บทที่ 3 โครงกระดูกลึกลับ
ถังเฟยหู่ลืมตาตื่นขึ้นมาบนเตียงภายในห้องนอนของตนเองพร้อมกับความเจ็บปวดที่เริ่มบรรเทาลงจากตอนแรกมากแล้ว ตอนนี้พิษทั้งห้าจากสัตว์มีพิษทั้งหลายต่างกระจายไปตามจุดชีพจรทั้งหนึ่งร้อยแปดจุดทั่วทั้งร่างแล้ว ตามจุดชีพจรทั้งหลายเมื่อลมปราณผ่านไปหนึ่งรอบนั้นก็จะเจ็บปวดน้อยลงหนึ่งส่วน เขาจำเป็นต้องเดินลมปราณตลอดเวลาตามวิชาที่ถังหยางหลิวถ่ายทอดมาตลอดเวลาเพื่อลดอาการเจ็บปวด ถ้าเกิดเขาหยุดเดินลมปราณเมื่อใดละก็ความเจ็บปวดที่มากกว่าเดิมก็จะกลับมาอีกครั้งหนึ่ง ถ้าหยุดเมื่อใดก็จำต้องพบกับความเจ็บปวดอีก อีกทั้งยังเสี่ยงที่พิษร้ายทั้งห้าอาจจะหลุดการควบคุมจนทำให้เขาถึงตายได้เลย
เขาเดินลมปราณเพื่อสยบพิษทั้งหลายไปเรื่อยๆอยู่บนเตียงโดยที่ไม่อาจขยับตัวได้เป็นเดือน ในระหว่างนั้นมีทั้งแม่และตาของตนต่างก็ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาดูแลถังเฟยหู่ในขณะที่ไม่อาจช่วยเหลือตนเองได้ ถังมู่หลิวผู้เป็นมารดาของตนเองนั้นถึงจะไม่ทราบว่าลูกชายกับบิดาของนางนั้นจะทำสิ่งใดกันอยู่ แต่นางนั้นก็เต็มไปด้วยความเป็นห่วงอย่างสุดซึ้ง ไม่นานหลังจากผ่านพ้นมาได้หนึ่งเดือนแล้ว ถังเฟยหู่เองสีหน้าก็ดูดีขึ้นยิ่ง
ในตอนนี้ถังเฟยหู่สามารถเดินเหินได้บ้างแล้ว พิษร้ายทั้งห้าที่แทรกตัวอยู่ในชีพจรทั้งหนึ่งร้อยแปดจุดนั้นผสมกลมกลืนจนเป็นเนื้อเดียวกันไม่อาจแยกจากกันได้อีก ในตอนนี้ชีพจรทั้งหนึ่งร้อยแปดจุดภายในร่างกายของเขานั้นได้เปลี่ยนเป็นสีเขียวเข้ม ในตอนนี้ลมปราณที่รวบรวมจากพลังงานธรรมชาติรอบตัวนั้นเมื่อถูกสะสมตามจุดชีพจรต่างๆรอบทั้งร่างกายนั้นแปรเปลี่ยนเป็นสีเขียวเข้มที่ชั่วร้าย พวกมันถูกแปรเปลี่ยนกลายเป็นปราณพิษอันร้ายกาจ เมื่อเดินลมปราณผ่านจุดชีพจรสีเขียวเข้มทั้งหลาย กระแสลมปราณที่ไหลเวียนผ่านก็ยิ่งสะสมปราณพิษมากขึ้นไปเรื่อยๆ ยิ่งนานเข้ายิ่งทวีความเป็นพิษมากยิ่งขึ้น ปราณพิษทั้งหลายได้สะสมสู่ตันเถียนและแปรเปลี่ยนลมปราณของเขาให้มีคุณสมบัติความเป็นพิษ ในตอนนี้เรียกได้ว่าเวลาหนึ่งเดือนที่เสียไปนั้นไม่ได้สูญเปล่าเลยแม้แต่น้อย ในตอนนี้ถังเฟยหู่สำเร็จวิชาปราณห้าพิษแล้ว ถังเฟยหู่ตรวจสอบพลังยุทธ์ของตัวเองก็พบว่าในตอนนี้นั้นเขาได้ทะลวงผ่านเข้าสู่ปราณขั้นหนึ่งระดับสุดยอด เป็นเพราะปราณห้าพิษถึงได้ทำให้พลังของเขาข้ามจากระดับต่ำสู่ระดับสุดยอดโดยไม่ผ่านแม้แต่ระดับสูง สมแล้วกับที่เป็นยอดวิชาที่ถังหยางหลิวถ่ายทอดให้ แค่ฝึกเพียงเดือนเดียวก็เหนือกว่าปราณอำมหิตที่ใช้เวลาฝึกมาหลายปีนัก
