บทที่ 13 กำเนิดสำนึกกระบี่
“เจ้าหมอนั่นคือใครกัน?” หนึ่งในผู้เยาว์ตระกูลใหญ่ภายในเมืองเอ่ยถามเพื่อนที่นั่งอยู่ด้านข้างบนชั้นสองของโรงเตี๊ยมประตูมังกร ซึ่งสหายของเขาเองก็มึนงงเองเช่นกันว่าบุคคลที่พึ่งขึ้นไปเป็นใครกัน
“ข้าเองก็ไม่ทราบหรอกว่าเขาเป็นใคร แต่ถ้าหากให้ดูจากดวงตาสีเขียวมรกตคู่นั้นแล้วละก็ เขาคงจะเป็นคนสกุลถังไม่ผิดแน่นอน ผู้เยาว์สกุลถังที่อายุสิบห้าปีเหรอ? อืมม” เขาทำสีหน้าครุ่นคิดเพียงครู่หนึ่งก่อนจะหันไปบอกกล่าวกับเพื่อนของเขา “ผู้เยาว์ที่โดดเด่นของสกุลถังในรุ่นอายุสิบห้าปีน่าจะมีเพียงถังชิงและถังเหยียน แต่คนผู้นี้ไม่น่าจะใช่ทั้งสองคนนั้น บุคคลผู้นี้มีตาอีกข้างหนึ่งเป็นสีขาวขุ่น หากไม่ใช่พลังของสายเลือดใดแล้วละก็ ไม่ก็อาจจะเป็นตาที่มืดบอด...ไม่ ไม่น่าจะใช่ หากตาของเขาบอดไปข้างหนึ่งไม่น่าจะประสบความสำเร็จในหนทางแห่งการฝึกตน เป็นเพียงคนพิการ...เขาจะกล้าประลองหม่าหยางจงเชียวเหรอ? ไม่น่าเป็นไปได้” บุรุษผู้นั้นเอ่ยวิเคราะห์ให้เพื่อนของเขาได้ฟัง
ส่วนบนสนามประลองนั้น หม่าหยางจงมีสีหน้าแปลกใจเหมือนกันที่มีผู้เยาว์อายุน้อยถึงขนาดนี้กลับกล้าขึ้นมาบนสนามประลอง และจากที่เขาสัมผัสได้ ผู้เยาว์คนนี้มีพลังอยู่เพียงแค่ปราณขั้นสามระดับสุดยอด คิดยังไงก็คงไม่อาจต่อกรกับตัวเขาซึ่งมีพลังในระดับปราณขั้นสิบสองระดับสุดยอด แต่เขาไม่ได้บอกใครในเรื่องนั้น หากมีคนทราบเรื่องนี้แล้วคงไม่มีใครกล้าที่จะท้าเขาประลองอย่างแน่นอน แต่มันก็แค่นั้น เพราะไม่มีผู้เยาว์คนไหนในเมืองนี้เลยที่สามารถต่อกรกับเขาได้ เวลาเขาประลองจึงมักที่จะกดพลังของตนเองให้เทียบเท่ากับคู่ต่อสู้เสมอ หม่าหยางจงประสานมือคาราวะตอบกลับไปยังถังเฟยหู่ตรงหน้าพร้อมกับกล่าว “ข้าเองก็ขอคำชี้แนะด้วยเช่นกัน”
ถังเฟยหู่ปลดปล่อยปราณสีแดงออกมารอบตัว เขาได้ใช้ปราณอำมหิตในการต่อสู้ครั้งนี้ การใช้ปราณห้าพิษและพลังพิษในการต่อสู้ต่อหน้าผู้คนมากมายในตอนนี้นับว่าเป็นวิธีการที่ไม่ค่อยฉลาดนัก เขายื่นมือไปด้านหน้าพร้อมปลดปล่อยปราณสีแดงรูปอสรพิษบินทะยานพุ่งไปหาหม่าหยางจง
ปราณอำมหิต ฝ่ามืออสรพิษพิโรธ
