต๊ะทำงานโดยจงใจวางทับไว้บนจดหมายซึ่งตนได้ทิ้งเอาไว้ การเข้าป่าอสูรครั้งนี้นั้นเขาไม่แน่ใจนักว่าจะเจอคนจากตระกูลถังคนอื่นซึ่งเข้ามาฝึกฝนในป่าอสูรหรือไม่ แต่ผู้คนในตระกูลมักจะจำภาพลักษณ์ของตนนั้นในภาพของคนประหลาดซึ่งใส่ที่ปิดตาโลหะไว้เสมอไม่เคยถอดออก โดยการที่ครั้งนี้ถ้าหากเขาถอดที่ปิดตาอันเป็นเอกลักษณ์นี้ออกละก็ คงจะไม่ค่อยมีใครในตระกูลจำเขาได้มากเท่าไหรนัก เขาและผู้คนในตระกูลรู้จักกันแบบฉาบฉวยเท่านั้น หาได้คบค้าสมาคมมากนัก หากทำเช่นนี้ละก็คงทำให้เขาไม่ค่อยเป็นที่สังเกตจากคนตระกูลเดียวกัน
ถังเฟยหู่ออกเดินมาสู่หน้าบ้านของตน มองตะวันซึ่งยังไม่โผล่พ้นขอบฟ้าดี หันไปมองบ้านของตนเองซึ่งอาศัยมานานหลายปี นี้อาจจะนับได้ว่าเป็นครั้งแรกในชีวิตของตนที่จะได้ออกเดินทางฝึกฝนอย่างจริงจังเป็นครั้งแรก ถึงแม้เป้าหมายนั้นจะห่างจากเมืองไม่ไกลก็ตาม แต่อันตรายนั้นก็ไม่อาจดูถูกได้เลย แต่หากต้องการที่จะพัฒนาตนเองให้ไวมากที่สุดอล้วละก็คงมีเพียงหนทางนี้เท่านั้นที่จะผลักดันตนเองได้มากที่สุด กบที่อาศัยอยู่ก้นบ่อชั่วชีวิตไม่อาจสัมผัสได้ถึงความยากลำบากของโลกกว้างที่แท้จริง
ถังเฟยหู่ปล่อยพลังปราณสีเขียวออกมาเบื้องหน้าของตนเองเพิ่อเรียกให้ทาสอสูรซึ่งอาศัยอยู่ในห้วงวิญญาณของตนเองออกมา ปราณสีเขียวรวมกันเบื้องหน้าของชายหนุ่มก่อนจะกลายสภาพเป็นสัตว์ตัวใหญ่ซึ่งมีปีกกว้างตนหนึ่ง มันคือทาสอสูรค้างคาวโลกันต์ซึ่งถังหยางหลิวได้มอบไว้ให้กับชายหนุ่ม ค้างคาวโลกันต์ตนนี้เป็นทาสอสูรระดับสามซึ่งนับว่ายังสิ้นเปลืองพลังของชายหนุ่มไปอยู่มากหากต้องการใช้งานในการต่อสู้จริง แต่หากใช้เพียงเป็นพาหนะเพื่อใช้เดินทางนับว่ายังพอกล้ำกลืนฝืนทนใช้งานได้อยู่ ชายหนุ่มกระโดดขึ้นบนหลังของค้างคาวโลกันต์ซึ่งมันก็หาได้มีปฎิกิริยาต่อต้านอันใด เพราะด้วยความภักดีของมันที่มีต่อถังหยางหลิวนั้นมีมากที่สุดในบรรดาทาสอสูรทั้งสี่ที่ได้มอบให้กับถังเฟยหู่ จึงทำให้มันภักดีต่อตัวชายหนุ่มผู้เป็นหลานของนายเก่าตนเช่นกัน ค้างคาวโลกันต์กระพืบปีกบินสูงขึ้นเหนือเมฆก่อนจะหายลับไปจากเมืองฟูเจี้ยนอย่างรวดเร็ว มันและนายใหม่ของตนมุ่งหน้าสู่ทิศทางตรงข้ามกับพระอาทิตย์ที่กำลังขึ้น มุ่งสู่ทิศตะวันตกซึ่งเป็นทิศทางของป่าขนาดใหญ่ซึ่งคนทั่วไปต่างหลีกหนี นามของสถานที่นั้นก็คือ ป่าอสูร