บทที่ 12 หอตำราชั้นสอง
ถังเฟยหู่ได้ออกจากห้องพักของตนและตรงไปยังหอตำราของตระกูล แม้จะพบเห็นคนอื่นมากมาย หรือแม้แต่อดีตลูกน้องของถังชิงก็ตาม แต่เมื่อไม่มีถังชิง พวกนั้นก็หาได้สนใจอะไรถังเฟยหู่อีก เพราะพวกเขานั้นไม่ต้องการเอาตัวเองไปยุ่งเกี่ยวกับคนไร้ค่าเช่นถังเฟยหู่ โดยที่ไม่มีใครทราบการเปลี่ยนแปลงของถังเฟยหู่เลยแม้แต่น้อย
เขาได้เดินจนมาถึงหอตำราประจำตระกูล ครั้งนี้เขาไม่ได้เดินไปยังชั้นหนังสือในชั้นที่หนึ่งอีกแล้ว นั่นก็เพราะเขาได้อ่านตำราทุกเล่มจากชั้นที่หนึ่งไปหมดแล้ว ครั้งนี้เขาได้เดินไปยังด้านในสุดของหอตำราซึ่งครั้งก่อนเขาไม่ได้ย่างกรายเข้าไปใกล้ ที่ตรงบันไดทางขึ้นชั้นที่สองนั้นได้มีชายชราคนหนึ่งยืนเฝ้าอยู่ตรงนั้น
ชายชราผู้นี้คือผู้อาวุโสถังเค่อผู้มีหน้าที่เฝ้าทางขึ้นหอตำราชั้นที่สอง ถังเค่อมีรูปลักษณ์เป็นชายแก่อายุประมาณหกสิบถึงเจ็ดสิบปี ผมขาวโพลนไปทั่วทั้งหัว ดวงตาสีเขียวมรกตซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของสายเลือดตระกูลถัง เขาได้สวมใส่เสื้อผ้าซึ่งมีสีขาวบริสุทธ์ เขาหันไปมองถังเฟยหู่ซึ่งกำลังเดินมาที่ตนด้วยสีหน้าแปลกใจ เขาทราบถึงชื่อเสียงของถังเฟยหู่ดีว่าเป็นผู้ไร้ความสามารถในตระกูล แต่เมื่อเขาใช้สัมผัสวิญญาณกับชายหนุ่มตรงหน้านี้กลับพบว่าเด็กหนุ่มผู้นี้มีพลังอยู่ระดับปราณสามขั้นสุดยอด ซึ่งถือว่าไม่เลวเมื่อเทียบกับผู้เยาว์ส่วนใหญ่ในตระกูล
“เจ้าสามารถขึ้นไปได้” ผู้อาวุโสถังเค่อเอ่ยเพียงแค่ประโยคเดียวกับถังเฟยหู่จากนั้นก็ไม่ได้สนใจใยดีอะไรเขาอีกต่อไป ซึ่งถังเฟยหู่เองก็หาได้สนใจไม่ เมื่อเขาได้รับคำอนุญาตจากผู้อาวุโสถังเค่อแล้วก็จึงเดินขึ้นชั่นที่สองไป เขาเดินขึ้นมาไม่นานก็ถึงชั้นที่สองของหอตำรา ที่ชั้นสองนั้นมีบรรยากาศที่เงียบสงบกว่าชั้นด้านล่างมากนัก ผู้คนส่วนใหญ่เมื่อเลือกวิชาจากหอตำราได้แล้วก็จะหยิบยืมออกไป ไม่ได้อยู่บนนี้นานนัก อีกทั้งวิชาบนหอตำราชั้นสองนั้นไม่ใช่เพลงยุทธ์ท่เน้นเพียงกระบวนท่าเหมือนชั้นที่หนึ่ง จึงทำให้การฝึกฝนนั้นยากกว่ามาก ผู้เยาว์ส่วนใหญ่ในตระกูลถังจึงฝึกทีละวิชาเสียมากกว่า
ถังเฟยหู่มองไปเหล่าตำราซึ่งวางไว้ยังชั้นที่สองแห่งนี้ ชั้นด้านบนนี้มีตำราน้อยกว่าด้านล่างมากนัก วิชาด้านบนนี้ส่วนใหญ่จะเป็นวิชาระดับสามซะส่วนใหญ่ มีวิชาระดับสี่อยู่น้อยมาก และยังแทรกไว้ด้วยวิชาระดับสองส่วนหนึ่งซึ่งเป็นวิชาประจำตระกูลถัง
