2.ใจเต้นแรง
Chapter02.ใจเต้นแรง
เทอมต่อมา….
วันหนึ่งในฤดูร้อน
ตึก
ตึก
ตึก
“ระวัง!”
พรึ่บ!
“อ๊ะ!”
ตี๊ดดๆๆ
บรื้นน~
แขนของฉันถูกกระชากไปปะทะกับหน้าอกเเข็งๆก่อนที่เสียงรถคันหนึ่งจะบีบแตรขึ้นพร้อมกับขับออกไปจากรั้วมหาลัยอย่างรวดเร็ว ฉันตกใจ หัวใจเต้นแรงไปกับเหตุการณ์ตรงหน้า เพราะเมื่อกี้ฉันเกือบจะโดนรถชนอีกแล้ว หากไม่มีคนมาดึงตัวฉันเอาไว้!!
“อยากตายรึไงวะหะ! เธอนี่อีกแล้วนะ!”
น้ำเสียงหงุดหงิดของเจ้าของอกแกร่งทำให้ฉันตกใจมากขึ้นกว่าเดิมเพราะเขาพูดใส่อารมณ์เต็มที่เลยไง ดวงตาของฉันค่อยๆเงยหน้าขึ้นไปมอง แม้จะรู้ว่าอีกคนกำลังหัวเสียแค่ไหน แต่ว่าฉันก็ต้องขอบคุณเขาสักหน่อย ที่ช่วยชีวิตฉันเอาไว้ในวันนี้
“พะพี่….O_O” ฉันเบิกตาโพลงขึ้นทาด้วยความตกใจ เมื่อเห็นว่าคนที่กำลังกอดฉันเอาไว้ในตอนนี้คือพี่เคย์เดน!!
ให้ตายเถอะ! เป็นเขาอีกแล้วที่ช่วยฉันเอาไว้ ทำไมฉันต้องมาทำเรื่องหน้าอายต่อหน้าเขาแบบนี้ตลอดเลย!
“หลายรอบแล้วนะ เธอควรจะมองถนนก่อนข้ามบ้าง” เคย์เดนตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงอ่อนลง มือหนาค่อยๆปล่อยร่างเล็กออกจากมือ พร้อมกับคนตัวเล็กที่ยืนตัวแข็งทื่อทำอะไรไม่ถูก
“ขะขอโทษค่ะ เอ่อ ขอบคุณนะคะที่ช่วยยี่”
ผมมองคนตรงหน้าด้วยสายตาราบเรียบปนดุ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมต้องช่วยเหลือเธอ เพื่อนของยัยนาวาคนนี้ นอกจากจะทำตัวเฉิ่มแล้วสมองยังช้าด้วยสินะ ถ้าเมื่อกี้ผมเดินมาไม่ทัน ยัยนี่คงถูกรถชนตรงนี้ไปแล้ว
ผมถึงได้โมโหจนเผลอตะคอกใส่อีกคนไปไง
“ถ้าไม่มีฉันสักคน เธอคงได้เข้าโรงพยาบาลไปแล้ว” ผมอดที่จะต่อว่าเธอไม่ได้จริงๆ
“เคย์คะ ไปกันเถอะค่ะ”
ไม่ทันที่เพื่อนของลูกพี่ลูกน้องสาวจะได้ตอบกลับ เสียงของจ๊ะจ๋า หญิงสาวที่เขาควงอยู่ ณ ปัจจุบันก็ดังขึ้นมาเสียก่อน
“ครับ”
ผมหันกลับไปมองจ๊ะจ๋า ก่อนที่เธอจะเดินเข้ามาควงแขนผมพร้อมกับหันมามอง คนตรงหน้าที่ยืนมองเราด้วยแววตาบางอย่าง แต่ผมไม่ได้สนใจในจุดนั้น เพราะตอนนี้สิ่งที่ผมสนใจคือท้องฟ้ามันกำลังจะมืด แล้วยัยเฉิ่มนี่จะกลับยังไง ดูจากการเกือบโดนรถชนรอบสอง ผมควรปล่อยให้เธอกลับเองงั้นเหรอ?
“รู้จักเหรอคะ?” จ๊ะจ๋า อดีตดาวคณะการโรงแรมปี 4 หันมาถามผม
“เพื่อนน้องน่ะครับ”
“เธอกลับยังไง” ผมหันไปถามคนตรงหน้า ถ้าผมจำไม่ผิด เธอชื่อยู่ยี่ใช่ไหมนะ?