“ปราณห้าพิษ….แค่ขั้นแรกจากห้าขั้นก็มีประสิทธิภาพสูงแล้ว ถึงพลังยุทธ์ของข้าจะมีอานุภาพจะสู้คนอื่นได้อยาก แต่เพราะความเป็นพิษของลมปราณนั้นยากที่คนอื่นนั้นจะสู้ได้ตรงๆ ที่เหลือก็แค่…”
ถังเฟยหู่รวบรวมลมปราณมาที่ฝ่ามือของตนเอง ในตอนนั้นเองที่บนฝ่ามือของเขาบังเกิดหมอกพิษสีเขียวเข้มดูน่าหวาดกลัว เขามองไปยังต้นไม้ในกระถางที่มุมห้องนอนของตนเอง จากนั้นเขาก็ซัดฝ่ามือของตนออกมา หมอกพิษนั้นพุ่งเข้าปะทะต้นไม้นั้นด้วยความรวดเร็ว ต้นไม้นั้นเหี้ยวแห้งไปในพิษตา ใบไม้ทั้งต้นแปรเปลี่ยนกลายเป็นสีดำ แห้งเหี่ยวและหลุดร่วงลงจากต้น ต้นไม้นั้นตายลงไปในพริบตา
“ปราณพิษร้ายกาจจริงๆ!” ถังเฟยหู่ยิ้มอย่างพอใจเมื่อเห็นผลลัพธ์ที่ออกมา
“เก่งมากหลานข้าที่เจ้าสำเร็จปราณห้าพิษ!” เสียงชายชราเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นผลงานที่ปรากฎออกมาเบื้องหน้า ถังหยางหลิวเดินเข้ามาภายในห้องอย่างไม่ให้สุ้มให้เสียง เขาทั้งคู่ต่างเดินตรงไปยังห้องทำงานของถังหยางหลิวด้วยกัน
“เจ้าคงรู้อยู่แล้วนะหลานตา วิชาปราณห้าพิษนั้นยากที่จะฝึก แม้ประสิทธิภาพจะดีมากแค่ไหนก็ตาม แต่ยิ่งฝึกขั้นที่สูงยิ่งขึ้นก็ยิ่งจำเป็นต้องใช้พิษมากขึ้นเท่านั้น ถึงแม้การประลองในปีหน้านั้นเจ้าสามารถใช้ปราณพิษสะกดข่มคนอื่นไว้ได้ แต่พลังยุทธ์ของเจ้านั้นต่ำจนเกินไป ถ้าเทียบกับหลิวจิวฮุ่ยยอดฝีมืออันดับหนึ่งรุ่นเยาว์ในเมืองนี้แล้วนับว่าห่างกันเกินไป เจ้าเด็กคนนี้นั้นมีพลังยุทธ์ปราณขั้นเจ็ดระดับสุดยอด แค่ตบทีเดียวก็ทำให้เจ้าถึงตายแล้วนะหลานเอ๋ย…” ถังหยางหลิวพล่ำบ่นไปพร้อมทั้งถอนหายใจด้วยความหวังในการชนะนั้นช่างน้อยเสียจริง
“ท่านตาไม่ต้องกังวลไปหรอก…ข้าคิดว่าอาจจะพอมีทางบ้าง เพียงแต่คราวนี้คงต้องรบกวนให้ถังชิงลำบากเสียหน่อยแล้วคราวนี้ หึๆๆ” ถังเฟยหู่ยิ้มเยาะพร้อมกับวางแผนการไว้ในใจแล้ว
“ฮ่าๆๆๆๆ ที่แท้เจ้าก็มีแผนการเช่นนี้ ร้ายกาจจริงๆ! ถ้าคุณภาพไม่ได้เจ้าก็จะใช้ปริมาณแทนสินะ ฮ่าๆๆๆๆ! สมแล้วที่เป็นอัจฉริยะที่สามารถจดจำตำราทุกประเภทได้ด้วยการอ่านครั้งเดียว ถ้าเจ้าใช้ความฉลาดของเจ้าให้ถูกที่ถูกเวลาก็นับว่าร้ายกาจยิ่ง!” ถังหยางหลิวหัวเราะอย่างสะใจยิ่งนักเมื่อทราบว่าหลานชายของตนวางแผนอะไรไว้ในใจ