“วิชาระดับสองฝ่ามือจงอาง วิชาระดับสามท่าเท้าอสรพิษ วิชาระดับสามปราณหกสังหาร วิชาระดับสามฝ่ามืออสรพิษพิโรธ วิชาระดับสี่กระบี่อสรพิษหมื่นแปร....วิชาเหล่านี้คือวิชาประจำสกุลถังทั้งนั้น” ถังเฟยหู่มองชั้นตำราซึ่งเก็บไว้ด้วยวิชาประจำตระกูลของตนเองไว้ ซึ่งเมื่อเทียบกับวิชาระดับสามอื่นๆในชั้นที่สองแล้ว เขาก็พบว่าวิชาประจำตระกูลของตนเองนั้นมีความเข้ากันกับลมปราณห้าพิษมากกว่า หรืออาจจะเป็นเพราะปราณห้าพิษนี้เป็นหนึ่งในวิชาประจำตระกูลถังเช่นกันจึงทำให้มีความเข้ากันได้อย่างกลมกลืน แต่ที่น่าแปลกคือเขากลับไม่พบตำราปราณห้าพิษบนชั้นที่สองของหอตำรา เมื่อเขาหลับตาและทบทวนเนื้อหาในตำราปราณห้าพิษในความทรงจำ มันก็ได้เขียนบอกไว้อย่างชัดเจนว่าเป็นวิชาปราณระดับสี่แห่งสกุลถัง
แต่สกุลถังแห่งฟูเจี้ยนนั้นกลับมีวิชาปราณขั้นสูงสุดอยู่เพียงระดับสามเท่านั้น ซึ่งก็คือปราณหกสังหาร แล้วทำไมถังหยางหลิวผู้เป็นตาของเขากลับครอบครองวิชาระดับสูงนี้ไว้กัน เขาคบคิดไปมากมายหลายอย่าง แต่ก็สรุปได้เพียงว่าผู้เป็นตาและแม่ของเขามาจากสกุลถังในดินแดนอื่นซึ่งมีระดับสูงกว่าสกุลถังแห่งฟูเจี้ยน แล้วถ้าหากเป็นเช่นนั้นจริงๆแล้วละก็ ทำไมตาและแม่ของตนเองจึงได้จากมาและอาศัยอยู่ในสกุลถังซึ่งมีระดับต่ำต้อยกว่ากันละ โดนขับไล่ออกจากตระกูล? หรือว่าถูกศัตรูตามล่ากัน? แต่เมื่อยิ่งคิดไปก็ยิ่งปวดหัวเสียเปล่าๆ ถังเฟยหู่เองก็พอใจกับความเป็นอยู่ปัจจุบันของตนเอง เสียก็เพียงแต่สุขภาพของมารดาตนเองซึ่งไม่ค่อยสู้ดีนัก เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ยิ่งทำให้ถังเฟยหู่มีความแน่วแน่กว่าเดิมมากนักในหนทางแห่งการฝึกตน
ถังเฟยหู่เปิดอ่านตำราทั้งห้าเพื่อจดจำวิชาทั้งห้าไว้ในห้วงความทรงจำของตนเอง เวลาดำเนินผ่านไปหลายชั่วยาม เมื่อถังเฟยหู่จดจำได้สี่วิชาแล้ว เขาได้หันออกไปมองด้านนอกก็พบเวลาตอนนี้เป็นช่วงเวลาเย็นมากแล้ว เหลือตำราอีกเพียงหนึ่งเล่มซึ่งเขายังไม่ได้จดจำเข้าสู่ห้วงความจำของตนเอง
กระบี่อสรพิษหมื่นแปร
เขาได้หยิบตำราเล่มนี้ลงไปยังชั้นล่างของหอตำราเพื่อไปขออนุญาติผู้อาวุโสถังเค่อในการหยิบยืมตำราเล่มนี้ออกไปจากหอตำรา ซึ่งเมื่อพบอาวุโสถังเค่อที่ชั้นล่าง ถังเฟยหู่เองก็ได้บอกกล่าวกับผู้อาวุโสอย่างสุภาพ
“ผู้อาวุโส ข้าอยากจะขอหยิบยืมตำราเล่มนี้ไปด้วยขอรับ” ถังเฟยหู่กล่าวกับผู้อาวุโสถังเค่อพร้อมกับยื่นตำราไปให้ ซึ่งชายชราเองก็แปลกใจเช่นกันที่ถังเฟยหู่หยิบยืมตำราซึ่งเป็นวิชาระดับสี่
