บทที่ 4 การปะทะกันที่ชายแดน
พาเทล คือเมืองที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากชายแดนมากนัก เมื่อมองจากตัวเมืองไปก็ยังสามารถเห็นกำแพงกั้นชายแดนอยู่ไกล ๆ ได้ ขบวนเดินทางจากเมืองหลวงเดินทางมาถึงคฤหาสน์เจ้าเมืองแล้ว ทหารนายหนึ่งวิ่งมาเปิดประตูรถม้า ก่อนที่หญิงสาวเจ้าของเรือนผมสีเขียวน้ำทะเลจะก้าวลงมา ในที่สุดเซซาเนียก็ได้ออกมาข้างนอกสักที ครั้งสุดท้ายที่มาที่นี่ เธอยังเป็นเด็กหญิงอยู่เลย
“ท่านพี่” เวลดอนกระโดดลงจากหลังม้าแล้ววิ่งมาหาพี่สาว “เหนื่อยไหมครับ” พี่สาวของเขาไม่ค่อยออกไปข้างนอก เจ้าชายแห่งโรซานจึงกลัวว่าเธอจะไม่สบายตัว
“พี่ไม่เป็นไรจ้ะ ไปทักทายท่านตากับท่านยายดีกว่า” ร่างบางพาน้องชายเดินเข้าไปในรั้วคฤหาสน์ซึ่งตอนนี้มีชายหญิงสูงวัยในชุดของชนชั้นสูงยืนรอต้อนรับพร้อมกับสาวใช้ ทันทีทั้งสองเดินมา พวกเขาก็ทำความเคารพทันที
“ยินดีต้อนรับขอรับ”
“สวัสดีค่ะ ท่านตา ท่านยาย ไม่ได้พบกันนานนะคะ” เซซาเนียตรงเข้าไปกอดทั้งสองอย่างคิดถึงเหลือหลายก่อนจะปล่อยเวลดอนวิ่งเข้าไปกอดทั้งสองบ้าง
“เจ้าหญิง เจ้าชาย ไม่ได้เห็นตั้งนาน เปลี่ยนไปเยอะเลย” ภรรยาของเจ้าเมืองพาเทลดีใจมากที่หลานสาวกับหลานชายมาหา โดยเฉพาะเซซาเนียที่หญิงสูงวัยตรงเข้าไปประคองใบหน้านั้น ดูกี่ที่ก็เหมือนลูกสาวของนางยิ่งนัก
“คิดถึงท่านราชินี ไม่น่าด่วนจากไปเลย”
“ท่านแม่จากไปในที่ที่ไกลแสนไกลแล้วค่ะ ท่านตากับท่านยายไม่ต้องเศร้านะ ข้ากับน้องชายมาแล้ว” เจ้าหญิงแห่งโรซานปลอบทั้งสองด้วยรอยยิ้มงามราวกับนางฟ้าผู้อ่อนโยน เทเลอร์ที่ตามมาทีหลังเห็นเข้าก็เกือบแสดงสีหน้าหลงเสน่ห์ออกไปแล้ว
“เข้าไปข้างในกันเถอะขอรับ” เจ้าเมืองพาเทลผายมือเชิญทั้งสองอย่างนอบน้อม แม้จะมีศักดิ์เป็นหลานแต่ทั้งสองก็มีฐานะสูงกว่าอย่างเทียบไม่ติดแม้ว่าสองพี่น้องจะไม่ได้ใส่ใจก็ตาม
ทันทีที่ผลักบานประตูเข้าไป ภาพห้องนอนที่แสนคุ้นเคยก็ปรากฏสู่สายตา ห้องสีขาวที่ตกแต่งในสไตล์วินเทจ บนพื้นปูด้วยพรมสีเทา เฟอร์นิเจอร์และข้าวของเครื่องใช้ชั้นดีถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบ ทุกอย่างสะอาดสะอ้านราวกับได้รับการดูแลอย่างดี เซซาเนียตรงไปที่ชั้นหนังสือ เรื่องราวที่เธอเคยอ่านกับเจ้าของห้องตัวจริงยังถูกเก็บไว้ เมื่อมองไปยังฝาผนัง รูปภาพของหญิงสาวที่มีใบหน้าคล้ายคลึงกับเธอก็อยู่บนนั้น รอยยิ้มหวาน ๆ มีเสน่ห์ของร่างบางทำให้ผู้ชายหลายคนเห็นแล้วคงหลงใหลชนิดไม่ลืมหูลืมตาแน่