“แต่ข้านั้นยังไม่มีความมั่นใจเสียเท่าไหร ข้าคงต้องเตรียมความพร้อมจนข้ามั่นใจเสียก่อนถึงจะลงมือทำการอันใดได้ นักปราชญ์เคยกล่าวไว้ เล่นหมากรุก อย่าเอาแต่บุกถ่ายเดียว เดินหมากรุกยังต้องขบคิด เดินหมากชีวิตจำต้องขบคิดให้มากยิ่งกว่า” ถังเฟยหู่กล่าวพร้อมกับคบคิดวางแผนการณ์ต่อไปในใจของตน
“งั้นก็ตามใจเจ้าเสียเถอะหลานชาย” ถังหยางหลิวเอ่ยเสร็จก็ประทับมือลงบนหน้าอกของถังเฟยหู่ พลังประหลาดสี่สายได้หลั่งไหลเข้าสู่ร่างกายของชายหนุ่มจากนั้นก็พุ่งเข้าสู่ตันเถียนของเขาในทันที ภายในห้วงวิญญาณของถังเฟยหู่นั้นได้ปรากฎสิ่งแปลกประหลาดขึ้นภายในนั้น นอกจากจิตวิญญาณงูน้อยและโครงกระดูกผู้โลภมากแล้วก็ยังปรากฎค้างคาวโลกันต์ ตะขาบน้ำแข็ง แม่งป่องอสูร และแมงมุมรัตติกาล ทั้งสี่คือเหล่าทาสอสูรของถังหยางหลิวที่เคยใช้กับเขานั่นเอง หากจะกล่าวถึงความแตกต่างระหว่างจิตวิญญาณและทาสอสูรแล้วนั้น ทั้งสองสิ่งมีความใกล้เคียงกันมาก ทั้งสามารถพัฒนาระดับได้ตามการเลี้ยงดูและฝึกฝน แต่สิ่งที่ทำให้แตกต่างกันคือจิตวิญญาณนั้นจะไม่มีทางทรยศผู้เป็นนายเด็จขาดไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม อีกทั้งเมื่อมันตายแล้วยังสามารถฟื้นคืนชีพกี่ครั้งก็ได้เพราะร่างแท้จริงของมันกำเนิดจากห้วงวิญญาณของตัวผู้ใช้เอง แต่หากเป็นทาสอสูรแล้วละก็ ถ้าหากไม่มีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นพอแล้ว ทาสอสูรจะสามารถทรยศผู้เป็นนายได้เมื่อต้องเผชิญความตายและหนีเอาตัวรอด เพราะหากทาสอสูรนั้นตายแล้วจะไม่สามารถฟื้นคืนกลับมาได้เฉกเช่นจิตวิญญาณ
“ข้ามอบพวกมันให้แก่เจ้าไว้ป้องกันตัว” ถังหยางหลิวเอ่ยจบแล้วก็เดินกลับไปนั่งอ่านหนังสืออยู่ตรงโต๊ะตัวเดิมเฉกเช่นทุกๆวัน ถังเฟยหู่เองก็ประสานมือขอบคุณแก่ผู้เป็นตาจากนั้นจึงเดินออกไปจากห้องทำงาน
ในลานกว้างเบื้องหลังตึกของถังเฟยหู่ เขากำลังถอดเสื้อเปลือยอกอยู่พร้อมทั้งออกทั้งหมัดซ้ายขวาสลับไปมา เขากำลังฝึกเพลงหมัดมวยที่เคยร่ำเรียนมาจากคนในตระกูลซึ่งสั่งสอนให้แก่รุ่นเยาว์ทั้งหลาย แต่วิชาหมัดแปดปรมัตถ์นี้เป็นเพียงวิชาระดับหนึ่งซึ่งแพร่หลาย แม้ใช้ต่อสู้จะไม่มีประสิทธิภาพมากนัก แต่หากใช้เพื่อฝึกกำลังก็นับว่ายังมีประโยชน์อยู่บ้าง
ผัวะ! ผัวะ!! ผัวะ!!!