หม่าหยางจงพุ่งทะยานหลบหลีกโดยง่าย เขาพุ่งตัวเข้าไปหาถังเฟยหู่จากนั้นใช้ฝ่ามือของเขาพยายามคว้าจับและโยนถังเฟยหู่ออกไปจากสนามประลอง แต่เขาไม่ได้ยอมให้หม่าหยางจงชนะได้โดยง่าย เขาใช้ท่าเท้าอสรพิษลี้ลับหลบหลีกหนีซ้ายขวา กระบวนท่าของเขาราวกับทำให้บังเกิดภาพมายาของอสรพิษตัวหนึ่งพุ่งทะยานหลบหลีกไปมาอยู่บนสนามประลอง หม่าหยางจงไม่อาจคว้าจับชายหนุ่มโดยง่าย ทำให้เขาแปลกใจอยู่บ้าง
ท่าเท้ามังกรบิน
หม่าหยางจงใช้วรยุทธ์ระดับสี่จากสำนักตนเองเข้าต่อกร เข้าพุ่งทะยานไปหาถังเฟยหู่ด้วยความเร็วที่เหนือยิ่งกว่า เพราะท่าเท้ามังกรบินนั้นเป็นวิชาที่สูงกว่าท่าเท้าอสรพิษลี้ลับ แต่วิชานี้นั้นดีเด่นในด้านความเร็วที่พุ่งทะยานไปในทางตรง ตรงข้ามกันกับท่าเท้าอสรพิษลี้ลับ ทำให้ทั้งคู่ไล่จับกันไปมาบนสนามประลอง หลายครั้งที่หม่าหยางจงเกือบจะสามารถคว้าจับ แต่ถังเฟยหู่ก็สามารถหลุดรอดมาได้ทุกครั้ง
ในตอนนั้นเองที่ถังเฟยหู่ใช้จังหวะที่รบรอดจากหม่าหยางจงได้ซัดฝ่ามืออสรพิษพิโรธออกไป ปราณสีแดงรูปอสรพิษสีแดงพุ่งทะยานใส่หม่าหยางจงจากจุดอับ แต่เขาไม่ยอมถูกเล่นงานโดยง่าย หม่าหยางจงหมุนตัวกลับหลังซัดฝ่าของเขาออกไป พลังปราณจากตันเถียนไหลเวียนวิ่งพล่านไปทั่วทั้งร่าง ปราณสีเหลืองทองเปล่งรัศมีจนสามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่า พลังทั้งหมดถูกรวบรวมไว้ในฝ่ามือข้างขวา ปราณสีเหลืองทองลอยออกมารอบแขนข้างขวาของเขาจนบังเกิดภาพมายาปราณรูปหัวของมังกร ปราณรูปมังกรพุ่งทะยานออกจากมือของเขาเข้าปะทะกับปราณอสรพิษสีแดงที่กำลังพุ่งเข้ามา
ฝ่ามือมังกรเทพมังกร มังกรทะยาน
เปรี้ยงงง!
ลมปราณสองสีเข้าปะทะหักล้างกัน หนึ่งูหนึ่งมังกร หนึ่งสีแดงอีกหนึ่งสีเหลืองทอง แต่ฝ่ายที่ถูกดันกลับไปจนกระเด็นถึงขอบเวทีกลับกลายเป็นถังเฟยหู่แทน ทั้งระดับของลมปราณ ทั้งระดับของวรยุทธ์ล้วนต่ำกว่าทั้งสิ้น ฝ่ามืออสรพิษพิโรธไม่อาจต่อกรกับฝ่ามือเทพมังกรแห่งสำนักประตูมังกรซึ่งเป็นวรยุทธ์ระดับสี่ได้เลย
เลือดไหลซึมออกมาจากมุมปากของถังเฟยหู่ ร่างกายของเขาไม่อาจรับแรงปะทะที่ถูกส่งมาจากฝ่ามือของหม่าหยางจง ร่างกายของบัณฑิตอ่อนแอที่ฝึกฝนมาน้อยนั้น ดูเหมือนจะกลายเป็นหนึ่งในจุดอ่อนของเขาไปเสียแล้ว ถังเฟยหู่เช็ดเลือดออกจากมุมปากของเขาจากนั้นเขาจึงกลับมายืนอย่างมั่นคงอีกครั้งหนึ่ง
ทางเดียวที่ถังเฟยหู่จะสามารถต่อกรกับหม่าหยางจงได้คงจำต้องใช้วิชาที่มีระดับสูงสุดของตนเองในตอนนี้ เขาหยิบขลุ่ยที่ไว้ที่เอวออกมาถือไว้แล้วชี้ไปยังหม่าหยางจง ถังเฟยหู่รวบรวมปราณไว้ยังขลุ่ยหยกซึ่งใช้แทนกระบี่ เข้าพุ่งตัวเข้าไปหาหม่าหยางจงอย่างรวดเร็ว แทงออกด้วยขลุ่ยหยกนั้น
