บทที่ 4 หอตำรา
“นักปราชญ์เคยกล่าวไว้ว่า มีความรู้นั้นเปรียบดั่งมีทรัพย์อยู่นับแสน ในตอนนี้นั้นความเชี่ยวชาญและความรอบรู้ในเพลงยุทธ์ของข้ายังด้อยนัก ในด้านกระบวนท่านับว่ายังอ่อนด้อยอยู่มากนัก….ข้าคงต้องไปเยือนหอตำราดูสักครั้ง” ถังเฟยหู่จัดการอาบน้ำอาบท่าจัดแต่งเครื่องแต่งกายเสียใหม่ รูปลักษณ์ของเขากลับมาสะอาดสะอ้าน แลดูเป็นบัณฑิตผู้มีภูมิฐานผู้หนึ่ง ไม่ใช่คนบ้าเปื้อนฝุ่นที่คลั่งฝึกยุทธ์เป็นแรมเดือนอีกแล้ว
ถ้งเฟยหู่นั้นเดินออกจากตัวตึกที่อาศัพของตัวเองสู่ทางเดินและผ่านทางลานฝึกยุทธ์ในตระกูล เขาเห็นรุ่นเยาว์แห่งสกุลถังรุ่นเดียวกับเขามากมายที่กำลังฝึกซ้อมกันอยู่บนลานฝึกยุทธ์ ทั้งถังเหยียน ชายหนุ่มร่างกำยำ ถอดเสื้อเปลือยอก ดวงตาสีเขียวมรกตซึ่งกำลังประลองยุทธ์อยู่กับถังชิง ทั้งยังมีถังหลิวและถังฝูสองสาวงามในตระกูลกำลังประลองยุทธ์กันอยู่เช่นกัน เหล่าลูกหลานในตระกูลต่างก็ชมการประลองอย่างสนุกใจ
ในฐานะตระกูลอันดับสองในเมืองแล้ว การพัฒนาฝีมือของผู้เยาว์นับว่าเป็นเรื่องสำคัญยิ่งนัก ทั้งสี่คนต่างเป็นยอดฝีมืออันดับสูงภายในรุ่น ถังเหยียน ถังหลิว ถังฝูต่างก็มีพลังยุทธ์ปราณขั้นสี่ระดับสุดยอด ส่วนถังชิงนั้นมีพลังยุทธ์ปราณขั้นห้าระดับสูง นับเป็นยอดฝีมือที่มีพรสวรรค์ที่สุดของตระกูล ผู้คนต่างเรียกทั้งสี่ว่าสี่อสรพิษแห่งตระกูลถัง แต่หากเทียบสี่อสรพิษกับหลิวจิวฮุ่ยแห่งดาบทองสกุลหลิว ยอดตระกูลอันดับหนึ่งภายในเมืองแล้วละก็ คงไม่อาจเทียบเคียงกันได้เลยแม้แต่น้อย ถังเฟยหู่เองก็หาได้สนใจพวกเขาไม่ อีกทั้งยังมีภารกิจรัดตัวมากมาย เหลือเวลาอีกเพียงสามเดือนเท่านั้นก่อนจะถึงกำหนดการที่ตนเองตั้งเป้าหมายไว้ เขารีบเดินจากไปโดยรวดเร็ว แต่ผู้ทรงศีลอยากบรรลุธรรมย่อมมีมารมาผจญ ยังไม่ทันได้เดินห่างไปเท่าไหร ถังชิงที่กำลังประลองอยู่กับถังเหยียนกลับสังเกตเห็นถังเฟยหู่เสียก่อน
“ถังเฟยหู่!! หยุดเดี๋ยวนี้!” ถังชิงตะโกนก้องเรียกหาชายหนุ่มให้หยุดเดิน ทุกคนในลานประลองเองก็หยุดทุกการกระทำและหันไปมองทางเดียวกันกับถังชิงเช่นเดียวกัน ในสายตาของทุกคนพบเห็นชายหนุ่มผู้หนึ่งในชุดสีขาวสะอาดสะอ้านพร้อมผ้าปิดตาโลหะสลักลายอสรพิษ ที่แท้แล้วผู้ที่ถังชิงเรียกหากลับเป็นเจ้าแกะดำแห่งตระกูล บัณฑิตเพียงหนึ่งเดียวในตระกูลผู้ฝึกยุทธ์ ทุกคนต่างก็ยิ้มระรื่นนั่นก็เพราะวันนี้คงมีเรื่องสนุกให้พวกเขาได้ดูชมกันแน่ พวกเขาทุกคนนั้นต่างก็ทราบกันดีว่าถังชิงนั้นไม่ชอบหน้าถังเฟยหู่มาแต่ไหนแต่ไรมาแล้ว