เสียงหมัดที่แหวกอากาศนั้นยิ่งนานเข้าเสียงดังยิ่งขึ้นไป ความต่อเนื่องของเพลงหมัดนั้นไหลลื่นยิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ ด้วยพัฒนาการในปัจจุบันนั้นหากจะสำเร็จหมัดแปดปรมัตถ์ขั้นที่สามนับว่าต้องใช้เวลาอีกไม่นานเพียงเท่านั้น
เวลาช่างไหลผ่านไปรวจเร็วดุจวารี เพียงพริบตาเดียวก็ผ่านไปอีกหนึ่งเดือนแล้ว ในตอนนี้ถังเฟยหูก็ยังคงฝึกเพลงหมัดแปดปรมัตถ์อยู่ที่หลังบ้านเช่นเดิม เพลงหมัดในตอนนี้นับว่ามีอานุภาพมากกว่าเดือนก่อนอยู่อักโข สภาพร่างกายที่หักโหมฝึกอย่างบ้าคลั่งของถังเฟยหู่นับว่าแข็งแกร่งขึ้นอย่างมากมาย จากสภาพร่างกายอันอ่อนแอของบัณฑิตผู้หนี่งกลับแปรเปลี่ยนเป็นผู้ฝึกยุทธ์อย่างเต็มตัวแล้ว เหตุที่ทำให้ถังเฟยหู่ฝึกซ้อมอย่างหักโหมก็เพราะตลอดเวลาที่เขาเคยฝึกยุทธ์นั้นเพียงฝึกแต่ลมปราณหาได้ฝึกฝนร่างกายควบคู่ไปด้วยเฉกเช่นเดียวกับผู้อื่น แต่ถึงจะพึ่งมาฝึกฝนอย่างจริงจังตามหลังนั้นก็ไม่อาจนับเป็นปัญหาอันใดได้ เพราะปกติพลังยุทธ์ของเขาก็ต่ำเตี้ยเรี่ยดินอยู่แล้ว การฝึกฝนร่างกายให้ตามทันนั้นไม่ได้ยากอันใด แถมระหว่างฝึกเพลงหมัดนั้นยังได้เดินลมปราณควบคู่ไปด้วย เป็นการเพิ่มพูนพลังยุทธ์ไปในตัว
ตู้มมม
และแล้วความพยายามตลอดหนึ่งเดือนมานี้ก็บังเกิดผล ความพยายามในการเพิ่มพูนพลังยุทธ์อย่างบ้าคลั่งทดแทนส่วนที่ขาดหายไปเพราะเจ้าโครงกระดูกบ้าโลภนั้นก็สัมฤทธิ์ผลในที่สุด เสียงที่บังเกิดขึ้นมาจากจุดตันเถียนของเขาเองที่ทะลวงผ่านด่านพลังยุทธ์สำเร็จแล้ว ในขณะนี้พลังยุทธ์ของเขาอยู่ในระดับปราณขั้นสองเป็นที่เรียบร้อย
ถังเฟยหู่เร่งรีบนั่งสมาธิอยู่ที่ลานกว้างนั้นในทันทีเพื่อปรับสมดุลของลมปราณภายในร่างที่พุ่งพล่านเพราะการทะลวงผ่านด่านพลังยุทธ์ แต่แล้วเรื่องประหลาดนั้นก็ได้บังเกิดขึ้นเช่นกัน ดวงจิตของเขาได้ถูกดึงดูดให้เข้าสู่ห้วงวิญญาณภายในตันเถียนโดยพลังแปลกประหลาด เมื่อรู้สึกตัวอีกทีเขาก็ได้มาอยู่เบื้องหน้าโครงกระดูกที่มีดวงไฟวิญญาณสีแดงเป็นดวงตา ในทันใดนั้นดวงไฟนั้นเปล่งแสงสีแดงฉานราวโลหิตออกมาพร้อมทั้งลุกโชติช่วงขึ้นดุจจะเผาทำลายให้สิ้นเสียทุกอย่าง