ตอนที่12 X
ผมลืมตาขึ้นมาในห้องนอนพร้อมลุกออกมาจากเครื่องเล่นเกมโลกเสมือน และลงไปหาข้าวหาน้ำกินก่อนจะขึ้นมาอาบน้ำอาบท่าให้เรียบร้อย ตอนนี้ในโลกจริงเป็นเวลา 6 โมงเย็นแล้ว ผมเริ่มผ่อนคลายตัวเองโดยการนั่งหาข้อมูลเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวภายในเกมเล็กน้อย เนื่องจากผมไม่ได้เล่นเกมมาตั้ง 2 ปี คงมีหลายๆอย่างที่เปลี่ยนไปบ้าง
“หืมม...ปลดล็อคลิมิตเลเวลไปจนถึง 1000 แล้วหรอเนี่ย….” ผมดูตารางจัดอันดับระดับของผู้เล่น เมื่อก่อนตอนที่ผมเลิกเล่นเกมตอนนั้นระดับยังตันอยู่ที่ 799 อยู่เลย เลเวลสูงสุดตอนนี้ ยังอยู่ที่ระดับ 968 ซึ่งเป็น คริส ราชันย์แห่งแสง นั่นหมายความว่าระบบพึ่งจะปลดล็อคระดับเมื่อไม่นานมานี้เอง
“คริส ราชันย์แห่งแสงงั้นหรอ ชื่อไม่คุ้นเลยแฮะ” ผมมองดูทำเนียบชื่อผู้เล่นที่ระดับสูงสุด พร้อมทำท่านึกคิดเล็กน้อยเพราะไม่คุ้นกับชื่อนี้เลย จึงลองค้นหารายชื่อราชันย์แห่งธาตุทั้ง 9 ดู
อัลเทียร์ อาชีพหลัก ไม่เปิดเผย (Class 9) Lv.932
1 ใน 9 ราชันย์ (ลม)
เมย์ อาชีพหลัก ไม่เปิดเผย (Class 9) Lv.912
1 ใน 9 ราชันย์ (พืช)
ลีออน อาชีพหลัก ไม่เปิดเผย (Class 9) Lv.963
1 ใน 9 ราชันย์ (น้ำแข็ง)
ยูริ อาชีพหลัก ไม่เปิดเผย (Class9 ) Lv.954
1 ใน 9 ราชันย์ (น้ำ)
คริส อาชีพหลัก ไม่เปิดเผย (Class9 ) Lv.968
1 ใน 9 ราชันย์ (แสง)
เซอซิส อาชีพหลัก ไม่เปิดเผย (Class 9) Lv.952
1 ใน9 ราชันย์ (มืด)
แวนกัส อาชีพหลัก ไม่เปิดเผย (Class 9) Lv.964
1 ใน 9 ราชันย์ (สายฟ้า)
ราซาท อาชีพหลัก ไม่เปิดเผย (Class 9) Lv.962
1 ใน 9 ราชันย์ (ดิน)
ภาคิน อาชีพหลัก ไม่เปิดเผย (Class7) Lv.799
1 ใน 9 ราชันย์ (ไฟ)
“เจ้าพวกราชันย์หน้าเก่ายังอยู่หรอเนี่ย ทนจริงนะเจ้าพวกนั้น” ผมยิ้มพูดพลางเลื่อนดูข้อมูลของราชันย์ในปัจจุบัน ราชันย์ในยุคผมที่ยังรักษาตำแหน่งได้มาจนถึงตอนนี้มีแค่ 5 คน นั่นคือราชันย์แห่ง ลม พืช น้ำแข็ง น้ำ และดิน ส่วนราชันย์แห่ง แสง สายฟ้า และมืด คงเป็นผู้เล่นที่สามารถโค่นราชันย์คนเก่าลงได้ คงจะเป็นพวกกิลด์ใหญ่ๆ เพราะหากไม่ใช่ผู้เล่นที่มีอิทธิพลแล้วละก็ การที่จะแย่งตำแหน่งราชันย์มาได้นั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย เนื่องจากคนที่มีตำแหน่งราชันย์จะได้รับสิทธิพิเศษบางอย่างมากกว่าคนปกติอยู่แล้ว
ผมหาข้อมูลอย่างอื่นต่อเล็กน้อยก็พบว่ามีคนที่อ้างว่าเป็นราชันย์แห่งไฟอยู่มากพอควร แต่ที่เหมือนผมที่สุดและน่าสนใจมีอยู่คนหนึ่งที่ตั้งกิลด์อยู่ที่อาณาจักรอัคคี และตั้งตนเป็นราชันย์แห่งไฟอย่างแนบเนียนจนกระทั่งมีข่าวการปรากฏตัวของผมออกมา กิลด์นี้ก็สวมรอยเป็นผมให้เหมือนยิ่งขึ้นไปอีกโดยอ้างว่าหัวหน้ากิลด์ของตนไปโผล่ช่วยกำจัดมอสเตอร์ที่เมืองเริ่มต้น
“เหอะๆ เนียนเลยนะพวกเอ็ง ว่างๆคงต้องไปเยี่ยมซะหน่อยแล้วสิ ตั้งอยู่ที่อาณาจักรของฉันซะด้วยสิ ให้ตายเถอะ” ผมยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์พร้อมคิดแผนที่จะถล่มกิลด์เอาไว้ในใจ แต่คงต้องพักเอาไว้ก่อนเพราะกิลด์นี้เป็นกิลด์ใหญ่พอสมควร ผมต้องรีบเก็บระดับให้ทันผู้เล่นระดับท็อปคนอื่นเป็นอันดับแรก และคงจะหาแนวร่วมเพิ่มซะหน่อย ผมคิดอะไรอีกพักหนึ่งจากนั้นจึงกลับเข้าออนไลน์อีกครั้ง
.
