LAST LOVE : 09
สองวันต่อมา…
@สนามบินเชียงใหม่
“ทำไมมึงต้องเลื่อนไฟลต์บินด้วยวะ” นี่คือน้ำเสียงสุดเซ็งของหญิงสาวหน้าคมตามแบบฉบับไทยแท้ ผมตรงยาวดกดำ ผิวสีน้ำผึ้ง จัดว่าสวยระดับตัวท็อป ดีกรีลูกเจ้าสัวโรงงานผลิตผลไม้อบแห้งชื่อดัง แต่ใช้ชีวิตโคตรติดดิน ทิชานันท์ หรือ ทิชา แต่ฉันเรียกมันว่า อีทิ เพื่อนสนิทเพียงคนเดียว ที่เข้าใจในความเป็นอินโทรเวิร์ตและยอมรับได้อย่างดีมาตลอดเจ็ดปี
ซึ่งตอนนี้กำลังยืนกอดอกทำหน้าบอกบุญไม่รับอยู่ข้างๆ ด้วยเหตุผลที่ว่าฉันเลื่อนไฟลต์บินให้เร็วขึ้นจากเดิมหนึ่งวัน โดยที่ไม่ได้ข้อความเห็นจากผู้ร่วมเดินทางแม้แต่น้อย และบุคคลที่ถูกกล่าวถึงเพิ่งรู้ข่าวดีเช่นนี้เมื่อคืนนี้เอง ไม่แปลกที่นางจะมีอาการฟึดฟัด
“กูแค่อยากไปเร็วขึ้น” ฉันตอบ พลางเอื้อมไปรับถุงอาหารสำเร็จรูปจากพนักงานร้านสะดวกซื้อ แล้วออกเดินนำมายังโต๊ะบาร์ยาวริมกระจกที่จัดเตรียมไว้สำหรับรับรองลูกค้า
“เพื่อ?” คนถูกมัดมือชกยังไม่หยุดสงสัย มันเลิกคิ้วถาม พร้อมกับดึงเก้าอี้ออกมานั่งในเวลาไล่เลี่ยกัน
“เออน่า…” ฉันบอกปัด พลางหยิบแซนด์วิชกับนมรสชาติโปรดออกมาจากถุง ก่อนจะได้ยินเสียงถอนหายใจแรงจากเพื่อนรักหนึ่งครั้ง
หลังจากนั้นมันก็เลือกหยิบอาหารของตัวเองแบบกระแทกกระทั้น ปรายตามองฉันไม่พัก
ในขณะที่ฉันเคี้ยวของอร่อยตุ้ยๆ อย่างสบายใจ นี่เป็นข้อดีอย่างหนึ่งที่ทำให้เราคบกันมาได้จนถึงตอนนี้ เราจะไม่ล้ำเส้นในเรื่องที่อีกฝ่ายไม่อยากให้รับรู้ ถ้าถึงเวลาก็จะเล่าให้ฟังเอง ฉันเลยรู้สึกสบายใจเวลาอยู่กับมัน
อีกอย่างเรามีเป้าหมายใกล้เคียงกัน โครงการวิจัย RVS เลยมีอีทิอยู่ในนั้นด้วย
“แล้วเฮียหมอของมึงล่ะ” ประโยคทำลายความเงียบของเพื่อนสนิทไม่เข้าหูเอาซะเลย ขอถอนคำพูดที่บอกว่าสบายใจ ทันไหม... ส่งผลให้ฉันหันไปถลึงตาใส่มันทั้งที่สองข้างแก้มยังมีอาหารคาอยู่ เนื่องจากการหยุดเคี้ยวกะทันหัน และตอบกลับมันด้วยโทนเสียงที่แสดงถึงความไม่พอใจ
“เขาไม่ใช่ของกู แล้วก็ไม่ต้องพูดถึงด้วย”
“อะไรวะ…”
กลายเป็นว่าฉันเผลอใส่อารมณ์ไปกับการกิน รสชาติไม่ได้เรื่องขึ้นมาทันทีที่ได้ยินชื่อนี่ และเขาก็เป็นต้นต่อของการเลื่อนไฟลต์บิน เพราะถ้ารอถึงพรุ่งนี้ เขาต้องบุกไปที่บ้าน ใช้สกิลในการพูดกล่อมชั้นเลิศ ทำให้ทุกคนในบ้านมากดดันฉัน และอาจรวมถึงคนข้างๆ นี่ด้วย