โครงกระดูกซึ่งกำลังอยู่ในท่านั่งสมาธินั้นก็ได้อ้าปากของมันออกมาพร้อมกับมีดวงไฟวิญญาณพวยพุ่งออกมาใส่ตัวถังเฟยหู่ทั้งยังลุกท่วมเขาไปทั้งตัว แต่เขาหาได้กลัวมันไม่ เขาไม่อาจสัมผัสได้ถึงจิตมุ่งร้ายใดๆจากโครงกระดูกนั้นเลยแม้แต่น้อย และอีกเหตุผลหนึ่งก็คือเขารู้สึกผูกพันธ์กับโครงกระดูกนี้เช่นกัน เขาไม่อาจรู้สึกได้เลยว่ามันจะทำร้ายเขา และเป็นไปอย่างที่เขาสัมผัสได้ ไฟวิญญาณนั้นหาได้ทำร้ายเขาไม่ ไฟวิญญาณนั้นกลับซึมซับเข้าไปภายในตัวของเขา พวกมันไม่แม้แต่ที่จะเผาทำลายหรือสร้างอันตรายใดๆให้กับเขา และในตอนนั้นเองที่ภายในหัวของเขาบังเกิดความรู้หนึ่งขึ้นในหัว ตัวเขาเองเคยผ่านเหตุการณ์คล้ายคลึงเช่นนี้มาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อสองเดือนก่อนตอนที่ถังหยางหลิวผู้เป็นตาของเขาถ่ายทอดวิชาต่างๆให้กับเขาผ่านทางดวงจิต และนี้ก็เป็นสิ่งที่คล้ายกับเหตุการณ์นั้นเช่นกัน ภาพความทรงจำ ความรู้มากมายหลั่งไหลเข้ามาสู่ความทรงจำของเขา เขาใช้เวลาอยู่นานเพื่อพยายามทำความเข้าใจกับสิ่งที่ได้รับมาจากจิตวิญญาณโครงกระดูกของตนเอง และเมื่อทำความเข้าใจทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว ชื่อหนึ่งก็ได้ผุดขึ้นมาในความทรงจำของตัวเอง
ลมปราณมารไร้ลักษณ์!
เมื่อถ่ายทอดความรู้ให้แก่ถังเฟยหู่เสร็จเรียบร้อย โครงกระดูกนั้นก็กลับไปเงียบสงบไร้ชีวิตอีกเช่นเคยเหมือนที่เคยผ่านมาตลอดสิบกว่าปี ถังเฟยหู่เองก็ถอดจิตตัวเองออกมากลับสู่ภายนอกอีกครั้ง
“มารไร้ลักษณ์….เป็นลมปราณที่ช่างแปลกประหลาด แต่กลับเสริมลมปราณห้าพิษได้อย่างดีเยี่ยม แต่ที่แปลกยิ่งกว่า…จิตวิญญาณของข้าทำไมถึงได้มีของสิ่งนี้ซ่อนอยู่ ที่แท้แล้วเจ้าโครงกระดูกนี้คืออะไรกันแน่…..” ถังเฟยหู่ทบทวนวิชาใหม่ที่ได้รับมาซึ่งตัวเขาเองก็ไม่อาจบอกได้ว่าลมปราณที่พึ่งได้รับมานั้นอยู่ในระดับใดกันแน่ อีกทั้งยังมีความยากลำบากอย่างมากที่จะฝึก เขาคงยังไม่อาจจะฝึกได้ในตอนนี้ การฝึกวิชานี้นั้นคงต้องเป็นเรื่องภายในอนาคต ไม่จำเป็นต้องคิดให้ปวดหัวในตอนนี้