ถังเฟยหู่เองก็หยุด ไม่ก้าวเดินต่อไปแล้วหันไปมองหน้าถังชิงผู้เรียกหาตนเองอย่างตรงๆโดยไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย สายตาของเขาตอนนี้ดูเปลี่ยนไปอย่างมาก ไม่เหมือนแต่ก่อนที่เป็นคนอ่อมน้อมถ่อมตน ไม่เคยถือสาที่ถูกรังแก โอนอ่อนตามกระแส
“ไม่ทราบว่าเจ้ามีปัญหาอะไรกับข้างั้นเหรอ?” ถังเฟยหูกล่าว
“ฮ่าๆๆ! เดี๋ยวนี้เจ้าสวะกล้าพูดแบบนี้กับข้าแล้วอย่างงั้นเหรอ ดี! วันนี้ข้าจะสอนให้เจ้ารู้ว่าที่ๆเจ้าควรอยู่คือในรูหนูของไอ้แก่หยางหลิวกับแม่ที่ใกล้ตายของเจ้า!!”
สำหรับคนอย่างถังเฟยหู่นั้น ครอบครัวของเขาคือทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต ครอบครัวที่แท้จริงเพียงสองคนในชีวิตของเขาท่ามกลางเหล่าคนใจแคบทั้งหลายภายในตระกูลใหญ่นี้ ถึงหน้าของเขาจะไม่แม้แต่มีการเปลี่ยนแปลง แต่มือที่ไขว้อยู่ด้านหลังนั้นกำแน่นด้วยความโกรธจนเล็บแทงทะลุเนื้อเข้าไป หยดเลือดหลั่งไหลออกมาเป็นสาย ไหลจากปลายนิ้วและหยดลงสู่พื้นดินด้านหลังโดยที่ไม่มีใครสังเกต หยดเลือดเพียงไม่กี่หยดนั้นกลับกัดกร่อนพื้นดินจนพื้นหินนั้นละลายไป ควันลอยออกมาจากการกัดกร่อนของหยดเลือดของชายหนุ่ม ความเป็นพิษในสายเลือดของถังเฟยหู่ช่างร้ายกาจยิ่งนัก ด้วยวิชาปราณห้าพิษที่กำเนิดจากสัตว์มีพิษทั้งห้าทำให้พิษนี้ร้ายกาจเกินจะต้านทานได้ เขาค่อยๆสงบสติอารมณ์และคลายมือออกโดยไว เดินลมปราณไปที่แผลเล็กๆบนฝ่ามือเพื่อให้เลือดหยุดไหล ไม่อาจให้ผู้ใดสังเกต
“…” ถังเฟยหู่ไม่พูดอันใดกับถังชิงอีก เร่งรีบเดินจากไปในทันที
“ข้าบอกให้เจ้าหยุดยังไงละ!” ถังชิงผละออกมาจากลานประลอง พุ่งผ่านผู้คนโดยรอบสนามประลองไปอย่างรวดเร็วและลี้ลับ ปรากฎภาพมายาราวกับงงูใหญ่เลื้อยผ่านช่องว่างระหว่างผู้คนไป ภาพมายางูใหญ่ดวงตาสีเขียวนั้นไปปรากฎขวางเบื้องหน้าถังเฟยหู่เอาไว้ นึ่คือวรยุทธ์ระดับสามซึ่งถ่ายทอดให้แก่ทายาทผู้มีพรสวรรค์ในตระกูลเท่านั้น
ท่าเท้าอสรพิษลี้ลับ!