กระบี่อสรพิษหมื่นแปร อสรพิษฉกเหยื่อ
ปราณสีแดงรูปงูพุ่งออกไปพร้อมกับขลุ่ยหยก หม่าหยางจงยิ้มออกมาเมื่อเห็นกระบวนท่านี้ เขาเรียกจิตวิญญาณของตนเองออกมาและเปลี่ยนมันเป็นอาวุธจิตวิญญาณรูปร่างดาบบนมือของตนเอง เขาใช้มันขวางไว้ด้านหน้าป้องกันการโจมตีของถังเฟยหู่ เปลี่ยนกระบวนท่าจากรับเป็นรุก ดาบของหม่าหยางจงพลิกกลับขึ้นมาฟันสวนกลับไปยังชายหนุ่มตาเดียว ถังเฟยหู่เองก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ปรับเปลี่ยนกระบวนท่ารับกับการจู่โจมของหม่าหยางจง ซึ่งหม่าหยางจงฟาดฟันดาบใส่ไม่หยุดด้วยความเร็วที่แทบมองตามไม่ทัน ถังเฟยหู่ปรับเปลี่ยนกระบวนท่าเป็นระวิง ทุกกระบวนท่าของเขายังดูติดขัดและไม่ต่อเนื่อง ตอนฝึกฝนเขาฝึกฝนกระบวนท่าต่างๆไปตามลำดับ ไร้ซึ่งความต่อเนื่อง ไม่เหมือนกับเพลงดาบของหม่าหยางจงที่ไหลลื่นต่อเนื่องราวกับสายน้ำ ถังเฟยหู่สังเกตเห็นถึงความต่อเนื่องนี้ของหม่าหยางจง อะไรคือสิ่งที่หม่าหยางจงมีแต่เขาไม่มี?
นั่นก็คงเป็นสำนึกของอาวุธ!
ถังเฟยหู่สังเกตและจดจำทุกกระบวนท่า ทุกการกระทำ จังหวะการหายใจ หรือแม้แต่รูปแบบของลมปราณที่หม่าหยางจงปลดปล่อยออกมา ทุกๆอย่างถูกดูดซับเข้าสู่ห้วงความทรงจำของเขา เขาพยายามที่จะสร้างสำนึกกระบี่ของตนเองโดยมีสำนึกดาบเป็นต้นแบบ แต่การใช้ความคิดไปด้วยพร้อมกับการต่อสู้มันช่างเป็นเรื่องยากยิ่งนัก เขามองไปยังหม่าหยางจง เขารู้สึกราวกับเห็นร่างกายของหม่าหยางจงเป็นดาบเล่มใหญ่ยักษ์โลดแล่นไปมา ฟาดฟันใส่เขาอยู่บนสนามประลอง
‘ใช่แล้ว! ข้าใช้ความคิดมากจนเกินไปในการต่อสู้ หลักสำคัญของสำนึกกระบี่อยู่ภาวะจิตที่สามารถตอบสนองต่ออายตนะทั้งหก สัมผัสทั้งห้าของร่างกายและจิตใจต้องรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน หล่อหลอมทุกๆอย่างให้กลายเป็นกระบี่หนึ่งเล่ม’ ถังเฟยหู่ถอยฉากออกมาก่อนจะยืนตรงแน่วแน่ราวกับตัวเขาคือกระบี่หนึ่งเล่ม เขาเดินลมปราณไปยังฝ่าเท้าและพุ่งตัวลอยไปเหนือพื้นด้วยความรวดเร็ว ขลุ่ยหยกชี้นำไปก่อนร่างกาย ถังเฟยหู่หมุนตัวรวดเร็วราวกับพายุหมุน บังเกิดภาพมายาอสรพิษนับหมื่นพันรวมตัวถักทอกันเป็นเกลียวพุ่งตัวเข้าปะทะกับหม่าหยางจง
กระบี่คือข้า ข้าคือกระบี่ คนและกระบี่รวมเป็นหนึ่ง!