.
.
ผมกลับมาโผล่ที่เดิมตรงที่ออฟไลน์ไว้ครั้งก่อน จากนั้นจึงลองติดต่อเพื่อนทั้งสองแต่น้ำเสียงฟังดูไม่รู้เรื่องเลยคงจะเมากันอยู่ที่บาร์กันทั้งวันทั้งคืนแน่ ผมไม่ใส่ใจอะไรมากเพราะแค่จะเช็คดูเฉยๆ และในเกมตอนนี้ก็เป็นช่วงเวลาเย็นๆแล้ว
“เข้าไปหายัยนั่นดีรึป่าวนะ หวังว่ายังคงอยู่ที่เมืองหลวงนะ” ผมพลันนึกถึงเพื่อนเก่าสมัยก่อน ซึ่งเธอเป็นราชันย์แห่งลมอยู่ในอาณาจักรแห่งนี้
(หน้าที่ของราชันย์อีกอย่างหนึ่งคือการปกป้องพระราชาของอาณาจักรของตัวเองอยู่เบื้องหลัง และจะได้รับสิทธิพิเศษอีกมากมายตามมาตลอดการทำหน้าที่)
*เส้นทางหน้าที่หลักของราชันย์มีมากมายตามแต่ที่จะเลือก สามารถเลือกได้เพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง*
ผมไม่รอช้าเดินรีบพุ่งตรงไปที่เมืองหลวงทันที ระหว่างทางผมแวะข้างทางชมของต่างๆเล็กน้อย จนในที่สุดผมก็เข้ามาในเขตเมืองหลวง และมาหยุดอยู่ตรงลานกว้างหน้าพระราชวังขนาดมหึมา มีกำแพงสูงถึง 10 เมตร รอบตัวกำแพงมีทหารประจำการอยู่จำนวนไม่น้อยส่วนใหญ่เป็น NPC เกือบทั้งหมด อีกทั้งยังมีบาเรียเป็นกระแสลมพัดอ่อนๆขนาดใหญ่รอบพระราชวังที่คอยป้องกันอีกชั้นหนึ่งอยู่ตลอดเวลา รัศมีโดยรอบไม่มีผู้เล่นหรือชาวบ้านอยู่เลย เพราะเวทมนต์นี้เป็นเวทที่สร้างขึ้นมาเองไมน่าจะต่ำกว่าระดับ S เป็นแน่หากใครที่ระดับไม่สูงพอหรือมีไอเทมป้องกันระดับที่ไม่สูงมากพอคงได้ตายแหง่มๆ
“เป็นเวทของยัยนั่นแน่เลย เป็นสายซัพแท้ๆแต่กลับมีเวทที่น่ากลัวแบบนี้ด้วยแฮะ คงหมดไอเทมไปเยอะเลยสิท่า” ผมพูดกับตัวเองพร้อมเปลี่ยนชุดของตนเองกลายเป็นชุดสีแดงฉานระดับ SSS ทั้งตัว และเรียกใช้ฉายาแห่งราชันย์ทันที
‘Wind walk’ ร่างของผมค่อยๆโปร่งแสงเลือนหายไป จากนั้นเรียกบัพเสริมพลังให้แก่ตัวเองเล็กน้อย และค่อยๆเดินฝ่ากำแพงพายุอย่างช้าๆ ความรุนแรงของพายุหนักเอาการถึงแม้ภายนอกจะดูเหมือนไม่มีพิษมีภัยอะไร แต่ลองพอลองฝ่าข้ามาถึงจะรู้ว่ากำแพงพายุนี่รุนแรงแค่ไหน ทำเอาผมเคลื่อนไหวลำบากอยู่เหมือนกัน คงเป็นเพราะระดับที่ไม่มากพอ อีกทั้งยังต้องคอยฮิวให้ตัวเองเป็นระยะๆ และไม่นานผมก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าประตูบานใหญ่ พร้อมยิ้มเล็กน้อย
“มันเงียบจังนา” ผมเรียกใช้จิตสังหารแห่งราชันย์ทันที
ตู้มมมมม...
