7.แมวอ้อน
Chapter07. แมวอ้อน
‘คอป ที่บ้านคอปทำงานอะไรเหรอ ไม่เห็นเคยเล่าให้เจสฟังบ้างเลย‘
’ก็แค่ธุรกิจเล็กๆน่ะ ไม่มีอะไรมากหรอก‘
’จริงเหรอ งั้นวันนี้เราไปกินข้าวที่บ้านคอปดีไหม เจสจะได้ไปทำความรู้จักกับที่บ้านคอปด้วยไง‘
’เอาไว้คราวหลังแล้วกันนะ‘
จู่ๆภาพในอดีตก็วกกลับเข้ามาในสมองของผม มีหลายครั้งที่เจสซี่ถามถึงครอบครัวของผมและเธออยากให้ผมพาไปทำความรู้จักกับที่บ้าน แต่ทว่า....คำพูดของแม่ทำให้ผมไม่เคยพาผู้หญิงคนไหนเข้าบ้านเลยสักคน
‘คอปลูก สัญญากับแม่ก่อนว่าเราจะไม่พาแฟนมาหาแม่ถ้ายังไม่มั่นใจ’
‘แม่ไม่ได้ห้ามให้เจคอปมีแฟนนะ แม่พอเข้าใจนิสัยผู้ชาย มีแฟนได้ แต่คบกันมั่นใจแล้วค่อยพามาทำความรู้จักครอบครัวดีกว่า‘
แม่พูดกรอกหูผมแบบนั้น ตั้งแต่ผมเริ่มย่างเข้าสู่วัยรุ่น ซึ่งผมเองก็ไม่ได้ติดใจกับคำพูดของแม่หรอกนะ ผมเข้าใจที่แม่ต้องการสื่อ ผมตั้งใจจะพาเจสซี่ไปใทำความรู้จักกับที่บ้านหลังจากที่ผมเรียนจบแล้ว ซึ่งน่าเสียดายที่ตอนนี้เธอดันทิ้งผมไปเสียก่อน
แม้จะคบกันมานานถึงสี่ปี แต่ด้วยความที่ตอนนี้เขาเองก็ยังไม่ได้มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันในชีวิต เจคอปจึงอยากที่จะเรียนให้จบ ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีก่อนหลังจากนั้นเขาถึงค่อยพาคนที่เขารักไปรู้จักพ่อแม่ แต่ก็นะ.....ในเมื่อเรื่องมันกลับกลายมาเป็นแบบนี้ ก็ไม่มีเหตุผลที่เขาจะต้องคิดถึงอดีตอีกต่อไป
ตึก
ตึก
ร่างสูงตัดสินใจลุกขึ้นไปแต่งตัวเพื่อจะออกไปท่องราตรีในคืนนี้ ในเมื่อตอนนี้เขาโสด ก็ควรจะใช้ชีวิตโสดให้มีความสุขที่สุด
เสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินเข้มถูกสวมไปบนกายแกร่ง แต่เจคอปเลือกที่จะติดกระดุมเพียงแค่ครึ่งตัวของเสื้อเท่านั้น เขาจงใจเปลือยหน้าอกเอาไว้แบบนั้น ก่อนจะหยิบน้ำหอมราคาแพงมาพรหมฉีดใส่ตัวเองอย่างชำนาญ
ผมสีดำเข้มถูกเซ็ทจัดแต่งทรงอย่างดี เมื่อเห็นว่าทุกอย่างลงตัวและน่าพึงพอใจ ร่างสูงก็ไม่รอช้าที่จะเดินไปหยิบลูกกุญแจรถสปอร์ตคันใหม่ล่าสุดของตัวเองมาไว้ในมือ ก่อนจะเดินออกไปจากห้องขอบตัวเอง ด้วยความรู้สึกที่โอเคมากขึ้นกว่าหลายวันก่อนหน้า
ก่อนหน้านั้น
@เพ้นท์เฮาส์
บรื้นนน~
ปึง!
“โอ๊ะ พี่วินมาที่นี่เหรอ?” ฉันทำตาโตออกมาด้วยความดีใจที่เห็นรถของพี่ชายจอดอยู่ในโรงจอดรถก่อนจะรีบสาวเท้าเข้าไปในเพ้นท์เฮ้าส์ของแด๊ดดี๊ด้วยความรวดเร็ว
“อ้าววา มาแล้วเหรอลูก” ฉันหยุดชะงักไปหลังจากที่ได้ยินเสียงของแม่ฉันดังขึ้นมาเป็นคนแรก
โอ๊ะ~ กลิ่นนี้มัน....