กระบี่อสรพิษหมื่นแปร หมื่นพิษไม่หวนคืน
หม่าหยางจงสีหน้าเคร่งเครียดเมื่อเห็นกระบวนท่านี้ของถังเฟยหู่ เขากระชับดาบในมือไว้อย่างมั่นคงก่อนจะรวบรวมปราณไว้ในดาบเล่มนั้น บังเกิดสำนึกดาบขึ้นอีกครั้งหนึ่ง เสียงดาบอื้ออึงคำรามขึ้นอีกครั้งหนึ่ง พลังไร้รูปร่างถูกส่งออกมาจากดาบของเขา พลังนี้สะกดข่มผู้เยาว์ทุกคนภายในโรงเตี๊ยมประตูมังกรไว้ ยกเว้นก็เพียงแต่ถังเฟยหู่ที่กำลังพุ่งตัวเข้ามาหาเขา สำนึกดาบไม่อาจส่งผลต่อถังเฟยหู่! มีทางเดียวเท่านั้นที่จะเป็นแบบนี้ได้ คือถังเฟยหู่บังเกิดสำนึกกระบี่ขึ้นแล้ว! หม่าหยางจงตกใจเป็นอย่างมาก เด็กหนุ่มอายุเพียงสิบห้าปีกลับสามารถสร้างสำนึกกระบี่ขึ้นมาได้แล้ว เขาฟันกระบี่ออกไปพร้อมกับปราณมังกรสีเงินพุ่งทะยานออกไปเข้าต่อกร
ดาบมังกรเก้าเศียร มังกรแหวกสมุทร
อสรพิษและมังกรปะทะกันอย่างรุนแรงบนสนามประลอง แต่ท้ายที่สุดแล้วถังเฟยหู่ก็ถูกดันให้ถอยกลับอีกครั้งหนึ่ง แต่ผลของการปะทะในครั้งนี้ดูจะลดน้อยลงกว่าครั้งแรกมากนัก แต่เขาเองก็ยังคงไม่ยอมแพ้ ถังเฟยหู่พุ่งทะยานกลับไปหาหม่าหยางจงอีกครั้งหนึ่ง คนทั้งคู่ฟาดฟันกันไม่หยุดหย่อน ถังเฟยหู่ใช้ออกด้วยกระบวนท่าทั้งหมดของวิชาอสรพิษหมื่นแปรออกมา ในคราครั้งนี้กระบวนท่าของเขาไม่ทื้อด้านอีกต่อไป ยิ่งต่อสู้มากขึ้นเท่าไหร กระบวนท่าของเขายิ่งไหลลื่นมากขึ้นเท่านั้น
ท่ามกลางความตื่นตะลึงของผู้ชมในโรงเตี๊ยมมังกร ผู้เยาว์จากตระกูลใหญ่ทั้งหลายภายในเมืองต่างก็ตึงจนอ้าปากค้างอยู่นาน บางคนถึงกับขยี้ตาตนเพราะไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้า สัมผัสที่ออกมาจากเด็กหนุ่มตระกูลถังนั้นมีพลังไร้รูปร่างที่สะกดข่มร่างกายของพวกเขาส่งออกมา นั่นเป็นความรู้สึกที่คล้ายกับหม่าหยางจงอยู่หลายส่วน แม้ว่าจะไม่ทรงพลังมากเท่ากับหม่าหยางจงแต่ก็หาใช่อ่อนแอ มันทำให้พวกเขาเดาได้ไม่ยากเลยว่าเด็กน้อยผู้นี้จะเริ่มก่อเกิดสำนึกกระบี่ขึ้นมา
ถังเฟยหู่ราวกับจะใช้หม่าหยางจงเป็นหินเหยียบเท้าเพื่อก้าวไปสู่จุดที่สูงขึ้นมา หลังจากปะทะกันหลายกระบวนท่า ทั้งสองถอยฉากกันออกมาอยู่คนละฟากของเวที ทั้งสองจ้องกันตาแทบไม่กระพริบ พลังปราณของหม่าหยางจงล้นทะลักออกมาและถูกรวบรวมไว้ในดาบจนพื้นของสนามประลองตรงที่เขายืนร้าวออก พลังปราณของเขาพุ่งทะยานสูงขึ้นเกินกว่าปราณขั้นสามระดับสุดยอดไปสู่ปราณขั้นสี่ ส่วนถังเฟยหู่เองนั้นจากปราณสีแดงกลับแปรเปลี่ยนสีเขียวเข้ม ปราณของเขาเองถูกรวบรวมอยู่ในขลุ่ยหยก ด้านหลังของทั้งสองเกิดพลังไร้รูปร่างของสำนึกกระบี่และสำนึกดาบ บังเกิดเป็นหนึ่งอสรพิษหนึ่งมังกรประจันหน้าหากัน
ดาบมังกรเก้าเศียร มังกรทลายฟ้า