“เหอะๆ คนหนุ่มช่างเลือดร้อนเสียจริง เจ้าหนู วิชาระดับสี่นี้นับว่าฝึกฝนได้ยากกว่าวิชาระดับสี่อื่นๆในหอตำรามากนัก กระบี่อสรพิษหมื่นแปรเป็นวิชาที่เน้นความพลิกแพลงและแปรเปลี่ยนกระบวนท่าอยู่ตลอดเวลา ต้องใช้ความชำนาญในระดับที่สูงมาก อีกทั้งหากกระบวนท่าของเจ้าเกิดติดขัดขึ้นมา...เจ้าอาจจะโดนฝ่ายตรงข้ามสังหารได้อย่างง่ายดายเลยทีเดียว เจ้าแน่ใจอย่างงั้นเหรอ?” ฝู้อาวุโสถังเค่อเอ่ยถามถังเฟยหู่
“ข้าแน่ใจขอรับผู้อาวุโส” ถังเฟยหู่ตอบ
หลังจากนั้นชายหนุ่มจึงได้เดินจากมาพร้อมกับตำรากระบี่อสรพิษหมื่นแปร เขาได้เดินกลับไปยังบ้านพักของตนเองอีกครั้งหนึ่ง ในครานี้เขาได้กลับไปกินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากับครอบครัวของเขาครั้งแรกในรอบหลายเดือน ซึ่งเมื่อมารดาของเขาได้พบเห็นลูกชายของตนเองมาร่วมโต๊ะทานอาหารด้วยก็ดีใจเป็นอย่างมาก ครอบครัวได้กลับมารวมตัวกันครบหน้า มารดาและตาของถังเฟยหู่สอบถามเรื่องราวมากมายกับเขาในช่วงที่ผ่านมาว่าเขานั้นฝึกฝนเป็นอย่างไรบ้าง ซึ่งชายหนุ่มเล่าเรื่องราวมากมายทั้งเรื่องการต่อสู้ในป่าอสูรกับหมีขนเหล็กรวมไปถึงการต่อสู้กับแมงป่องม่วง
ถังเฟยหู่เองก็เล่าเรื่องราวต่างๆได้ออกอรรถรสเป็นอย่างมากจนทำให้มารดาของเขาถึงกับตื่นเต้นและหวาดกลัวไปพร้อมๆกัน เขาเล่าเรื่องราวไปมากมายนัก จะยกเว้นก็เพียงแต่เรื่องของจิ้งจอกหิมะเก้าหางที่ตาของเขาเคยสั่งห้ามไว้ไม่ให้บอกเล่าแก่มารดาตน
หลังจากทานอาหารเสร็จ ถังเฟยหู่ขอตัวไปฝึกฝนวิชาต่อ เขาได้ออกไปยังลานกว้างด้านหลังบ้านของตนเอง จากนั้นเขาได้หยิบตำราเล่มหนึ่งออกจากอกเสื้อของตนเอง มันคือตำรากระบี่อสรพิษหมื่นแปร เขาได้ค่อยๆเปิดอ่านตำรานั้นทีละหน้าเพื่อจดจำทุกรายละเอียดไว้ในห้วงความจำ
“เข็มทิพย์ดอกเหมยและกระบี่อสรพิษหมื่นแปร....ต่างก็เป็นวิชาระดับสี่ หนึ่งเข็มหนึ่งกระบี่ หนึ่งวิชาเน้นซ่อนเร้น อีกหนึ่งวิชาเน้นพลิกแพลง สำหรับการประลองที่จะมาถึงนั้นการใช้อาวุธลับถือเป็นเรื่องต้องห้ามในการประลอง แม้เข็มทิพย์ดอกเหมยจะโดดเด่นในการโจมตีระยะไกลกับซ่อนเร้น แต่หากจะใช้ในการประลองแล้วละก็...คงต้องใช้วิชาอื่น”
ถังเฟยหู่เริ่มฝึกจากวิชาที่ง่ายที่สุดจากวิชาทั้งหมดที่ได้มาจากหอตำรา ซึ่งก็คือฝ่ามือจงอาง วิชานี้นั้นเน้นที่กระบวนท่าที่พลิกแพลง จึงทำให้ฝึกฝนไม่ยากนัก ที่ขาดคือความชำนาญในการฝึกฝนเท่านั้น ต่อมาเขาจึงค่อยฝึกท่าเท้าอสรพิษลึกลับ ซึ่งวิชานี้ต้องใช้การเดินลมปราณตามเคล็ดวิชาในตำราซึ่งไม่ยากมากนักสำหรับเขาซึ่งเคยผ่านการฝึกฝนวิชาระดับสี่มาแล้ว ถังเฟยหู่สามารถฝึกฝนท่าเท้าอสรพิษลึกลับได้สำเร็จในช่วงเช้าอีกวันหนึ่ง