สุดท้ายฉันก็จะขัดทุกคนไม่ได้และยอมร่วมเดินทางไปกับเขาแน่ๆ ซึ่งฉันจะไม่ให้มีเหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้นเด็ดขาด
ถึงจะมีอีทิไปด้วย ฉันก็ไม่ไว้ใจหมอเฒ่าเจ้าเล่ห์นั่น
“เอ่อ...มึง!” เพื่อนรักทักท้วงขึ้นอีกครั้ง ราวกับมันนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ และหมุนเก้าอี้เข้าหาฉันท่าทางจริงจัง “มึงเทคุณพี่ซีอะไรนั่นแล้วเหรอ”
“ไม่ได้เท…แต่ไม่ได้คุยตั้งแต่แรกอยู่แล้ว” ฉันตอบไปตามความจริง
“เอ้า ทำไมวะ เขาก็ดูเพอร์เฟคนะ”
“ไม่รู้วะ กูเฉยๆ” ฉันเองก็หาสาเหตุไม่ได้เหมือนกันว่าทำไม ผู้ชายทุกคนที่เข้ามาก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่ โปรไฟล์ก็ดีระดับหนึ่งกันทั้งนั้น และก็ไม่ได้ปิดกั้นตัวเองด้วย แค่มันไม่ได้รู้สึกตื่นเต้น ไม่มีความว้าว คิดว่าถ้าฝืนคุยไปก็เสียเวลาเปล่าอยู่ดี
“เฉยอีกละ ไม่ว่าแบบไหนเข้ามาก็ไม่ถูกใจ หรือว่ามึงชอบผู้หญิง”
“ไม่มีทาง” ฉันหันไปปฏิเสธทันควัน เพราะตอนเรียนก็เคยมีผู้หญิงเข้าหา แต่ยิ่งไม่รู้สึกอะไรมากกว่าอีก และถึงจะไม่ได้คบใครจริงจังขนาดนั้น ฉันก็ยืนยันพันเปอร์เซ็นต์ว่าคู่ชีวิตจะต้องเป็นผู้ชาย
แค่ยังไม่เจอที่ใช่…
“งั้นไทป์มึงคืออะไร”
“ความจริงก็ไม่ได้มีอะไรเยอะนะ แค่มันรู้สึกว่าไม่คลิก” กลายเป็นว่าตอนนี้เรานั่งหันหน้าเข้าหากัน และจริงจังกับบทสนทนามากขึ้น
“ไหนลองพูดมาสิ ที่บอกว่าไม่เยอะ”
สิ้นคำถามของเพื่อนรัก ฉันหมุนเก้าอี้กลับมาที่เดิม ก่อนจะเหลือกตาขึ้นมองบนและกลอกไปมาขณะใช้ความคิด ปากก็เคี้ยวอาหารช้าลง ผ่านไปไม่ถึงนาทีฉันก็มีคำตอบให้มัน
“ไม่ต้องถึงขั้นเพอร์เฟคทุกอย่างก็ได้ โปรไฟล์ก็ไม่ต้องดีมากหรอก ขอแค่เป็นผู้ชายอบอุ่น เทคแคร์ ใส่ใจรายละเอียด เข้าใจและก็ยอมรับในสิ่งที่กูเป็นได้ สำคัญคือไม่นอกใจกูก็พอ”
“ไม่เยอะเนอะ”
“ก็ไม่นะ” ฉันรู้ว่ามันแซะ แต่ไม่แคร์ ไหล่เล็กถูกยกขึ้นเบาๆ หนึ่งที
“ทำไมที่มึงพูดมา…” มันพูดขึ้นลอยๆ พลางรื้อหาของกินอันใหม่ในถุง ก่อนจะได้ขนมปังยี่ห้อดังมาถือไว้ในมือ “กูนึกออกแค่คนเดียววะ”
“...?” ฉันขมวดคิ้วมองเจ้าของประโยคด้วยความสงสัย
“หมอไวน์”