ของอร่อย!
“ค่ะแม่ กลิ่นอะไรคะเนี้ยหอมจัง“ ตอนแรกฉันอยากจะถามหาพี่ชายก่อนอยู่หรอก แต่พอได้ยินกลิ่นอาหารหอมๆออกมาจากห้องครัว มันก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามออกมา
”ของโปรดหนูกับพี่วินไงคะ ปูผัดผงกระหรี่“
แม่เดินมากอดเอวฉันก่อนจะยิ้มตอบออกมาด้วยสีหน้าใจดีตามประสา ส่วนฉันได้ยินแบบนั้นก็รู้สึกน้ำลายสอขึ้นมาทันที ช่วงนี้ฉันค่อนข้างเรียนหนัก ตอนนี้เลยรู้สึกหิวมากจนไส้จะขาดอยู่แล้ว!
”วันนี้พี่วินมาทานข้าวกับเราเหรอคะแม่“
”ใช่จ้ะ เราก็รีบไปเปลี่ยนชุดสิ เดี๋ยวแม่จะไปตามแด๊ดดี๊กับพี่ชายเรามาทานข้าว“
”ได้เลยค่ะแม่ งั้นวาไปเปลี่ยนชุดก่อนนะคะ ^^“
“โอเคค่ะลูกสาว”
“ฮืม อึม ฮื้ม“
ฉันฮัมเพลงเดินเข้าห้องนอนไปอย่างอารมณ์ดีก่อนจะรีบตรงดิ่งลงมายังห้องอาหารเป็นคนสุดท้าย
”ไม่อยากจะเชื่อเลย วามาเป็นคนสุดท้ายเหรอคะ“ ฉันไม่รอช้าที่จะนั่งลงข้างพี่ชายของตัวเองเพราะเอาเข้าจริงๆฉันค่อนข้างติดพี่วินมาก แต่เนื่องจากเหตุการณ์ที่....อย่างที่ทุกคนเข้าใจ ทำให้ฉันตัดสินใจไม่ไปเล่นที่ห้องของพี่ชายบ่อยเหมือนเมื่อก่อน
”หึ ไงตัวแสบ ทำไมช่วงนี้ไม่ไปหาพี่เลย“
เปิดปากมาคำถามแรก พี่วินก็เล่นทำเอารอยยิ้มบนใบหน้าของฉันหายไปเลย
“เอ่อ....ช่วงนี้วาเรียนหนักน่ะสิ“
”ว่าแต่พึ่เถอะ ทำไมวันนี้ถึงได้มาทานข้าวที่นี่ได้ล่ะ” ฉันเเสร้งถามเปลี่ยนเรื่อง เพราะตั้งแต่เข้ามหาวิทยาลัยพี่วินก็ไม่ค่อยได้กลับมาที่นี่สักเท่าไหร่เลย
“พี่มาคุยกับพ่อเรื่องเปิดผับน่ะ”
“หื้ม? ผับพี่ โอ๊ะ ผับพี่วินจะเปิดแล้วเหรอ”
ฉันทำตาโตถามพี่ชายออกไปทันทีด้วยความสนอกสนใจ โตจนป่านนี่แล้ว เชื่อไหมว่าฉันยังไม่เคยไปเที่ยวสถานที่พวกนั้นเลยสักครั้ง
“ทำสีหน้าแบบนั้นคืออะไรนาวา” เสียงเข้มของแด๊ดดี๊ที่นั่งอยู่หัวโต๊ะดังขึ้นมาขัดจังหวะฉัน ทำเอาหน้าของฉันเปลี่ยนสีขึ้นมาแทบจะทันที
“แด๊ดดี๊อะ!” ฉันหันไปตอบกลับบิดาผู้บังเกิดเกล้าของตัวเองด้วยสีหน้าบึ้งตึง
นี่แหละ! ศัตรูตังฉกาจของฉัน!
แด๊ดดี๊!!