ชายหนุ่มพุ่งทะยานไปมาในลานกว้าง หลบหลีกไปมาราวกับงูตัวหนึ่ง ภายในลานกว้างเต็มไปด้วยพายุกลีบดอกไม้สีแดงซึ่งเกิดจากกระบวนท่าดอกไม้แดงเริงระบำ เข็มทั้งหกพุ่งทะยานไปมาภายในพายุกลีบดอกไม้ แม้ในช่วงแรกจะมีติดขัดอยู่บ้างแต่เขาก็สามารถใช้ท่าเท้าอสรพิษลี้ลับหลบหลีกได้ แม้จะไม่สมบูรณ์แบบ แต่ก็นับว่าเพียงพอหากจะนำมันไปใช้งาน แต่หากเจอผู้ที่มีพลังเหนือกว่าสักขั้นถึงสองขั้นก็นับว่ายังตึงมือจนเกินไปอยู่เช่นกัน ซึ่งเมื่อเขาฝึกจนพอใจแล้วเขาก็ได้หยุดกระบวนท่าดอกไม้แดงเริงระบำ ถังเฟยหู่ทบทวนวิชาอื่นๆภายในห้วงความจำต่อ เขาตัดสินใจที่จะไม่ฝึกปราณหกสังหาร เพราะปราณห้าพิษนั้นมีพลังที่เหนือกว่าอยู่แล้ว
ชายหนุ่มหันมาสนใจวิชาระดับสาม ฝ่ามืออสรพิษพิโรธแทน เขาเริ่มจากการใช้ปราณอำมหิตเพื่อฝึกวิชานี้ก่อนในครั้งแรก การใช้ปราณห้าพิษอย่างพร่ำเพรื่อนั้นไม่ส่งฝนดีกับสิ่งรอบข้างสักเท่าไหร ฝ่ามืออสรพิษพิโรธนั้นเป็นวิชาที่จู่โจมโดยใช้ปราณแผ่พุ่งออกภายนอก หากใช้ปราณห้าพิษร่วมด้วยอาจจะส่งผลอันร้ายแรงอย่างมากต่อคนรอบข้าง
ในคราแรกที่เริ่มฝึกนั้นแม้จะผ่านไปถึงสามวัน แต่หนึ่งฝ่ามือของเขาที่ใช้ไปนั้นปลดปล่อยได้เพียงแค่งูจิ๋วตัวน้อยเพียงหนึ่งคืบจากฝ่ามือ ฝ่ามืออสรพิษพิโรธนั้นความยากของการฝึกฝนอยู่ที่การปลดปล่อยปราณออกจากร่างกายในปริมาณมหาศาล ต่างจากวิชาด้ายแดงชิงใจที่ใช้ด้ายปราณเพียงน้อยนิด แต่แค่นี้ก็นับว่าเหนือกว่าผู้อื่นในรุ่นเยาว์ของตระกูลมากนัก อาจจะเป็นเพราะเขาเคยมีพื้นฐานจากเข็มทิพย์ดอกเหมย
ถังเฟยหู่ยังคงฝึกฝนฝ่ามืออสรพิษพิโรธอย่างต่อเนื่องจนเวลาผ่านไปอีกครึ่งเดือน ชายหนุ่มยังจู่โจมใส่อากาศด้วยฝ่ามือที่ทรงพลังจนเกิดเสียงแหวกอากาศอย่างรุนแรง ในคราครั้งนี้นั้นหนึ่งฝ่ามือของชายหนุ่มแผ่พุ่งออกมาด้วยปราณสีแดงรูปอสรพิษยาวกว่าสิบเซียะ ปราณแดงรูปงูพิษพุ่งเข้าปะทะกับต้นไม้ใกล้ลานกว้าง ฝังร้อยรูปอสรพิษขดตัวอยู่บนลำต้นของต้นไม้นั้น
“...ฝ่ามืออสรพิษพิโรธนับว่าฝึกฝนได้ก้าวหน้ามากแล้ว แต่หากจะให้พัฒนาได้อย่างรวดเร็วจริงๆคงจำต้องใช้การต่อสู้จริงๆสินะ คงต้องพอแต่เพียงเท่านี้กับวิชาฝ่ามือ ต่อไปก็ถึงเวลาที่จะฝึกฝนเพลงกระบี่แล้ว” ถังเฟยหู่หลับตาและเพ่งสมาธิสู่ห้วงความทรงจำของตัวเองเพื่ออ่านตำรากระบี่อสรพิษหมื่นแปรอีกครั้ง ที่จริงแล้วครึ่งเดือนมานี้ระหว่างที่ฝึกฝนฝ่ามืออสรพิษพิโรธ เขาได้แบ่งเวลาอยู่ช่วงหนึ่งเพื่อนำตำรากลับไปคืนยังหอตำรา