ถังชิงนั้นตลอดมาเป็นผู้มีหน้ามีตาในตระกูล มีแต่คนเคารพ ไม่เคยโดนดูถูกเช่นนี้มาก่อนในชีวิต ไม่เคยมีใครกล้าเมินเขามาก่อน! ดวงตาของถังชิงฉายแววตาอำมหิตต้องการจะสังหารถังเฟยหู่ให้รู้แล้วรู้รอดกันไป! พลังยุทธ์ปราณขั้นห้าระดับสูงระเบิดออกมาจากจุดตันเถียนของเขาด้วยวิชาปราณหกสังหารซึ่งเป็นลมปราณประจำตระกูลระดับสามซึ่งสูงกว่าปราณอำมหิตที่เป็นระดับสองถึงหนึ่งขั้น ถังชิงใช้ออกด้วยฝ่ามือจงอาง วรยุทธ์ระดับสอง ลมปราณร่วมกับฝ่ามือบังเกิดเป็นภาพมายางูจงอางสีดำตัวใหญ่ตามติดฝ่ามือของถังชิงไป
ปราณหกสังหาร ฝ่ามือจงอาจ!
ในพริบตาเดียวฝ่ามือของถังชิงใกล้ปะทะเข้ากับหน้าอกของถังเฟยหู่เพื่อดับชีวิตของเขาในทันที ถังเฟยหู่เองสายตาก็เปลี่ยนไปในทันที ภายในดวงตาของเขาคือความเกรี้ยวกราด ความโกรธที่ใกล้จะปะทุออกมา! ถังชิงถึงกับกล้าที่จะพยายามฆ่าเขาต่อหน้าคนจำนวนมากขนาดนี้!
“หยุด!”
ในตอนนั้นเองที่เสียงอันทรงพลังซึ่งเปล่งด้วยพลังยุทธ์ปราณนภาขั้นหนึ่งระดับสูง และเงามายางูตัวใหญ่โตเลื้อยเข้ามาใกล้ถังชิงและถังเฟยหู่ด้วยความเร็ว ผู้มาใหม่นี้ใช้ท่าเท้าอสรพิษลี้ลับเช่นกันแต่ลึกล้ำกว่าถังชิงมากนัก ฝ่ามือที่ห่อหุ้มด้วยปราณสีน้ำเงินเข้มจากปราณหกสังหาร ฝ่ามือนั้นจับข้อมือของถังชิงไว้แน่นราวกับคีมเหล็ก หยุดยั้งฝ่ามือที่กำลังปะทะหน้าอกของถังเฟยหู่ไว้ได้ทันการณ์
“ท่านผู้นำ!” เสียงทุกคนร้องเรียกกันโดยพร้อมเพรียง ที่แท้ผู้ที่มาช่วยชีวิตของถังเฟยหู่ไว้ก็คือถังจิวหูผู้นำตระกูลคนปัจจุบัน ถังจิวหูเมื่อเห็นถังชิงสงบสติอารมณ์ได้แล้วจึงปล่อยข้อมือของเขาออก จากนั้นเขาจึงค่อยๆเดินจากไปกับกล่าวทิ้งท้ายไว้เบื้องหลัง
“เห็นแก่หน้าข้า…พอเท่านี้เสียเถอะ” ทุกคนมองตามแผ่นหลังที่ยิ่งใหญ่ของชายชราอายุแปดสิบปีผู้เป็นผู้นำตระกูลไปพร้อมกับขบคิดไปด้วยว่าหากไม่ได้ถังจิวหูแล้วละก็ ป่านนี้ถังเฟยหู่คงตายไปเสียแล้ว มีเพียงถังเฟยหู่เท่านั้นที่เขาพอจะทราบว่าผู้นำตระกูลนั้นกล่าวกับใครกันแน่ ในมือของเขานั้นซ่อนเข็มทิพย์ดอกเหมยที่เล็กจนไม่มีใครสังเกตไว้ พลังปราณห้าพิษอัดแน่นเต็มภายในเข็มที่แหลมคมนั้น เขานั้นเล็งจุดตายของถังชิงไว้แล้ว สายตาอำมหิตของเขาจับจ้องไปที่จุดซวิงจุงกลางหน้าอกของถังชิง หากถังชิงต้องการที่จะฆ่าตนจริงๆแล้ว ในวินาทีนั้นเขาจะต้องแลกชีวิตฆ่ามันให้ตกตายไปด้วย! คนที่ตายอาจไม่ใช่ตัวเขาแต่อาจจะเป็นตัวถังชิงเอง!