ฉันเผลอกลืนอาหารที่ยังเคี้ยวไม่ทันละเอียดดีลงคอทันทีที่ได้ยินชื่ออดีตพี่ชายคนโปรดหลุดออกมาจากปากเพื่อนรัก ชะงักนิ่งไปชั่วขณะ ก่อนจะรู้สึกถึงการจ้องมองอย่างจับผิดจากเพื่อนสนิท
“พูดไปเรื่อย” เอื้อมหยิบขวดน้ำมาเปิดดื่มเพื่อกลบเกลื่อน
“กูพูดจริงนะ ตั้งแต่กูรู้จักมึง กูก็เห็นเขาเป็นแบบนั้นกับมึงมาตลอด แค่มึงเอ่ยปากว่าอยากได้อะไร เขาก็มาให้ได้ทุกอย่าง มาคิดๆ ดูแล้ว เขาก็ดูแลมึงดี…อุ๊บ”
ขนมปังที่เหลือในมือผู้พูดถูกฉันบังคับให้เอาเข้าปากระหว่างที่ประโยคยังค้างคา ไม่อยากฟังอะไรมากไปกว่านี้แล้ว เพราะทุกอย่างที่มันพูดเป็นเรื่องที่คัดค้านไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว
เริ่มรู้สึกรำคาญเพื่อนอย่างอีทิก็วันนี้แหละ
“แดกๆ เข้าไป จะได้หยุดเพ้อเจ้อ”
ฉันโดดลงจากเก้าอี้สูง พลางเก็บเศษขยะบนโต๊ะด้วยความหงุดหงิด หนีจากฝั่งหนึ่ง ยังมาเจออีกฝั่งหนึ่ง ทุกคนรอบตัวฉันโดนเขาซื้อไปหมดแล้วรึไงนะ…
สมาร์ทวอทช์ที่ข้อมือถูกยกขึ้นเล็กน้อยเพื่อเช็คเวลา หลังจากที่เดินออกมาจากร้านได้ระยะหนึ่ง
“กูไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ” ฉันหันไปบอกเพื่อนสนิทที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตากับโทรศัพท์เคลื่อนที่ในมือจนแทบจะไม่สนใจทาง “มึงจะไปด้วยไหม”
ฝ่ายตรงข้ามส่ายหน้าปฏิเสธ พลางกดหน้าจอยิกๆ เหมือนมันกำลังพิมพ์อะไรอยู่สักอย่าง
“งั้นรอตรงนี้” สิ้นคำสั่งฉันก็สาวเท้าไปยังปลายทางอย่างเร่งรีบเพื่อจัดการธุระส่วนตัว
_____
ฉันฝีเท้าชะลอลงเล็กน้อยตอนที่เดินออกมาจากห้องน้ำ สีหน้าเปลี่ยนไปทันทีที่เห็นเพื่อนสนิทยืนคุยกับผู้ชายร่างสูงคุ้นตา แจ็กเกตหนังแบบนี้ กางเกงยีนตัวนี้ กับรองเท้าผ้าใบคู่เดิม เพียงแค่เห็นด้านหลังก็รู้แล้วว่าเป็นเขา แถมด้วยรถเข็นสัมภาระเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคัน แสดงว่านี่ไม่ใช่การมาส่งสินะ
ทั้งสองคนหันกลับมาแทบจะพร้อมกัน เมื่อฉันเข้าไปใกล้มากขึ้น และตวัดมองยัยเพื่อนจอมจัดแจงอย่างเกรี้ยวกราด
“อุ๊ย!” จังหวะประสานสายตา ร่างเล็กสะดุ้งโหย่ง ก่อนจะหันหาเฮียไวน์แทน “ทิชาไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ”
แต่ฉันยังเขม็งจ้องไล่ตามมันไปจนสุดทางเดิน อยากจะทุบกระบาลซะจริง อุตส่าห์แอบหนีมาก่อน ไม่พ้นจนได้ แล้วจะเสียเงินเลื่อนไฟลต์เพื่อ…?