“อะเอ่อ ระรถสองแถวค่ะ”
เธอตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก ซึ่งผมเองก็ไม่เข้าใจ ว่าทำไมอยู่ต่อหน้าผม ยัยนี่ต้องทำเหมือนประหม่าด้วย
“เดี๋ยวฉันไปส่ง” ผมตัดสินใจเอ่ยบอกคนตรงหน้าไป ส่งผลให้จ๊ะจ๋าหันมามองผมด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย
“หมายความว่าไงคะเคย์?” คนที่ควงแขนผมเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงไม่เข้าใจ จริงๆผมกับจ๊ะจ๋านัดกันว่าจะไปห้องเธอเพื่อสานสัมพันธ์กัน แต่ผมรู้สึกอยากไปส่งเพื่อนของยัยนาวาก่อน
“มะไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวยี่กลับเองดีกว่า”
“แค่ข้ามถนนเธอยังไม่ดูตาม้าตาเรือเลย กลับกับฉันนี่แหละ อย่าเรื่องมาก!” ผมเลือกที่จะตัดบทก่อนจะใช้สายตาบังคับไปให้อีกคน
ซึ่งยู่ยี่ก็ดูไม่กล้าขัด แม้เธอจะทำหน้าตาอึดอัดใจแต่ผมก็ไม่สน
ระหว่างการเดินทาง มีแต่จ๊ะจ๋าที่ชวนผมคุยนั่นนี่ไม่หยุด ส่วนคนที่นั่งอยู่ข้างหลังก็เอาแต่นั่งนิ่งไม่พูดไม่จา หันหน้าออกไปนอกกระจกรถ จริงๆถ้ายัยนี่แต่งตัวดีๆผมว่าก็ไม่ได้แย่นะ แต่ทำไมต้องแต่งตัวมิดชิด ชุดยาวจนถึงเข่าขนาดนี้ด้วย
แต่ช่างเหอะ! มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับผมอยู่แล้ว
เอี๊ยด!
ผมเหยียบเบรคอย่างรวดเร็ว เมื่อขับเข้ามาถึงบริเวณหน้าบ้านของรุ่นน้องสาว
“ขอบคุณนะคะที่มาส่งยี่” เธอหันมาบอกเขา
“อืม”
“เคย์คงไม่ได้เปลี่ยนสเปคมาชอบแบบนี้หรอกใช่ไหมคะ?” จู่ๆจ๊ะจ๋าก็เอ่ยถามผมขึ้นมา ในขณะที่ผมมองตามคนตัวเล็กอีกคนไป
“ครับ? จ๋าก็รู้ว่าเคย์ไม่ได้ชอบยัยเฉิ่มแบบนั้น อกโตๆแบบนี้ต่างหากที่เคย์ชอบ”
ผมหันมาตอบจ๊ะจ๋าที่ดูเหมือนจะระแวงผมกับยู่ยี่ ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้จริงๆ ยัยนั่นห่างไกลจากสเปคของผมเป็นอย่างมาก ผมจึงเลื่อนมือไปบีบนมอีกคนหวังหยอกเย้า ด้วยสาวตาแพรวพราว คนเคยๆกันอยู่แล้ว ทำแบบนี้ผมรู้ดึว่าเธอชอบ
“จริงเหรอคะ? ถ้าชอบคืนนี้อยู่กับจ๋าทั้งคืนนะคะ” จ๊ะจ๋ายกยิ้มก่อนเอื้อมมือมาลูบไล้เป้ากางเกงของผมเช่นกัน
มีหรือเสือร้ายอย่างผมจะปฎิเสธ
“ได้เลยครับ เอาจนกว่า….จ๋าจะพอใจ :)”
อีกด้าน
ภายในบ้าน….