คำกล่าวเมื่อครู่นี้ที่แท้กล่าวกับตน!
“หึ ท่านผู้นำขอชีวิตเจ้าไว้ ข้าก็จะปล่อยชีวิตเน่าๆของเจ้าไปก่อนก็ได้” ถังชิงสะบัดแขนแล้วเดินกลับไปยังสนามประลองเฉกเช่นเดิม ส่วนถังเฟยหู่เองก็ไม่อยากมากความอีกต่อไป เขาเดินกลับไปยังเส้นทางเดินที่ตนเองตั้งใจตั้งแต่ต้น เขาเดินต่อไปยังหอตำราแห่งสกุลถัง เขาเข้าไปขออนุญาตอาวุโสเฒ่าผู้เฝ้าหอตำราแห่งนี้ ซึ่งผู้อาวุโสก็ไม่ว่าอะไรอยู่แล้วเพราะหอตำราของสกุลถังย่อมเป็นสมบัติของคนสกุลถัง การที่ถังเฟยหู่จะใช้งานก็หาใช่เรื่องแปลกอะไร แต่เพียงชั้นที่หนึ่งเท่านั้นที่สามารถอ่านได้อย่างอิสระเสรี ปราศจากข้อห้ามใดๆจากตระกูล ในชั้นแรกนั้นเพียงบรรจุไว้ด้วยวิชาระดับหนึ่งถึงสองเพียงเท่านั้น ส่วนวิชาที่สูงขึ้นไปจำต้องได้รับอนุญาติจากผู้อาวุโสหรือผู้นำตระกูลเสียก่อนจึงจะสามารถเข้าใช้งานได้ชั้นที่สองของหอตำราเพื่อศึกษาพวกมัน ถังเฟยหู่นั้นได้เดินเข้าไปดูตำรายุทธ์ทั้งหลายที่ถูกบรรจุไว้ภายในชั้นหนังสือรอบๆทั่วทั้งชั้นที่หนึ่ง ส่วนใหญ่นั้นเป็นกระบวนท่าที่เป็นเพลงยุทธ์ระดับหนึ่งมีทั้งหมัดมวย เพลงฝ่ามือ เพลงเตะ วิชาทั้งกระบี่ ทวน ธนู กริชสั้น อาวุธบิน เขาได้นั่งอ่านค่อยๆศึกษาไปเรื่อยๆ จบหนึ่งเล่มก็ต่ออีกหนึ่งเล่ม ด้วยความสามารถจดจำที่ดีเยี่ยมของเขาที่ทำให้ได้ชื่อว่าเป็นยอดบัณฑิตแห่งเมืองฟูเจี้ยนนั้น ทำให้อ่านวรยุทธ์ต่างๆเพียงครั้งเดียวก็สามารถจดจำได้ไม่มีลืม ผ่านไปกว่าเจ็ดวันแล้วตั้งแต่วันแรกที่ได้เริ่ม กระบวนท่าและวิชามากมายนั้นถูกรวบรวมไว้ในหัวสมองของถังเฟยหู่ อยากจะใช้สอยความรู้ใดเพียงนึกคิดก็จดจำได้ราวกับหยิบมาเปิดอ่าน
ในตอนนี้สิ่งที่เขาต้องการก็ได้มาแล้ว สิ่งที่เขานั้นอ่อนด้อยที่สุดคงจะหนีไม่พ้นประสบการณ์ในการต่อสู้และความสามารถในการตัดสินใจต่างๆ โดยทั่วไปแล้วนั้นทั้งสองสิ่งนี้ต้องค่อยๆสร้างเสริมโดยผ่านการต่อสู้และการประลอง ใช้เวลาหลายปีอีกทั้งผ่านมานับร้อยสมรภูมิจึงจะสามารถมีไหวพริบในการต่อสู้ที่ล้ำเลิศ