หม่าหยางจงปลดปล่อยปราณจำนวนมหาศาลออกมาจากดาบ ฟาดฟันดาบเข้าใส่ทิศทางถ้งเฟยฟู่ ปราณสีเงินกลายเป็นมังเก้าตัวพุ่งถาโถมไปสู่ด้านหน้า พลังปราณและแรงกดดันจากพลังไร้รูปร่างรุนแรงราวกับจะถล่มทั้งฟ้าและทลายทั้งปฐพี ปราณของหม่าหยางจงพุ่งทะยานสู่ระดับปราณขั้นห้า พลังที่สะกดข่มไว้เริ่มล้นทะลักออกมามากขึ้นเรื่อยๆ
กระบี่อสรพิษหมื่นแปร เขี้ยวสวรรค์ตัดฟ้า
ถังเฟยหู่เองก็ไม่ยอมแพ้โดยง่าย ใช้ขลุ่ยหยกของตนวาดฟันกระบวนท่าเขี้ยวสววรค์ตัดฟ้าออกไป ปราณกระบี่สีเขี้ยวเข้มน่าสยดสยองถูกปล่อยออกมาจากขลุ่ยหยก ปราณสีเขี้ยวนั้นรวบรวมกลายเป็นปราณรูปร่างคล้ายจันทร์เสี้ยวก่อนจะพุ่งออกไปตามแรงฟันกระบี่ เกิดภาพมายาของอสรพิษเขี้ยวแหลมคมพุ่งจู่โจม ในคราครั้งนี้ถังเฟยหู่ไม่ได้ใช้ปราณอำมหิตอีกต่อไปแต่เขากลับใช้ปราณห้าพิษไปโดยไม่รู้ตัว รัศมีพลังรวมถึงมายาปราณรูปอสรพิษกลับดูโหดร้ายและน่ากลัวขึ้นมากกว่าเดิม คล้ายกับปราณห้าพิษมีส่วนช่วยหนุนเสริมให้พลังของกระบวนท่านี้ร้ายแรงยิ่งกว่าเดิม
ตู้มมม
ปราณสีเงินและสีเขียวเข้าปะทะกันที่กึ่งกลางเวที เสียงสะท้อนกึกก้องไปทั่วทั้งเมืองฟูเจี้ยน กระบวนท่าทั้งสองต่างพยายามพุ่งไปข้างหน้าโดยไม่สนสิ่งใด ราวกับพยายามที่จะทำลายอีกฝั่งหนึ่งให้ได้ สองกระบวนท่านี้ปะทะกันอยู่นานกว่าหลายสิบช่วงลมหายใจก่อนที่ปราณสีเงินจะเริ่มเป็นฝั่งได้เปรียบ ปราณมังกรทะลวงผ่านปราณอสรพิษจนแตกกระจายออกไป ปราณมังกรสีเงินกำลังพุ่งเข้ากระแทกกลางลำตัวของถังเฟยหู่ แต่ก่อนที่จะถูกร่างกายของเขานั้น ได้มีเงินหนึ่งขวางไว้เบื้องหน้าของเขา
เงานั้นได้พุ่งออกมาจากชั้นที่สองของโรงเตี๊ยมประตูมังกรและได้ไปยืนขวางอยู่ด้านหน้าของถังเฟยหู่ เงานั้นคือชายชราคนหนึ่งที่มีผมสีขาวโพลนไปทั่วทั้งหัวและเคราขาวอันยาวเหยียดในชุดผ้าสีขาวปักลายมังกร ชายชราผู้นั้นโบกสะบัดมือไปมาเบื้องหน้าของตนเองโดยมีปราณสีทองห่อหุ้มมือของเขาอยู่ ชายชราใช้มือที่ถูกคลุมปราณสีทองฉีกกระชากปราณมังกรของหม่าหยางจงเป็นชิ้นๆท่ามกลางความตื่นตะลึงของผู้เยาว์ทุกคนในโรงเตี๊ยมประตูมังกร ถังเฟยหู่เองก็จับจ้องไปยังกระบวนท่าของชายชราผู้นี้เพื่อพยายามที่จะจดจำและเรียนบางอย่างจากกระบวนท่าชั้นสูงนี้
“ผู้อาวุโส!” หม่าหยางจงดูตกใจเป็นอย่างมากเมื่อเห็นผู้อาวุโสของสำนักตนเองออกมายืนอยู่เบื้องหน้านี้ “ข้าขออภัยผู้อาวุโสด้วยที่โจมตีใส่ท่านขอรับ” เขาประสานมือคาราวะผู้อาวุโสเพื่อขออภัยโทษ
“ไม่เป็นไรหยางจง” ผู้อาวุโสผู้นั้นกล่าวกับหม่าหยางจงด้วยน้ำเสียงที่ดูเข้มงวดอยู่บ้าง เขาดูมีสีหน้าไม่พอใจในตัวชายหนุ่ม “...เจ้าแพ้แล้วหยางจง”
“ข้าแพ้!” หม่าหยางจงดูตกใจเป็นอย่างมากเมื่อได้ยินคำพูดจากปากของผู้อาวุโส รวมไปถึงผู้เยาว์ทั้งหลายที่รับชมการประลองอยู่ทุกคนโดยรอบ
“หม่าหยางจงแพ้!”