จิตสังหารของผมระเบิดอย่างรุนแรงเป็นบริเวณกว้าง กำแพงลมกระสับกระส่ายตีกันไปมาไม่เป็นแนวเดิม พลทหารแตกตื่นกันวุ่นวายหมด บางคนที่ทนจิตสังหารระดับนี้ไม่ได้ก็ถึงกับทรุดตัวลง ผมกระโดดขึ้นไปบนกำแพงเหล็กสูงกว่า 10 เมตร และมองดูทหารที่กำลังวุ่นวายกันยกใหญ่
“ฮ่าๆ” ผมยิ้มมุมปากที่บนกำแพงเล็กน้อยอย่างพอใจ แต่แล้วกลับมีบางสิ่งที่ทำให้ผมตกใจ
“ทั้งๆที่ไม่ได้เจอกันตั้งนานแท้ๆ จะเข้ามาหากันดีๆไม่ได้หรือไง!?” ผมตกใจพลันหันไปทางทิศทางของเสียงทันที พบว่าเป็นผู้หญิงกำลังลอยตัวมองมาทางผมอยู่ เธอเป็นผู้หญิงผมดำยาวหน้าตาประมาณวัย 30 แต่ก็ยังสาวยังสวยอยู่เลย เธอสวมชุดนักบวชสีขาวปนน้ำตาลโชว์ส่วนเว้าส่วนโค้งสุดเซ็กซี่ได้ดีเลยทีเดียว ในมือของเธอถือไม้คฑาระดับสูงอยู่อยู่ ผมได้แต่มอง และไม่พูดอะไรออกมาเพราะคิดว่าเธอคงไม่เห็นผมเป็นแน่ แต่มันกลับไม่เป็นอย่างนั้น
“คิดว่าล่องหนอยู่แล้วฉันไม่รู้รึไงว่าเป็นนาย ภาคิน!” เธอพูดย้ำอีกครั้ง
เมื่อความแตกแล้ว ผมก็เลยยอมจำนนแต่โดยดี และยกเลิกทักษะไป “ง่า รู้ได้ไงอะ อัลเทียร์ เซงเล่ย!” ผมนี่ถึงกับคอตกไปเลย
“ฉันรู้ตั้งแต่นายบ้าบิ่นฝ่ากำแพงวายุของฉันแบบโต้งๆเข้ามาแล้วล่ะ ไม่มีคนบ้าที่ไหนจะผ่านกำแพงลมที่ฉันสร้างเข้ามาได้ง่ายๆหรอกนะ” อัลเทียร์บอกกับผม “แต่ชั่งมันเถอะ คิดถึงนายจังนะ” เธอพูดเสร็จพลันเอามือดึงหัวผมมากอดไว้ที่หน้าอกคัพ E อยากรวดเร็ว
“อ่า อืม หะ หายใจไม่ออกกกก!” ผมพูดติดๆขัดๆเพราะเธอเอาหัวของผมมากอดไว้ที่หน้าอกของเธอ 2 ลูกแตงโมขนาบหน้าผมทั้งสองข้างทำเอาผมหายใจไม่ออกเลยทีเดียว
ผมไม่ขัดอะไรผมเองก็คิดถึงเธอเช่นกัน เธอเป็นทั้งเพื่อนทั้งพี่ ในเวลาเดียวกัน ผมdHทั้งรัก และเคารพเธอเช่นกัน ผมปล่อยให้เธอกอดจนพอใจจากนั้นเราก็เริ่มคุยกันต่อ
“ไปหาที่คุยกันมั้ย ฉันมีเรื่องคุยเยอะเลยล่ะ” อัลเทียร์พูดขึ้นพร้อมจับมือผมกระโดดลงไปด้านล่าง
“ครับๆๆ” ผมตอบอย่างปฏิเสธไม่ได้ ผมเองก็มีเรื่องที่อยากคุยเยอะเหมือนกัน