แต่ถังเฟยหู่กลับใช้หนทางที่ง่ายกว่านั้นสำหรับตัวเขา แต่กลับยากราวปีนป่ายขึ้นสวรรค์สำหรับผู้อื่นทั่วๆไป โดยวรยุทธ์ทั้งหลายนั้นแต่ละกระบวนท่าต่างสร้างขึ้นจากประสบการณ์และการคิดคำนวนที่ไตร่ตรองมาดีแล้วโดยผู้สร้าง ถังเฟยหู่ใช้การศึกษากระบวนท่าทุกรูปแบบเพื่อใช้ตอบรับทุกสถานการณ์ พยายามซึบซับประสบการณ์และไหวพริบบางส่วนจากวรยุทธ์มากมายทั้งหลาย ราวกับพยายามรวบเศษชิ้นส่วนเล็กๆมากมายทั้งหลายที่แตกหัก นำกลับมารวบรวมและประกอบขึ้นเป็นชิ้นที่สมบูรณ์อีกครั้งหนึ่ง ถึงแม้จะไม่สมบูรณ์มากนักแต่ก็คงใกล้เคียงไม่น้อย
“ทำยังไงนะถึงจะได้รับประสบการณ์การต่อสู้จริงๆนะ…ถ้าข้าไปสนามประลองฝึกร่วมกับคนอื่นคงจะไม่ดีแน่ๆ ระดับชั้นของข้ากับคนอื่นในตระกูลนั้นต่างกันจนเกินไป ข้าคงต้องไปเยือนป่าอสูรสักครั้งเสียแล้ว…” ถังเฟยหู่กลับไปพักผ่อนที่ห้องของตัวเองเพื่อเตรียมตัวจะออกไปอีกครั้งโดยที่เขานั้นก็หาได้ลืมเข้าไปดูแลทั้งตาและมารดาของตนเองไม่ อาการของมารดาตนนั้นก็ยังไม่ได้ย่ำแย่จนเกินไป แต่หญ้ามังกรที่ยังเหลือนั้นคงมีพอไว้ใช้ต่อได้อีกเพียงสี่เดือนโดยประมาณ หากไม่นับเรื่องที่จะต้องเพิ่มพลังยุทธ์ให้มากที่สุดเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการประลอง ก็ยังจำเป็นต้องหาเงินให้ได้อย่างน้อยยี่สิบตำลึงทองภายในสามเดือนเพื่อสั่งซื้อตัวยานี้ ในคืนนั้นถังเฟยหู่ยังคงบ่มเพาะพลังยุทธ์อยู่บนเตียงนอนของตนด้วยวิชาปราณห้าพิษต่อไป แต่ก็ไม่อาจเห็นผลมากเหมือนครั้งแรกที่สำเร็จวิชาขั้นที่หนึ่ง ภายในหัวของเขาทบทวนวิชาห้าพิษไปด้วยเช่นกัน เป็นดั่งเช่นที่วิชานี้บัญญัติไว้ว่าจำเป็นต้องใช้พิษของสัตว์มีพิษอันร้ายแรงเพื่อสำเร็จขั้นต่อไปของวิชา