แต่เขาไม่ได้หยิบยืมตำราอื่นใดออกมาอีก เพราะคาดว่าเพลงกระบี่นี้จำต้องใช้เวลานานมากในการฝึกฝน จึงไม่จำเป็นต้องแบ่งสมาธิไปฝึกวิชาอื่นให้เสียสมาธิอีก ถังเฟยหู่จดจำกระบวนท่าทุกท่าในเพลงกระบี่อสรพิษหมื่นแปรได้หมดสิ้น เพราะตำราทั้งเล่มนั้นอยู่ภายในห้วงความทรงจำของเขาอยู่แล้ว แต่สิ่งที่ยากสำหรับวิชานี้ไม่ใช่กระบวนท่า แต่เป็นสำนึกของกระบี่ที่จำต้องเรียนรู้และเข้าใจเอง ไม่อาจใช้ความทรงจำช่วยในการเรียนรู้ได้
ถังเฟยหู่เรียกจิตวิญญาณอสรพิษมรกตของตัวเองออกมา ละอองลมปราณสีเขียวที่ถูกปลดปล่อยออกจากร่างกายนั้นมารวมตัวอยู่บนท่อนแขนของเขา พวกมันรวมกันจนก่อร่างเป็นงูตัวหนึ่งพันอยู่บนแขนของเขา เขาได้สั่งให้มันกลายร่างเป็นรูปแบบอาวุธจิตวิญญาณ อสรพิษมรกตเปล่งแสงสีเขียวและกลายร่างเป็นรูปร่างขลุ่ยหยกเลาหนึ่งอยู่ในมือของเขา ถังเฟยหู่ใช้ขลุ่ยหยกแทนกระบี่
เขาเริ่มแท่งกระบี่ไปตรงๆทางด้านหน้าอย่างช้าๆ ค่อยๆฟันตามกระบวนท่าในตำรากระบี่ เริ่มจากช้าและค่อยๆเปลี่ยนเป็นเร็วขึ้นตามลำดับ กระบวนท่าทั้งแทงและฟันอันหลากหลายมากมายทั้งหนึ่งร้อยแปดกระบวนท่า ถังเฟยหู่ออกกระบวนท่าซ้ำไปซ้ำไปหลากหลายรอบจนรู้สึกตัวอีกทีก็ผ่านไปกว่าสามวันแล้ว
“สำนึกกระบี่ใช้เพียงการฝึกฝนธรรมดาไม่ได้จริงๆ นอกจากความชำนาญในกระบวนท่าแล้ว...สำนึกกระบี่ไม่บังเกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย”
ถังเฟยหู่หยุดการฝึกกระบวนท่าแล้วออกไปหาการฝึกฝนที่ภายนอก เขาได้ไปอาบน้ำแต่งตัวใหม่เสียให้เรียบร้อย เขาแต่งกายด้วยชุดเรียบร้อยดุจบัณฑิตสีดำ เขาได้เหน็บอาวุธจิตวิญญาณขลุ่ยหยกไว้ที่สายคาดเอวด้านหลัง เขาได้เก็บที่คาดตาโลหะไว้ในอกเสื้อจากนั้นจึงค่อยออกไปเดินเล่นภายในเมือง
เขาเดินจากตระกูลถังไปยังสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งมีชื่อเสียงภายในเมือง ที่แห่งนั้นถูกเรียกขานกันว่าโรงเตี๊ยมประตูมังกร เป็นกิจการโรงเตี๊ยมซึ่งถูกดูแลโดยสำนักประตูมังกร หนึ่งในสำนักทรงอำนาจแห่งแคว้นเจียงหนานนี้ สำนักประตูมังกรมีลูกศิษย์ในสำนักนับหมื่นนับพันทั่วทั้งแคว้น แม่แต่แม่ทัพคู่เมืองหม่าหยางเกายังเป็นอดีตศิษย์จากสำนักประตูมังกร โดยกิจการโรงเตี๊ยมที่ถูกดูแลโดยสำนักประตูมังกรจะเป็นสถานที่ซึ่งพิเศษเป็นอย่างมาก และยังเป็นที่นิยมกันในหมู่ผู้ฝึกยุทธ์ทั้งหลาย นั่นก็เพราะนอกจากจะดำเนินกิจการโรงเตี๊ยมแล้ว โรงเตี๊ยมประตูมังกรยังเป็นสถานที่สำหรับประลองยุทธ์เพื่อฝึกฝีมือ ทั้งมีศิษย์ของสำนักประตูมังกรที่ถูกส่งมาเป็นนักสู้ประจำสนามประลองหรือจะสามารถเช่าสถานที่เพื่อต่อสู้กับผู้อื่น หรือแม้แต่ใช้เป็นสถานที่ตัดสินหนี้แค้นก็ยังได้ ด้วยอำนาจของสำนักประตูมังกร แม้จะมีคนตายไประหว่างประลองก็ตาม แต่ทางการยังไม่แม้แต่จะกล้าสอดมือเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย
ถังเฟยหู่หยุดยืนอยู่ด้านหน้าโรงเตี๊ยมประตูมังกร สถานที่แห่งนี้ดูไม่เล็กไม่ใหญ่ เป็นเพียงโรงเตี๊ยมขนาดกลางๆในเมืองเท่านั้น มันเป็นอาคารที่ถูกสร้างโดยไม้ทั้งหลัง ด้านบนเหนือประตูมีอักษรเขียนอยู่ว่าโรงเตี๊ยมประตูมังกร ถังเฟยหู่มองอักษรบนนั้นด้วยแววตาคาดหวังบางอย่าง เขาก้าวเดินเข้าไปด้านใน เมื่อเข้ามาแล้วนั้นเขาพบเห็นโต๊ะเก้าอี้ไม้วางไว้ทั่วทั้งชั้นหนึ่ง เมื่อมองตรงไปก็เห็นบันไดทางขึ้นไปยังชั้นที่สอง
ในชั้นที่หนึ่งนี้สามารถมองเห็นผู้ฝึกยุทธ์มากหน้าหลายตานั่งอยู่เต็มไปหมด ผู้คนเหล่านี้คือผู้ที่มาตามหาความสนุกสนานในสนามประลองโรงเตี๊ยมประตูมังกร ส่วนมากเป็นผู้เยาว์จากตระกูลต่างๆรวมถึงสำนักในเมืองฟูเจี้ยน ถังเฟยหู่เดินขึ้นไปยังชั้นที่สองของโรงเตี๊ยมจากนั้นจึงเลือกที่นั่งหนึ่งติดระเบียงด้านในโรงเตี๊ยม ระเบียงด้านในโรงเตี๊ยมนั้นเมืองมองลงไปจะสามารถเห็นใจกลางของโรงเตี๊ยมประตูมังกรได้ ซึ่งมันคือสนามประลองอันโด่งดังแห่งโรงเตี๊ยมประตูมังกร
เฮ่!! เฮ่!
เสียงเชียร์ดังสนันไปทั่วทั้งโรงเตี๊ยม ผู้คนทั้งหลายต่างมองไปยังสนามประลองพร้อมกัน บนสนามประลองนั้นคือบุรุษสองคนซึ่งกำลังต่อสู้อยู่ หนึ่งคือศิษย์รุ่นเยาว์แห่งสำนักประตูมังกร อีกหนึ่งคือผู้ท้าชิงซึ่งต้องทำให้ถังเฟยหู่แปลกใจเป็นอย่างมาก เพราะคนผู้นี้คือหลิวฮวน ผู้ที่เคยถูกถังเฟยหู่เล่นงานภายในป่าอสูร หลิวฮวนพร้อมกับจิตวิญญาณเสือเขี้ยวดาบกำลังแยกโจมตีศิษย์สำนักประตูมังกร ถังเฟยหู่เองก็สังเกตการต่อสู้ของหลิวฮวนอย่างใกล้ชิด สมแล้วที่หลิวฮวนเป็นยอดฝีมือในปราณขั้นเจ็ดระดับสุดยอด กระบวนท่า ความเฉียบคม ความรวดเร็ว หากถังเฟยหู่ไม่ใช้วิธีลอบจู่โจมกับหลิวฮวน คงไม่มีทางที่จะต่อกรกับหลิวฮวนได้เลยแม้แต่ครึ่งกระบวนท่า ระหว่างการต่อสู้ในสนามประลอง หลิวฮวนได้ตัดสินใจใช้อาวุธจิตวิญญาณในที่สุด เสื้อเขี้ยวดาบของเขากลายเป็นดาบทองในมือของหลิวฮวน เขาชี้ดาบไปยังศิษย์สำนักประตูมังกรด้วยความหยิ่งยะโส ราวกับการต่อสู้นี้เขาคือคนที่เป็นผู้ชนะแล้ว