“ท่านแม่ ข้ากลับมาแล้วค่ะ” หญิงสาวในภาพคือราชินีที่จากไปนั่นเอง เซซาเนียมองชื่อที่เขียนไว้ใต้ภาพ เธอจดจำมันไว้เสมอ ชื่อของแม่ที่คอยเล่าเรื่องในอดีตอันสวยงามและโศกเศร้าให้ฟัง
เซลิเนีย พาเทล
“ท่านแม่ เมื่อก่อนท่านเคยบอกอยู่เสมอว่าปีศาจไม่ได้เลวร้ายเหมือนที่ใคร ๆ คิด ปีศาจดี ๆ ก็ยังมีอีกมากเช่นเดียวกับชายคนหนึ่งที่ท่านแม่เคยพบ” เซซาเนียนึกถึงเรื่องที่อีกฝ่ายเคยเล่าให้ฟัง จนถึงตอนนี้เธอก็ยังจำได้แม่น ในขณะที่คนอื่น ๆ พร่ำสอนลูกหลานให้รังเกียจปีศาจ แต่หญิงสาวกลับไม่เชื่อตามนั้นแต่เลือกที่จะเชื่อฟังเซลิเนีย “ท่านแม่เคยรักปีศาจ ส่วนข้าก็มีปีศาจตนหนึ่งที่อยากพบ ข้าจะต้องพบเขาให้ได้ ท่านแม่ช่วยข้าด้วยนะคะ”
วิ้ว
สายลมที่พัดเข้ามาทางหน้าต่างเหมือนเป็นสัญญาณบอกว่าเซลิเนียรับรู้ในสิ่งที่ลูกสาวร้องขอ เซซาเนียรู้สึกอบอุ่นและคิดว่าแม่คงจะเฝ้าดูเธออยู่ที่ไหนสักแห่ง เจ้าหญิงแห่งโรซานตรงไปที่ชั้นหนังสือแล้วหยิบบันทึกเกี่ยวกับแดนมืดมาอ่าน เธออยากรู้เรื่องของที่นั่นให้มากกว่านี้ เพื่อที่สักวันจะได้เข้าไปที่นั่นและไปหาคนที่อยากพบ
สถานที่แห่งเดิมในความฝันปรากฏขึ้นมาอีกแล้ว ร่างบางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ เพื่อหาใครบางคน ต้นไม้ใหญ่บนเนินสีเขียวนั้นทำให้หญิงสาวรีบวิ่งไปทันที ในใจก็หวังว่าจะได้พบกับคนที่ตามหา ทว่าตรงนั้นกลับว่างเปล่า ไม่มีใครอยู่ตรงนั้นเลยแม้แต่เงา เซซาเนียใจเสีย เธอกวาดสายตามองหาอีกรอบ เมื่อไม่พบก็กลัวว่าจะไม่ได้เจอกันอีก
เราไม่รู้ชื่อเขาแล้วจะเรียกว่าอะไรดีล่ะ เจ้าหญิงแห่งโรซานทำอะไรไม่ถูก ความรู้สึกที่เธอเองก็ไม่รู้ว่าคืออะไรกำลังผุดขึ้นมาในใจ เป็นห่วง กังวล และร้อนรนไปหมด พลันสายลมวูบหนึ่งก็พัดมา เสียงเพลงของชายหนุ่มทำให้นัยน์ตาสีเขียวน้ำทะเลเบิกกว้าง
เซซาเนียวิ่งไปตามที่เสียงเพลงนั้นดังแว่วมา เธอรู้สึกคุ้นเคยกับเพลงนี้จึงเผลอร้องตามโดยไม่รู้ตัว บางทีหญิงสาวอาจจะรู้จักมัน แต่เป็นตอนไหนกันในเมื่อนี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้ฟัง ไม่สิ เพลงนี้เธอคิดเองและร้องออกมาเองให้ใครบางคนได้ฟัง มันเป็นเพลงที่เธอจะมอบให้คนสำคัญเท่านั้น และเขาก็คือ...