“เอ่อ แม่ว่าเรามากินข้าวกันก่อนดีกว่านะลูก วันนี้แม่ทำของโปรดของทั้งสองคนเลย”
ฉันละสายตาเซ็งๆออกจากพ่อของตัวเองก่อนจะหันไปมองแม่นาริกา ที่คอยช่วยชีวิตของฉันเอาไว้ตลอดด้วนรอยยิ้มสดใส
พ่อกับแม่ฉันเนี้ย มองยังไงก็ไม่เข้ากันเลยสักนิด อีกคนเหมือนเสือ แต่อีกคนเหมือนแมว แถมอายุก็ห่างกันตั้งเยอะ แต่ว่านะ....ถึงแบบนั้นแด๊ดดี๊ก็คลั่งรักแม่ฉันม๊ากก
จนกระทั่งเวลาผ่านไป
“ผมอิ่มแล้วครับ” นาวินเอ่ยปากบอกก่อนจะรวบช้อนส้อมเอาไว้ด้านข้าง
“วินจะไปเลยเหรอลูก” นาริกาขยับปากถามลูกชาย
“ครับแม่ เดี๋ยวอีกสักพักวินจะไปผับครับ” ใบหน้าหล่อเหลาตอบกลับมารดาด้วยความสุภาพ ท่ามกลางสีหน้าตื่นเต้นของนาวาที่กำลังมีแผนซุกซน
“หวังว่าจะไม่ลืมข้อตกลงที่พูดเอาไว้นะ” มาติเนสหันมาบอกลูกชายน้ำเสียงนิ่งเรียบ ยากจะคาดเดาในความคิดของผู้เป็นพ่อ
“ครับ งั้นผมขอตัวก่อน“
ครืด~
”พะพี่วิน รอวาด้วย“ พอได้จังหวะ คนตัวเล็กก็ไม่รอช้าที่จะผุดลุกขึ้นนั่ง หวังจะตามพี่ชายไปเพื่อพูดคุยอะไรบางอย่าง
”นาวา” มาติเนสเรียกชื่อลูกสาวคนเล็กออกมาเสียงเข้มราวกับรู้ทันในความคิดของลูกสาว ทำเอาหญิงสาวหยุดชะงัก
“อะอะไรคะแด๊ดดี๊” แม้จะรู้สึกกลัวบิดาอยู่ในใจแต่ทว่านาวาก็ทำตัวใจดีสู้เสือ
“พ่อไม่อนุญาตให้ไป”มาเฟียทรงอิทธิพลเอ่ยปากสั่งออกมาอย่างรู้ทันในความคิดของลูกสาวที่มีนิสัยแสบซ่า แตกต่างจากทุกคนในบ้านออกไปอย่างสิ้นเชิง
”อะไรกันคะเนี้ย ปีนี้วาจะสิบเก้าปีแล้วนะคะ“ นาวาหันไปเผชิญหน้ากับบิดาด้วยอารมณ์คุกครุ่นนิดๆที่โดนรู้ทันในความคิดของเธอ
”ยังไม่บรรลุนิติภาวะ“
”แด๊ดดี๊ขาา~ แต่นั่นผับของพี่วินนะคะ วาขอแค่ไปดูได้ไหม นะคะๆ วาสัญญาว่าจะไม่ดื้อ“
เมื่อรู้ว่าตัวเองไม่สามมารถเเข็งข้อกับผู้เป็นพ่อได้ นาวาจึงงัดลูกอ้อนของตัวเองออกมาใช้ อย่างที่เคยทำ ซึ่งแน่นอนว่าพอเจอลูกสาวเดินไปสวมกอดและคลอเคลียราวกับแมวน้อย มาเฟียผู้ทรงอิทธิพลก็มักจะ....
“แด๊ดให้ไปก็ได้ แต่ต้องห้ามเมา” สุดท้ายมาติเนสก็ต้องยอมพ่ายแพ้ให้แก่แก้วตาดวงใจของตัวเอง หัวใจของผู้เป็นพ่อที่มีลูกสาว มักจะอ่อนยวบลงทุกครั้งเมื่อเจอออดอ้อนด้วยร้อยยิ้มสดใส
“เย้~ แด๊ดดี๊ใจดีที่สุด ขอบคุณนะคะ”
ฟอด~
เมื่อจุ๊บแก้มสากลงไปหนึ่งที่อย่างดีใจ ร่างเล็กก็วิ่งออกไปหาพี่ชายอย่างอารมณ์ดีที่จะได้ออกไปเที่ยวสถานที่บันเทิงเป็นครั้งแรกในคืนนี้
“ยิ้มอะไร” ปากหนาหันไปถามเมียสาวที่นั่งยิ้มมองเขากับลูก
“ปะเปล่านะคะ นาไม่ได้ยิ้มเลยค่ะ”
“ก็เห็นอยู่ว่ายิ้ม โกหกผัว เดี๋ยวจะโดน”
“~////~”