“ยอดยุทธ์จากเมืองหลวงพ่ายแพ้!”
“ศิษย์สำนักประตูมังกรพ่ายแพ้แล้ว!”
“แล้วเจ้าเด็กหนุ่มตระกูลถังคนนี้คือใครกัน ถึงกับมีความสามารถขนาดนี้”
ผู้ชมทั้งหลายต่างถกเถียงกันยกใหญ่เกี่ยวกับการประลองในครั้งนี้ แต่ที่เป็นเด็นถกเถียงใหญ่กว่านั้นก็คือเพราะเหตุใดกันที่ทำให้ผู้อาวุโสตัดสินให้กับผู้เยาว์สำนักของตนพ่ายแพ้ต่อหน้าคนจำนวนมากเช่นนี้
“เฮ้อ...หยางจง เจ้าได้พ่ายแพ้แล้ว เหตุผลก็เพราะระดับพลังที่เจ้าใช้ในขณะที่โจมตีในกระบวนท่าสุดท้ายนั้นเข้าสู่ระดับปราณขั้นห้า ในขณะที่เด็กหนุ่มผู้นี้กลับสามารถต่อสู้และต้านทานเจ้าได้ช่วงเวลาหนึ่งโดยใช้เพียงแค่ปราณขั้นสามระดับสุดยอด....เจ้านั้นได้ทำผิดกฎของสนามประลองที่จะใช้พลังปราณในระดับเดียวกันเพื่อการประลอง”
“....” หม่าหยางจงหมดคำพูดเมื่อได้ยินสิ่งที่ผู้อาวุโสได้บอกกล่าวแก่ตน ในระหว่างการประลองนั้นเขาไม่ทราบเลยว่าพลังที่ตนได้กดเอาไว้นั้นกลับเล็ดลอดออกมามากจนเกินไปและได้เอาเปรียบอีกฝ่ายมากจนเกินไป หากเป็นตนเองเมื่อยามก่อนที่มีพลังเทียบเท่ากับชายหนุ่มสกุลถังผู้นี้ คงไม่อาจสามารถต่อกรกับเขาได้เลย อีกทั้งยังสามารถสร้างสำนึกกระบี่ได้โดยอายุเพียงสิบห้าปี และยังเป็นในระหว่างการประลองอีก เด็กหนุ่มผู้นี้มีศักยภาพที่น่ากลัวยิ่งนัก หม่าหยางจงถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ ยอมรับความผิดพลาดของตนเองในการประลองนี้
หม่าหยางจงได้เดินไปหาเด็กหนุ่มสกุลถังเบื้องหน้าของตนเองและหยุดยืนอยู่เบื้อวหน้าของชายหนุ่ม เขาได้ยิ้มให้แก่เด็กหนุ่มผู้นี้อย่างจริงใจพร้อมประสานมือคาราวะให้แก่เด็กหนุ่ม ซึ่งเด็กหนุ่มสกุลถังเองก็คาราวะตอบกลับไปเช่นกัน
“น้องชาย...ข้าขอโทษแก่เจ้าด้วยที่ได้โกงเจ้าอย่างหน้าด้านๆ ข้านั้นไม่ได้ตั้งใจจริงๆ อาจจะเป็นเพราะการประลองกับเจ้ามันสนุกมากจนข้าลืมตัวไป”
“พี่หยางจงอย่าได้กล่าวว่าตัวเองเลย ข้าไม่ได้ถือโทษอะไรเลย” ถังเฟยหู่ตอบกลับไปอย่างจริงใจ
“เอ่อ...ไม่ทราบว่าข้าขอทราบชื่อเสียงเรียงนามของเจ้าได้หรือไม่?”