“...!” หญิงสาวตะโกนเรียกชื่อของเขาทันทีที่วิ่งข้ามเนินมา คนที่เธออยากเจอเดินอยู่ข้างริมทะเลสาบ ทันทีที่ได้ยินเสียงเรียกชื่อ เขาก็หันมามองด้วยสีหน้าตื่น ๆ ท่าทางจะตกใจที่เซซาเนียเรียกชื่อเขาได้
กึก!
“ว้าย!” จังหวะนั้นร่างบางก็สะดุดก่อนหินแล้วเสียหลักล้มกลิ้งลงเนิน คนร้องเพลงก็รีบวิ่งมาช่วยประคองทันทีที่หญิงสาวกลิ้งลงมาถึงพื้นจากนั้นก็ช่วยปัดเศษหญ้าที่ติดตามตัวออกให้
“เป็นอะไรไหม เจ็บตรงไหนหรือเปล่า”
“ไม่ค่ะ ขอโทษด้วยนะคะที่ซุ่มซ่าม” เซซาเนียไม่กล้าสบตากับอีกฝ่าย น่าอายจริง ๆ ที่มาล้มต่อหน้าคนอื่น “สวัสดีค่ะ ได้เจอกันอีกแล้วนะคะ” เธอรีบยืนขึ้นแล้วทักทายเขาด้วยรอยยิ้ม
“สวัสดี” เจ้าตัวก็ทักทายกลับบ้าง หลังจากต่างฝ่ายต่างก็เงียบ ไม่มีใครพูดอะไรอีกนอกจากยืนจ้องหน้ากัน อาจเป็นเพราะวันนี้ทั้งสองไม่รู้จะเริ่มต้นคุยอะไรกันดี
“คือว่า...” ทั้งสองชะงักเมื่อพูดพร้อมกัน แล้วก็เงียบกันไปอีกครู่ใหญ่ ในสมองก็พยายามนึกว่าจะเริ่มต้นคุยอะไรดี “ตอนนี้ข้า...” แล้วก็ต้องเงียบไปอีกรอบเพราะพูดพร้อมกันอีกแล้ว
“เจ้าพูดก่อนละกัน” ในที่สุดฝ่ายชายก็ยอมถอย
“คือ...ข้าจะบอกท่านว่าตอนนี้ข้าอยู่ที่เมืองพาเทล ใกล้ ๆ กับกำแพงกั้นชายที่ประเทศโรซานนะคะ”
“ว่าไงนะ เจ้ามาที่ชายแดนเหรอ พอดีเลย ข้าก็อยู่ใกล้ ๆ กับชายแดนเหมือนกัน ดีไม่ดีเราอาจได้เจอกันนะ” ร่างสูงยิ้มกว้าง และนั่นทำให้หญิงสาวถึงกับหน้าแดง เซซาเนียคงไม่รู้ว่าเสน่ห์ที่ร้ายกาจที่สุดของเขาคือรอยยิ้ม
“ท่านจะมาหาข้าเหรอคะ”
“ข้ามาแน่ แต่จะได้เจอกันไหมนั่นก็อีกเรื่อง ประเทศโรซานยิ่งเป็นถิ่นที่น่ากลัวสำหรับชาวแดนมืดอยู่ด้วย แต่ข้าจะพยายามละกัน แล้วเจอกันนะเจ้าหญิง” จังหวะนั้นเจ้าตัวก็ดึงร่างบางเข้ามาสวมกอดโดยที่เธอไม่ทันตั้งตัว เซซาเนียเบิกตากว้าง ใจเต้นรัว ๆ แก้มสองข้างขึ้นสีแดงระเรื่อเนื่องจากนี่เป็นครั้งแรกที่ถูกผู้ชายกอด
ถึงเธอจะไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรมาก แต่ทำแบบนี้ใช่ว่าเธอเขินไม่เป็นนะ!