“อุ๊ย! เดี๋ยวนี้มีผู้ชายมาส่งซะด้วย” ฉันชะงักไปเล็กน้อย เมื่อได้ยินเสียงของอีกคนดังขึ้น
พอเงยหน้าขึ้นไปก็พบเข้ากับ’ข้าวหอม’ ลูกสาวของพ่อเลี้ยงฉัน สามปีแล้วที่แม่ของฉันแต่งงานใหม่กับพ่อเลี้ยง ซึ่งทางนั้นมีลูกติดมาหนึ่งคนเหมือนกัน ข้าวหอมอายุเท่ากันกับฉัน แต่ไม่ได้เรียนต่อ เพราะเธอไม่ใฝ่การเรียน วันๆไม่ทำอะไร เอาแต่ผลาญเงินพ่อตัวเองใช้ไปวันๆและที่สำคัญยัยนี่ไม่ชอบฉัน คอยตามแซะฉันมาตลอดสามปี แต่ฉันเห็นแก่แม่ ก็เลยไม่อยากเอาความอะไรมาก เลือกที่จะนิ่งเฉยไปตามสไตล์ของฉัน
ถ้าพ่อเลี้ยงฉันไม่ทำธุรกิจจนมีเงินมีทอง รับรองได้เลยว่ายัยข้าวหอมไม่มีทางได้อยู่สุขสบายไปวันๆแบบนี้แน่นอน
ตึก
ตึก
ฉันหันไปมองคนที่เดินเข้ามาใหม่เพียงครู่ ก่อนจะเลิกสนใจ พยายามจะเดินเลี่ยงไปเข้าห้องตัวเองแบบเงียบๆ แต่ดูเหมือนยัยข้าวหอมจะไม่ยอมง่ายๆ
“นี่! เดี๋ยวนี้หยิ่งนักหรอมึง ระวังเถอะ สักวันจะโดนผู้ชายหลอกฟันไม่รู้ตัว!” ฉันหยุดเดิน ก่อนจะหันหน้ามามองอีกคนที่จงใจพูดยั่วโมโหใส่ฉันไม่หยุด
“ที่พูดหมายถึงตัวเองหรือเปล่า?”
“นี่แก!”
ฉันไม่สนใจหน้าตาถมึงทึงของอีกคนเลยแม้แต่นอน นานๆทีฉันจะตอบกลับข้าวหอมไปแบบนี้ เพราะทนไม่ไหวจริงๆ
“ฝากไว้ก่อนเถอะมึง อย่าโดนทิ้งมานะ!” เสียงของข้าวหอมดังตามหลังฉันมา เพราะฉันไม่ได้หยุดฟังคำด่าทอของอีกคนต่อ
ปึง!
“เห้อ” ฉันถอนหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยล้าสมอง
เอาจริงๆ ฉันพยายามไม่สนใจนิสัยก้าวร้าวของข้าวหอมมาโดยตลอด เเต่เจอแบบนี้ทุกวันมันก็รู้สึกเสียสุขภาพจิตอยู่ไม่น้อย
บางครั้งฉันก็แอบคิดว่าถ้าขอแม่ย้ายออกไปอยู่หอ แบบที่ไม่ต้องกลับมาเจอยัยข้าวหอมทุกวัน แม่จะยอมอนุญาติไหมนะ
หนึ่งปีต่อมา…..
วันวาเลนไทน์
‘ชีวิตเราเกิดมาครั้งเดียว อยากทำอะไรก็ทำไปเลยค่ะ ไม่ว่าผลลัพธ์มันจะออกมาดีหรือไม่ดี อย่างน้อยๆเราก็ได้ลองทำ สุดท้ายเราจะได้ไม่ต้องมานั่งนึกเสียดายทีหลัง’
ฉันตั้งใจฟังรายการหนึ่งผ่านทางโทรศัพท์ ก่อนจะเหลือบสายตาไปมองดอกกุหลาบสีแดงที่เธอบังเอิญซื้อมาจากหน้ามหาวิทยาลัย ร่างสมส่วนในชุดนักศึกษาตัวโคร่งกำลังนั่งอยู่ในร้านกาแฟบริเวณหน้าตึกคณะบริหาร
ถ้าถามว่าทำไมเธอถึงมานั่งอยู่ที่นี่ ก็เพราะวันนี้….ความรู้สึกของยู่ยี่กำลังสั่งให้หญิงสาวทำอะไรบางอย่าง
อย่างที่ทุกคนรู้ว่าตลอดระยะเวลาสองเกือบสามปีที่ผ่านมา เธอแอบชอบเคย์เดนมากขนาดไหน เธอแอบมองเขามาโดยตลอด จนรู้สึกว่าความรู้สึกมันเอ่อล้นอยู่ในใจแบบไม่อยากกักเก็บอีกต่อไปและด้วยอะไรหลายๆอย่าง ยู่ยี่จึงตัดสินใจที่จะใช้วันวาเลนไทน์ปีนี้ในการสารภาพรักกับเขา
ถ้าจบเทอมนี้ เคย์เดนก็จะขึ้นปีสี่ เวลาที่เธอจะได่เจอเขาอาจน้อยลงไปทุกที ไม่ว่าคำตอบของเขาจะออกมาในรูปแบบไหน เธอจะทำใจยอมรับมันให้ได้ อย่างน้อยๆเธอก็ได้ลองทำ ดีกว่าปล่อยให้ทุกอย่างมันผ่านไปเฉยๆแบบนี้
พรึ่บ!
เสียงมือบางหยิบดอกกุหลาบสีแดบมาไว้ในมือ หลังจากที่เห็นว่าคนที่ตัวเองต้องการพบกำลังเดินออกมาจากลิฟท์