“...ข้าน้อยถังหยางหลิว เป็นนักเดินทางที่บังเอิญผ่านทางมาเท่านั้นเอง” ถังเฟยหู่เลือกที่จะเก็บงำชื่อของตนเองให้เป็นความลับต่อไป เขาเลือกที่จะบอกชื่อของตาเขาไปแทน คนที่มีสายลือดของสกุลถังนั้นมีมากมายอยู่ทั่วทั้งแผ่นดิน ให้โกหกว่าเป็นนักเดินทางที่ผ่านมาก็นับว่าไม่เลวนัก
“น้องหยางหลิว ยินที่ได้พบกับเจ้า”
หลังจากสิ้นสุดการประลองนั้น ถังเฟยหู่ได้จากมาอย่างเงียบๆจากโรงเตี๊ยมประตูมังกร แม้หม่าหยางจงจะชวนเขาร่ำสุราก็ตามที แต่เขาก็บอกปัดไปว่ามีธุระสำคัญจำต้องทำจึงได้จากมาก่อน เขาเลือกที่จะเดินอ้อมในทางตรงกันข้ามกับทิศทางกลับไปยังบ้านของตนเอง เดินลัดเลาะไปมา เข้าตรอกซอยทั้งซ้ายขวา เดินสับสนไปมาราวกับคนที่หลงทิศทาง ที่ด้านหลังของเขานั้นได้มีคนผู้หนึ่งที่ดูหัวฟัดหัวเหวี่ยงอย่างมากที่ถังเฟยหู่เดินวนไปมาอยู่รอบเมือง โดยที่ไม่ทันรู้ตัวนั่นเอง ชายหนุ่มสกุลถังเบื้องหน้าก็หายไปจากคลองจักษุของตนเองตนไหนก็ไม่รู้ คนผู้นี้รีบวิ่งไปจุดสุดท้ายที่เคยเห็นชายหนุ่มตาสีเขียวในทันที แต่เมื่อมาถึงก็ไม่ได้พบใครแล้ว และในตอนนั้นเองที่ตรอกด้านข้างของคนผู้นี้ได้มีมือของคนผู้หนึ่งยืนออกมาและฉุดกระชากคนลึกลับเข้าไปในตรอกนั้น
คนที่เป็นคนดึงคนลึกลับเข้ามาในตรอกนั้นก็คือถังเฟยหู่เอง เขาดันคนลึกลับผู้นั้นจนกระแทกไปติดกำแพง เขามองสำรวจไปยังคนที่พยายามลอบติดตามเขามาตั้งแต่ออกมาจากโรงเตี๊ยมมังกร คนผู้นี้สวมใส่ชุดผ้าสีแดงเพลิงพร้อมทั้งผมสีดำที่ถูกมัดรวบไว้และดวงตาสีแดงเพลิง ถังเฟยหู่พยายามนึกอยู่ว่าสายเลือดใดกันที่ทำให้มีดวงตาสีแดงสดใสเช่นนี้ได้ เขาหยิบเข็มดำออกมาจากปลอกแขนอสูรหมื่นเข็มและจ่อไปยังคอของคนลึกลับผู้มีตาสีแดงเพลิง
“น้องชาย...เจ้าตามข้ามาทำไม?” ถังเฟยหู่พูดน้ำเสียงจริงจังกับคนลึกลับ แต่เรื่องราวกลับพลิกผันไป โดยแทนที่คนลึกลับผู้มีดวงตาสีแดงนี้จะดูหวาดกลัว แต่กลับจ้องมองกลับมาและตะโกนโหวกเหวกโวยวายแทน จนเขาต้องเอาเก็บเข็มดำไปในทันทีและปิดปากให้คนผู้นี้อย่าได้ตะโกนอะไรอีก
“เอาละๆ เจ้าต้องการอะไร พูดกันดีๆก็ได้ ข้าจะปล่อยเจ้า แล้วเจ้าอย่าโวยวายจะได้ไหม น้องชาย?” ถังเฟยหู่พยายามจะใจเย็นและพูดกับคนผู้นี้ดีๆ
“ที่ข้าไม่ได้โมโหที่เจ้าจับข้า! แต่ข้าเกลียดที่เจ้าเรียกข้าว่าน้องชาย! น้องชายบ้านเจ้าน่ะสิ!!!” คนลึกลับผู้นั้นใช้ดวงตาสีแดงของตนจ้องมองไปที่ถังเฟยหู่อย่างเอาเรื่อง ในดวงตาของคนผู้นี้เจือปนไปด้วยความโกรธและไม่พอใจ ทำตัวราวกับลูกหลานเศรษฐีที่ถูกตามใจมาตั้งแต่เด็กจนเสียนิสัย ทำอะไรตามแต่ใจตนเอง
“ไม่ให้ข้าเรียกน้องชายแล้วให้ข้าเรียกเจ้าว่าอะไร?”