ตั้งแต่ตื่นนอนตอนเช้าจนกระทั่งช่วงสายของวันนี้ หญิงสาวจัดการธุระส่วนตัวรวมทั้งไปทำอย่างอื่นมากมายก็ยังไม่วายนึกถึงแต่เรื่องในความฝัน น่าเสียดายที่เซซาเนียจำชื่อและใบหน้าของเขาไม่ได้อีกแล้ว แต่การที่ถูกเขาดึงมากอดหน้าตาเฉยยิ่งทำให้เธอขวยเขิน
“พอสักที เลิกนึกถึงได้แล้ว” เจ้าหญิงแห่งโรซานตบแก้มสองข้างเบา ๆ ทว่าในความทรงจำก็ยังนึกถึงแต่เรื่องนั้นเหมือนเดิม จนกระทั่งเธอเอนหลังลงไปกลิ้งบนเตียงก็ยังไม่หายเขิน!
พลันเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นทำให้ร่างบางรีบลุกนั่งทันที จังหวะนั้นเด็กหนุ่มที่เธอคุ้นเคยก็เปิดประตูเข้ามาแล้ววิ่งโร่มากอดพี่สาวอย่างรักนักรักหนา เซซาเนียอมยิ้มพลางลูบผมน้องชายอย่างเอ็นดู เวลดอนก็เป็นแบบนี้อยู่เรื่อย ชอบอ้อนพี่สาวทุกครั้งที่มาหา
“ท่านพี่”
“มีอะไรอีกล่ะ”
“ข้ามีเรื่องมาบอกครับ คือว่าข้ากับเทเลอร์จะไปที่กำแพงกั้นชายแดนนะครับ ท่าทางฝ่ายนั้นจะมาโจมตีกำแพงอีกแล้ว ข้าไม่อยากให้ท่านพี่เป็นห่วงก็เลยมาบอกไว้ก่อน” ปกติเวลาเวลดอนจะออกไปข้างนอกเพื่อทำธุระ เขาจะมาบอกพี่สาวเป็นคนแรก ดูแล้วเหมือนลูกชายมาบอกแม่อย่างไรชอบกล
“จะไปสู้กับแดนมืดเหรอ อันตรายน่าดู คงมีคนเจ็บเยอะสินะ” เซซาเนียไม่เคยเห็นภาพคนเหล่านั้นในพื้นที่อันตรายจึงได้แต่จินตนาการเอา ร่างบางมองสองฝ่ามือของตัวเอง เธอเป็นถึงเจ้าหญิงก็ควรทำอะไรให้เป็นประโยชน์บ้าง โดยเฉพาะพรสวรรค์ที่ติดตัวมาแต่กำเนิด เธอควรจะได้ใช้มัน “เวลดอน”
“ครับ”
“พี่ขอไปด้วยได้ไหม”
“หา!” เด็กหนุ่มอ้าปากค้าง เมื่อกี้เขาหูฝาดหรือเปล่า พี่สาวของเขาบอกว่าอยากไปด้วย “ท่านพี่พูดอะไรน่ะครับ ที่นั่นอันตรายนะ อย่าไปเลย ท่านพี่อยู่ที่นี่ดีกว่า”
“เวลดอน พี่มีพลังรักษาและฟื้นฟูสูงมาก เจ้าก็รู้ว่ามันเป็นพรสวรรค์ที่ติดตัวพี่มา พี่อยากใช้มันให้เกิดประโยชน์” เซซาเนียยิ้มหวานเหมือนกำลังใช้มันหลอกล่อให้น้องชายใจอ่อน คนเป็นน้องถึงกับถอนหายใจ ถ้ารู้ว่าจะเจอแบบนี้เขาไม่มาหาพี่สาวดีกว่า