น่าโมโหชะมัด เป็นเหมือนกันไปหมด
“คิดจะหนีเฮียเหรอ” คำถามแรกจากผู้ไม่ได้รับเชิญ
“...” ก็ใช่น่ะสิ ยังจะมาถามอีก แต่แค่คิดในใจเท่านั้นนะ ไม่อยากต่อบทสนทนากับคนเจ้าเล่ห์แบบเขา ฉันพยายามเลี่ยงการสบตา มองหน้า หรือแม้แต่อยู่ใกล้ เพราะเริ่มมีความผิดปกติบางอย่างเกิดขึ้นกับความรู้สึกของตัวเอง เขาไม่ใช่ผู้ชายที่ปลอดภัยสำหรับฉันอีกแล้ว
เอื้อมมือคว้ารถเข็นสัมภาระของตัวเอง กำลังจะก้าวเท้าเดิน แต่คนตัวโตยังขยับมาขว้างหน้าไว้
“เฮียไม่อยากให้น้องลำบากนะ”
“เราไม่ได้ลำบาก” ฉันตอบทั้งที่ยังหลบมองไปทางอื่นตลอดเวลา ขณะที่ผู้ชายตรงหน้าก็แสนจะมึน ทำเอียงคอไปมาเพื่อให้อยู่ในจุดโฟกัสจนได้
สุดท้ายเราก็สบตากัน และเหมือนเขารอจังหวะนี้ ริมฝีปากหนาขยับพูดทันที
“แต่มีเฮีย มันดีกว่านะ”
เข้าใจเลือกโทนน้ำเสียงซะด้วย นุ่มลึกมาเลย นัยน์ตาฉายแววความอ่อนโยนเต็มไปหมด
บ้าจริง…คนอะไรวะ ขยันหยอด ขยันรุก ขยันตื๊อซะเหลือเกิน
แล้วอยู่ๆ คำพูดของอีทิก็แทรกขึ้นมาในการประมวลผลฉับพลัน
‘ทำไมที่มึงพูดมา…กูนึกออกแค่คนเดียววะ’
‘หมอไวน์’
ฉันปิดเปลือกตาลงชั่วครู่ สูดลมหายใจเข้าลึก ปรับทุกความรู้สึกให้เป็นปกติ ที่ความร้อนเห่อขึ้นใบหน้าอยู่ตอนนี้ คงเป็นเพราะโทสะนั่นแหละ
“...” ฉันถอนหายใจแรงก่อนจะเบี่ยงหลบ เพื่อเดินต่อ แต่ก็เหมือนเดิม เขายังขยับมาดักหน้าไว้ ตอนนี้เริ่มจะไม่ค่อยสบอารมณ์ขึ้นมาอีกระดับละนะ ตาเหลือกขึ้นมองผู้ชายตรงหน้าเล็กน้อย
“เฮียรับปากคุณยูริกับคุณลุง แล้วก็ไอ้พวกนั้นไว้แล้ว ว่าจะดูแลน้องอย่างดี ไหนจะพ่อกับแม่เฮียอีก เฮียปล่อยน้องไปคนเดียวไม่ได้หรอก”
“เราไม่ใช่เด็กแล้วนะ แล้วเราก็ไม่ได้ไปคนเดียว” ฉันสวนกลับด้วยความหงุดหงิด ทำไมทุกคนชอบคิดว่าฉันเป็นเด็ก ทั้งที่ความจริงคือโตพอที่จะดูแลตัวเองได้แล้ว
“แล้วยังไง คุณยูริก็ยังห่วงน้องอยู่ดี ไม่งั้นคงไม่โทรมาบอกเฮียเองหรอก ว่าน้องเลื่อนไฟลต์”
“ฮะ…?” ถึงกับหน้าเหลอหลา พูดไม่ออก ที่ผู้ร้ายในเรื่องนี้ไม่ใช่เพื่อนสนิท แต่เป็นแม่บุญธรรมของฉันเอง
อยากจะเอาหัวโขลกกำแพงจริงๆ
“เฮียเองก็ไม่อยากขับรถคนเดียวไกลๆ ด้วย”
“...” ฉันเงียบ เงียบแบบจำใจยอมรับ มาถึงขนาดนี้แล้ว ฉันจะยังมีสิทธิ์เลือกอะไรได้
“น้องไม่หะ…”
“อีทิมาแล้ว รีบไปเถอะ” ฉันแทรกขึ้นกลางคัน ในตอนที่เหลือบไปเห็นเพื่อนรักโผล่พ้นประตูห้องน้ำออกมา ส่งผลให้เขาต้องทิ้งประโยคที่ยังไม่จบสมบูรณ์ไว้แบบนั้น แล้วก็ก้าวเดินพร้อมกับลากรถเข็นของตัวเองล่วงหน้าไปก่อน เพราะถึงยังไงก็ต้องไปอยู่ดี ถึงที่นู่นแล้วค่อยว่ากัน…