“ชื่อของข้าคือจ..ไม่ๆ ไม่ได้ ข้าชื่อหยาง..ม.....นี่ก็ไม่ได้! เจ้าเรียกข้าว่าอาหยางก็พอแล้ว! เรื่องอื่นไม่ต้องรู้หรอก!” อาหยางทำตัวแปลกประหลาดราวกับคนบ้ายิ่งนักในสายตาของถังเฟยหู่ แต่มันก็ดูขบขันไปในเวลาเดียวกันจนทำให้เขาถึงกับเผลอยิ้มออกมาเพราะท่าทางของอาหยาง “ไม่ต้องมาหัวเราะข้าเลยนะ!” อาหยางสังเกตเห็นท่าทางของชายหนุ่มตรงหน้าแล้วรู้สึกมีน้ำโหมากกว่าเดิมยิ่งนัก ในตอนนี้อาหยางโกรธเป็นอย่างมากจนหน้าแดงราวกับขนมซานจาเลยทีเดียว เมื่อเห็นท่าทางของอาหยางที่เป็นเช่นนั้น ในใจของถังเฟยหู่ยิ่งรู้สึกมันดูตลกมากกว่าเดิมยิ่งนัก แต่เขาก็รีบสงบสติแล้วกลับมาทำตัวสำรวมและสงบนิ่งอีกครั้งหนึ่งเพื่อไม่กระตุ้นอารมณ์ฉูนเฉียวของอาหยาง
“เอาละๆ แล้วเจ้ามีอะไรละถึงได้ตามข้ามานานสองนาน”
“ข้าก็แค่อยากขอบคุณเจ้าน่ะ” อาหยางยิ้มกว้างให้แก่ถังเฟยหู่
“ขอบคุณข้า? ข้าไปทำอะไรตอนไหนให้เจ้าต้องมาขอบคุณข้ากัน” ถังเฟยหู่งงงวยเป็นอย่างมาก เพราะเขาแน่ใจว่าไม่เคยเจออาหยางมาก่อน
“ก็การประลองในโรงเตี๊ยมมังกรยังไงเล่า! ข้าลงพนันข้างเจ้าไปหมดตัวเพราะความรู้สึกของข้าบอกว่าเจ้าต้องชนะ แล้วมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ฮ่าๆๆๆ ข้าได้เงินมาตั้งหลายสิบตำลึงทองเชียวนะ ข้ามีความสุชจริงเสียจริง!”
“หลายสิบตำลึงทอง!” ถังเฟยหู่ตกใจเป็นอย่างมากที่ได้ยินเงินจำนวนนี้ที่อาหยางได้รับจากการพนันข้างเขาในการประลอง เพราะที่เขาได้พยายามมาจนถึงจุดนี้ได้ก็เพราะต้องการหาเงินมารักษามารดาของตนเอง แต่เด็กน้อยตรงหน้าของเขาซึ่งมีอายพอๆกันกลับครอบครองเงินจำนวนมากได้เพราะดวงดี สวรรค์ช่างไม่ยุติธรรมยิ่งนัก
“จริงสิ แล้วเจ้ารู้ตอนไหนกันว่าข้าลอบติดตามเจ้าอยู่?”
“ตอนออกมาจากโรงเตี๊ยมมังกรได้ไม่นาน” ถัวเฟยหู่ตอบอย่างหน้าตาเฉย
“นั่นมันตั้งแต่แรกเลยไม่ใช่เหรอ! หนอยย เจ้าแกล้งข้า!” อาหยางน้อยโกรธเป็นอย่างมากจนจะวิ่งเข้าไปบีบคอของคนผู้มีตาสีเขียวผู้นี้ แต่ถังเฟยหู่ก็หลบหลีกได้อย่างง่ายดายด้วยท่าเท้าอสรพิษลี้ลับ
“ถ้าเจ้าลอบติดตามใครอย่าได้ใช้เครื่องหอมที่มีกลิ่นเป็นเอกลักษณ์แบบนี้ มันทำให้เดาได้ไม่ยากเลยว่าเจ้าคือหญิงที่ปลอมเป็นชาย...แม่สาวนักพนัน” เสียงของถังเฟยหู่ได้อยู่ข้างหูของอาหยางจากด้านหลังจนทำให้คนผู้มีดวงตาสีแดงผู้นี้ตกใจเป็นอย่างมากจนกระโดดถอยหนีไปอีกด้านหนึ่งด้วยหน้าที่ดูแปลกๆ รวมทั้งแก้มที่ดูแดงราวกับลูกตำลึงสุก ถังเฟยหู่ยิ้มให้แก่อาหยางก่อนจะกระโดดพุ่งตัวไปด้านบนอากาศด้านบนและปลดปล่อยทาสอสูรค้างคาวโลกันต์ออกมาและบินหนีไปด้วยความรวดเร็ว ค้างคาวโลกันต์พุ่งตัวหนีไปด้านบนแฝงตัวไปหมู่เมฆที่ล่องลอยอยู่เอื่อยเฉื่อยบนท้องฟ้า
“หนอยย! ไอ้บ้ากามเอ้ยยยย!” เสียงของอาหยางดังก้องไปทั่วตามหลังถังเฟยหู่ไปจนชายตาเดียวผู้นี้หายไปจากครรลองสายตา