“ก็ได้ครับ”
เสียงระเบิดดังสนั่นตามมาด้วยเสียงคมดาบกระทบกันทำให้ชาวบ้านหลายคนที่อาศัยอยู่ใกล้ ๆ ชายแดนกรีดร้องด้วยความหวาดกลัว พวกเขาพากันอพยพหนีภัยสงครามเข้าไปในส่วนที่ลึกเข้าไปในเขตแดนของทางฝั่งมนุษย์ ขณะที่อีกด้านหนึ่ง ฝ่ายแดนมืดก็กำลังโจมตีกำแพงกั้นชายแดน ระเบิดเวทหลากหลายแบบถูกนำมาใช้ทำลายกำแพงสลับกับตั้งรับการโจมตีด้วยเวทจากทหารฝ่ายมนุษย์ที่คอยรับมืออยู่
นี่น่ะเหรอสงคราม มีแต่คนเจ็บล้มตายทั้งนั้นเลย เป็นครั้งแรกที่เซซาเนียเห็นความรุนแรงที่เกิดขึ้น ผู้คนวิ่งหนีเอาตัวรอด มีหลายคนถูกลูกหลงจนบาดเจ็บล้มตายก็มาก เห็นแล้วน่าเวทนานัก
ตอนนี้หญิงสาวปลอมตัวมาเข้าร่วมกับหน่วยนักเวทที่ใช้พลังในการรักษาโดยการสวมผ้าปิดปากและรวบเก็บผมไว้บนศีรษะ ยังดีที่เธอมีพรสวรรค์ในด้านนี้จึงแอบมาช่วยงานได้ แถมนักเวทในหน่วยนี้ส่วนใหญ่ก็เป็นผู้หญิงด้วย คนที่รู้ว่าเธอแฝงตัวมาก็มีแค่เวลดอนคนเดียว ตอนนี้น้องชายของเธอคงที่ไหนสักแห่งบนกำแพงกับเทเลอร์ พลันเสียงกรีดร้องของคนเจ็บก็ดังแว่วมาก่อนที่ทหารสองนายจะช่วยแบกเพื่อนที่บาดเจ็บมายังบริเวณที่หน่วยพยาบาลปักหลักอยู่ เซซาเนียจึงรีบตรงเข้าไปช่วย
“ใจเย็น ๆ เจ้าไม่เป็นไรแล้ว” เสียงใส ๆ นั้นทำให้ผู้บาดเจ็บรู้สึกดีขึ้นอย่างบอกไม่ถูกราวกับได้ยินเสียงของนางฟ้า แม้คนช่วยจะสวมผ้าปิดปากเอาไว้แต่คนมองก็รู้ว่าเธอกำลังยิ้ม เซซาเนียรีบวิ่งไปขอผ้าพันแผลเพิ่มเติมจากนักเวทรักษาคนอื่นจากนั้นก็รีบกลับมาทำแผลห้ามเลือดให้ผู้บาดเจ็บแล้วใช้เวทรักษาให้
ตูม!!!
จังหวะนั้นกำแพงกั้นชายแดนที่อยู่ไม่ไกลก็ระเบิดอย่างรุนแรงก่อนที่มันจะถล่มลงมาเป็นช่องว่างขนาดใหญ่ เสียงกรีดร้องดังสนั่นไปทั่ว ผู้คนมากมายรีบวิ่งหนีเอาตัวรอดเมื่อเห็นปีศาจตนหนึ่งสะบัดปีกสามคู่ร่อนลงมาบนซากปรักหักพัง เพียงแค่ตวัดเคียวสีทมิฬครั้งเดียว สายลมแรงก็พัดเอากลุ่มควันฝุ่นละอองจางหายไปทันที
“ปะ...ปีศาจมีปีกสามคู่!”
“จ้าวปีศาจ!”
“หนีเร็ว!”