ถังเฟยหู่ลุกขึ้นมาเพื่อฝึกฝนอีกครั้งหนึ่ง ในตอนนี้เดินกลับเข้าไปในบ้านเพื่อหยิบยืมของสิ่งหนึ่งจากถังหยางหลิวจากนั้นจึงกลับมาที่ลานกว้างอีกครั้งหนึ่ง ในมือของเขานั้นคือม้วนผ้าแถบยาวแถบหนึ่ง เมื่อเปิดม้วนผ้านั้นภายในของมันคือเข็มทองซึ่งใช้ในการรักษาของถังหยางหลิว เขาได้ถ่ายทอดลมปราณเข้าสู่เข็มเล็กๆนั้น ใช้เวลากว่าสามชั่วยามกว่าที่เขาจะทำสำเร็จดั่งที่ตั้งใจ ในคราแรกที่เขาถ่ายทอดลมปราณลงไปนั้น บ้างก็ใช้ปราณมากไปจนเข็มหัก บ้างก็น้อยจนเกินไปจนไม่อาจเห็นผล สูญเสียเข็มไปร่วมเกือบร้อยเล่มกว่าจะทำให้ลมปราณเคลือบบนเข็มอย่างสมบูรณ์แบบ นอกจากห่อหุ้มทั่วทั้งเล่มแล้วยังแหลมคมและเล็กแหลมจนแทบมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ถังเฟยหู่ยิ้มอย่างดีใจเมื่อก้าวแรกสำเร็จไปด้วยดี เขาหันไปทางต้นไม้ซึ่งห่างไปไม่ไกลนัก เขาจับจ้องมันอย่างมั่นคงและมองไปตรงจุดที่เขาต้องการซึ่งก็คือกลางลำต้นของต้นไม้ต้นนั้น เขาใช้เข็มที่เคลือบแฝงไปด้วยลมปราณสีเขียวเข้มวางไว้ตรงกลางระหว่างนิ้วกลางและนิ้วโป้ง จากนั้นเดินลมปราณตามวิชาที่ได้รับมาจากถังหยางหลิวสู่นิ้วทั้งสอง จากนั้นผลักดันเข้าสู่เข็มทองนั้น ในทันใดนั้นเขาก็ดีดนิ้วออกไปอย่างแรงจนเกิดเสียงแหวกอากาศออก เข็มทองพุ่งเข้าสู่เป้าหมายที่ห่างออกไปด้วยความรวดเร็ว
ฟิ้วววววว
เสียงเข็มแหวกอากาศด้วยความรวดเร็ว เพียงพริบตาเดียวก็เข้าปะทะกับต้นไม้ด้านหน้าของเขาเขา ทันทีที่เข็มกระทบเข้ากับต้นไม้นั้นมันก็ทะลุไปสู่เบื้องหลังด้วยความแหลมคมจากเข็มและลมปราณที่หนุนเสริม ต้นไม้ที่ถูกเข็มแทงทะลุไปนั้นตายและแห้งเหี้ยวไปในพริบตา อีกทั้งใบไม้ยังกลายเป็นสีดำทั้งต้นและหลุดร่วงไปหมดทั้งต้น
“วิชาเข็มทิพย์ดอกเหมยร้ายกาจจริงๆ! เข็มเล็กๆบอบบางกลับสามารถแทงทะลุต้นใหญ่ได้อย่างง่ายดาย….บวกกับลมปราณพิษของข้านับว่ายิ่งร้ายกาจ เหอะๆ ลลมปราณห้าพิษช่างมีประโยชน์….เสียอย่างเดียว ความแม่นยำของข้าช่างต่ำทราม” ถังเฟยหู่เอ่ยพร้อมกับมองไปยังต้นไม้ที่ตายเพราะเข็มทิพย์ดอกเหมยของเขา…แต่ต้นไม้ที่โดนนี่สิกลับเป็นต้นไม้ข้างๆต้นที่เข้าเล็งเป้าหมายไว้ นับว่าคลาดเคลื่อนไปมากทีเดียว เห็นทีคงจำเป็นต้องฝึกอีกมาก หนทางนั้นยังคงอีกยาวไกลนัก