“…หนทางในการฝึกยุทธ์ช่างยากเย็นเสียจริง แต่อย่างน้อยโครงกระดูกจอมโลภนั่นก็กินพลังปราณของข้าไปน้อยลงมากนัก แถมยัง….” ถังเฟยหู่เพ่งจิตลงไปสัมผัสจิตวิญญาณอันลึกลับของตนเองที่แปลกไปมากนัก เขาโบกมือผ่านเบื้องหน้าของตนลองปลดปล่อยปราณสีดำในรูปแบบควันออกมาเบื้องหน้า ปราณสีดำหลอมรวมกันเบื้องหน้ากลับกลายเป็นโครงกระดูกลึกลับนั้นปรากฎร่างออกมาเป็นครั้งแรก หลายปีมานี้เขาพยายามมาหลายต่อหลายครั้งเพื่อเรียกมันออกมา แต่ก็ไม่เคยประสบผลสำเร็จแม้แต่ครั้งเดียวเลย แต่หลังจากทะลวงผ่านขอบเขตปราณขั้นหนึ่งมาได้ เขากลับรู้สึกว่าการเรียกมันออกมาใช้งานนั้นต้องสำเร็จแน่นอน
บางทีหลายปีมานี้ที่มันไม่ยอมออกมาก็เพราะต้องการสูบพลังปราณของเขาให้หนำใจเสียก่อนละมั้งถึงยอมออกมาให้ใช้งานได้ รูปร่างของมันนั้นดูเปลี่ยนไปบ้างจากครั้งสุดท้ายที่เขาได้เข้าไปในห้วงจิตวิญญาณของตนเองแล้วได้รับลมปราณมารไร้ลักษณ์ เศษเนื้อหนังที่เคยอยู่ตามตัวของมันหลุดลอกออกไปเสียหมด กระดูกซึ่งเคยเป็นสีขาวอมเหลืองแปรเปลี่ยนไปเสียหมดแล้ว มันกลับกลายเป็นสีดำสนิทไปหมดเสียทั้งตัว ฟันเขี้ยวทั้งสี่ซี่กลับงอกยาวขึ้นเล็กน้อย ทั้งแหลมคมและน่ากลัว ดวงตายังคงเป็นไฟวิญญาณสีแดงฉานที่น่าหวาดกลัวเช่นเดิม ปลายนิ้วเองก็แหลมคมขึ้น ควันสีดำปกคลุมรอบตัว ดูไปแล้วราวกับเป็นปีศาจที่หลุดออกมา
“บ้าน่า…จิตวิญญาณระดับสี่!” เป็นครั้งแรกที่ถังเฟยหู่สามารถรับรู้ได้ถึงระดับของจิตวิญญาณกระดูกตัวนี้ มันกลับเป็นระดับสี่…ผู้มีพรสวรรค์อย่างมากก็ระดับสองถึงสาม ขนาดหลิวจิวฮุ่ยยังให้กำเนิดจิตวิญญาณแค่ระดับสาม ถังเฟยหู่กลับกลายเป็นตื่นตกใจและลำพองใจไปพร้อมกัน ด้วยพลังของจิตวิญญาณระดับนี้ต้องทำให้เขาก้าวหน้าเหนือเกินกว่าคนอื่นได้อย่างแน่นอน เขาเดินเข้าไปหาจิตวิญญาณลึกลับเบื้องหน้าของเขามองมันพร้อมกับคิดวางแผนการณ์ต่อไปในใจของเขา
“ต่อไปนี้ฉันจะเรียกแกว่า…อสูรทมิฬ” ถังเฟยหู่กล่าวพร้อมกับสลายอสูรทมิฬให้กลับกลายเป็นปราณสีดำวิ่งกลับเข้าสู่ร่างกาย