“หึๆ แค่เป็นเพียงข้ารับใช้จากตระกูลใหญ่ในแดนห่างไกลยังหยิ่งยโสขนาดนี้ ข้าจะสอนให้เจ้ารู้เองว่าพลังของสำนักจากเมืองหลวง ผู้อาวุโส ข้าขออนุญาตใช้จิตวิญญาณ” ศิษย์สำนักประตูมังกรผู้นั้นหันไปกล่าวกับคนผู้หนึ่งบนชั้นสองของโรงเตี๊ยมประตูมังกร ซึ่งไม่มีใครทราบว่าเขานั้นพูดกับใคร แต่ได้มีเสียงชราหนึ่งดังก้องไปทั่วทั้งโรงเตี๊ยม เสียงที่เปล่งออกมาแม้เพียงไม่กี่คำ แต่กลับสั่นสะท้านไปถึงวิญญาณสำหรับทุกคน
“ตามใจเจ้า”
“ขอบคุณผู้อาวุโส” ชายหนุ่มผู้เป็นศิษย์สำนักประตูมังกรประสานมือคาราวะไปยังทางชั้นสอง เขาหันกลับมายังหลิวฮวนผู้กำลังชี้ดาบมาทางเข้าด้วยท่าทียโสโอหัง เขาปลดปล่อยละอองปราณสีเงินออกมาเป็นจำนวนมาก ละออกปราณสีเงินนั้นถูกรวบรวมอยู่ด้านหลังของเขา มันก่อรูปร่างขนาดใหญ่อยู่เบื้องหลัง
โฮกกก
เสียงคำรามสั่นสะท้านไปทั่วทั้งเมือง ที่ด้านหลังของศิษย์สำนักประตูมังกรนั้นคือจิตวิญญาณขนาดใหญ่ยักษ์จนสูงเทียบเท่ากับชั้นสองของโรงเตี๊ยมประตูมังกร เหล่าผู้เยาว์ภายในโรงเตี๊ยมต่างสั่นสะท้านไปถึงวิญญาณ นี่มันคือจิตวิญญาณระดับสี่! เหนือซะยิ่งกว่าหลิวจิวฮุ่ย ยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งเมืองฟูเจี้ยน นี่หรือคือระดับของเมืองหลวง! จิตวิญญาณตัวนั้นคือจิตวิญญาณมังกรโลหะ มังกรคือจิตวิญญาณที่ถูกล่ำลือว่าเป็นจิตวิญญาณประเภทที่แข็งแกร่งที่สุด
ถังเฟยหู่หัวใจเต้นโครมครามด้วยความตื่นเต้น การมาเยือนโรงเตี๊ยมประตูมังกรในครั้งนี้นับว่าไม่เสียที ได้พบเห็นยอดฝีมือประลองยุทธ์กัน หลิวฮวนยังคงสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง เขายังคงมั่นใจอย่างมากกับการต่อสู้ เขาเชื่อเสมอว่าไม่มีสิ่งใดที่จะรอดไปจากคมดาบของเขาได้ ส่วนศิษย์สำนักประตูมังกรผู้นั้นก็ไม่อาจอ่อนข้อให้ได้ เขานั้นไม่ชอบใจอย่างมากที่ถูกดูหมิ่นโดยท่าทางไม่เคารพของหลิวฮวน เขายื่นมือออกไปด้านหน้าของเขา เรียกให้จิตวิญญาณมังกรโลหะของเขาแปรเปลี่ยนเป็นอาวุธจิตวิญญาณรูปร่างดาบ ดาบในมือของเขาคือดาบโลหะสีเงินรูปร่างดุดัน สลักลวดลายมังกรบนนั้น
เพลงดาบมังกรเก้าเศียร มังกรแหวกสมุทร
สำนึกดาบอันทรงพลังก่อเกิดขึ้นจากดาบมังกรสีเงิน เสียงที่ออกจากดาบเล่มนั้นอื้ออึงสั้นสะท้านไปทั่วร้าวกับดาบเล่มนั้นคำรามออกมาได้ ศิษย์สำนักประตูมังกรฟันดาบจากบนลงล่างใส่หลิวฮวนด้วยความเร็วลึกล้ำ สำนึกดาบร่วมกับพลังปราณก่อเกิดพลังไร้รูปร่างสะกดข่มทุกคนในพื้นที่นั้น กระบวนท่านี้ก่อเกิดภาพปราณมายารูปร่างมังกรเงินพุ่งทะยานออกไปเข้าปะทะ! ส่วนหลิวฮวนเองก็ไม่อยู่เฉยเช่นกัน เขาฟาดฟันออกไปด้วยกระบวนท่าที่รุนแรงที่สุดแห่งเพลงดาบหมาป่าทองคำ!
เพลงดาบหมาป่าทองคำ หมาป่าอหังการ
ภาพมายาของมังกรและหมาป่าสีทองปะทะกันที่ใจกลางสนามประลอง แต่ผลตัดสินนั้นก็ออกมาในชั่วพริบตาเช่นเดียวกัน! มายาปราณมังกรเงินกลืนกินหมาป่าทองคำไปและพุ่งทะยานใส่หลิวฮวนจนหลุดลอยออกไปนอกสนามประลอง แม้พลังปราณจะนับว่าพอจะสูสีกัน แต่ศิษย์สำนักประตูมังกรนั้นเหนือกว่าทั้งกระบวนท่า สำนึกดาบ และไหนยังจะเป็นระดับของจิตวิญญาณ หลิวฮวนไม่มีสิ่งใดที่สามารถเทียบเท่ากับเขาได้
หลิวฮวนที่หลุดออกนอกสนามถูกทำลายศักดิ์ศรีจนย่อยยับ คนถือดีอย่างตระกูลหลิวกลายเป็นที่ขบขันท่ามกลางผู้คนจำนวนมาก เขาเช็ดคราบเลือดที่ไหลออกมาจากปากจากนั้นก็ยืนขึ้นแล้วจับจ้องไปยังคนผู้ที่ชนะเขาด้วยสายตาอาฆาตแค้น
“หากเจ้าต้องการแก้มือ เจ้าสามารถกลับมายังโรงเตี๊ยมมังกรได้ทุกเมื่อ หวังว่าคราวหน้าเจ้าจะวางความถือดีของเจ้าไว้ยังตระกูล แล้วกลับมาที่สนามประลองนี้ด้วยความต้องการเพียงแค่ฝึกฝนและพัฒนาฝีมือ สำนักของข้าสร้างสถานที่แบบนี้เพื่อต้องการให้ลูกศิษย์ทั้งหลายได้เดินทางออกไปต่อสู้กับผู้คนทั่วทั้งแคว้นเพื่อสร้างประสบการณ์ และเพื่อให้ผู้เยาว์ของแคว้นเราได้ประโยชน์จากการฝึกฝน แต่ไม่ใช่สถานที่สำหรับแสดงความถือดีของเจ้า จงจำชื่อของข้าไว้ให้ดี หม่าหยางจง บุตรชายของแม่ทัพคู่เมือง!” ผู้เยาว์ทั้งหลายในโรงเตี๊ยมต่างตกตะลึง ไม่นึกเลยว่ายอดฝีมือแห่งสำนักประตูมังกรผู้นี้จะคือทายาทของแม่ทัพคู่เมืองหม่าหยางเกาในตำนาน ท่ามกลางความแปลกใจนั้นกลับมีคนผู้หนึ่งที่มีความสุขเหนือผู้อื่นใด คนผู้นั้นไม่ใช่ใครอื่นนอกจากถังเฟยหู่
ถังเฟยหู่ไม่คิดเลยว่ากลับได้พบเห็นกับสำนึกดาบของจริงด้วยตาของตนเอง ในคราแรกเขาไม่ทราบหนทางในการครอบครองสำนึกกระบี่ แต่การได้พบเห็นด้วยตาย่อมเหนือกว่าการค้นหาหนทางด้วยตัวเอง ในคราแรกที่เขาฝึกฝนราวกับวิ่งวนอยู่ในความมืดที่ไร้ทางออก แต่หลังจากเห็นการต่อสู้ในครั้งนี้ราวกับเขาเห็นหนทางได้อยู่รำไร
“สำนึกดาบ....สำนึกกระบี่ หึๆ ช่างร้ายกาจเสียจริง การมาครั้งนี้นับว่าเป็นประโยชน์แก่การฝึกของข้ามากนัก”
หลังจากหลิวฮวนได้จากไปพร้อมความอับอายแล้ว ถังเฟยหู่จึงค่อยลงไปยังสนามประลองด้านล่างเพื่อสมัครขอเข้าร่วมการประลอง ซึ่งไม่นานนักเขาก็ได้มายืนอยู่บนสนามประลองที่ๆหลิวฮวนเคยยืนอยู่ ส่วนคู่ต่อสู้ของเขานั้นไม่ใช่ใครอื่นนอกจากหม่าหยางจงผู้ไร้เทียมทาน ถังเฟยหู่ประสานมือคาราวะไปทางหม่าหยางจงและกล่าวขึ้นมา
“ผู้น้อยเป็นคนไร้ชื่อเสียงเรียงนาม ขอให้พี่หม่าหยางจงชี้แนะข้าด้วย”
1) เมืองหลวงที่ลูกศิษย์สำนักประตูมังกรกล่าวถึงคือหลงซิง เมืองหลวงแคว้นเจียงหนาน