พอรู้ว่าใครทำลายกำแพงทุกคนก็หนีกระเจิงทันทีด้วยความหวาดกลัว ทางด้านเซซาเนียก็รีบช่วยนักเวทคนอื่น ๆ พยุงคนเจ็บหนี แม้จะกลัวแต่ก็ไม่สามารถปล่อยให้ใครต้องตายได้
จ้าวปีศาจสะบัดมือไปด้านข้างเป็นสัญญาณให้ทหารสวมเกราะดำที่ติดตามมากระโจนข้ามกำแพงไป และแล้วการล่าสังหารก็เริ่มขึ้นเมื่อชาวแดนมืดพวกนั้นออกไล่ล่าผู้คน มนุษย์ชิงชังปีศาจ และปีศาจก็ไม่ชอบมนุษย์เช่นกัน ดังนั้นต่อให้อีกฝ่ายตายไปก็ไม่มีใครสงสารทั้งนั้น
ผู้ปกครองแดนมืดสะบัดปีกสามคู่เหาะขึ้นฟ้า เขาวาดมือสร้างวงเวทสีดำนับสิบกระจายตามที่ต่าง ๆ บนพื้นดินก่อนที่มันจะเกิดระเบิดขึ้นอีกชุดใหญ่ ที่แท้นั่นก็เป็นระเบิดเวทนั่นเอง ผลที่ตามมาคือผู้คนมากมายต่างถูกลูกหลงจนบาดเจ็บ บางรายหกล้มหนีไม่ทันก็ถูกมนุษย์ด้วยเหยียบจนตาย เซซาเนียก็เป็นอีกคนที่อยู่ใกล้ระเบิด ตอนนี้เธอพลัดหลงกับพวกหน่วยนักเวทรักษา หญิงสาวเห็นภาพคนตายและทำได้แค่หลับตาหันหน้าหนีเพราะเธอช่วยไม่ได้จริง ๆ ทว่าเธอจะแอบอยู่หลังซากปรักหักพังนานไม่ได้ ร่างบางต้องรีบไปจากที่นี่!
วูบ! ตูม!
จังหวะนั้นใบมีดจันทร์เสี้ยวก็ฟาดลงมาบนพื้นทำให้ร่างบางพุ่งหลบไปด้านข้างทันควัน เซซาเนียรีบลุกขึ้นแม้จะปวดระบมไปทั้งตัว พลันสัญชาตญาณก็ร้องเตือนว่าด้านหลังมีอันตรายทำให้เธอรีบคลานหนีแม้ขาจะเจ็บ พริบตานั้นใบมีดจันทร์เสี้ยวก็ตวัดมา หญิงสาวกรีดร้องก่อนจะหมอบลง เคียวนั้นจึงเกี่ยวเอาก้อนผมที่รวบไว้ทำให้มันสยายออก จ้าวปีศาจเห็นว่าเหยื่อหลบทันก็ตามไปไล่ล่า ช่วงที่กำลังจะตวัดเคียวอีกใส่อีกครั้งอีกฝ่ายก็เงยหน้าขึ้นมาพอดีหลังจากที่ผ้าปิดปากหลุดไปตั้งแต่ตอนไหนไม่ทราบ
“!!!” ร่างสูงหยุดทันควันเมื่อเห็นว่าผู้หญิงคนนี้เป็นใคร ส่วนเซซาเนียก็อยู่ในอาการหวาดกลัว นัยน์ตาสีเขียวน้ำทะเลสั่นระริก ยิ่งตอกย้ำว่าถ้าเขาไม่เห็นหน้า เขาคงสังหารเธอไปแล้ว!
“ท่านพี่!” เสียงของเวลดอนดังมาแต่ไกลก่อนที่สายพลังนับสิบจะพุ่งมาถล่มรอบด้านแต่จ้าวปีศาจควงเคียวปัดป้องได้หมด เซซาเนียจึงอาศัยจังหวะนี้ลุกวิ่งกลับไปหาน้องชายที่มาพร้อมกับพวกทหาร แต่แล้วผู้ใช้เคียวก็คว้าข้อมือเธอไว้ก่อน
“เดี๋ยวก่อน! เจ้า...!”
เพี้ยะ!
พูดไม่ทันขาดคำ เจ้าหญิงแห่งโรซานก็หันกลับมาตบเข้าที่ใบหน้าเต็ม ๆ ไม่รู้ว่าร่างบางเอาเรี่ยวแรงมาจากไหนแต่มันทำให้จ้าวปีศาจถึงกับล้มหัวทิ่มพื้นเลยทีเดียว ส่วนเซซาเนียก็มองอีกฝ่ายทั้งที่ยังตกใจอยู่ เมื่อได้สติเธอก็รีบวิ่งกลับไปหาน้องชายทันที
“เวลดอน!”
“ท่านพี่มาเร็ว!” เด็กหนุ่มวิ่งไปช่วยพยุงพี่สาวที่กึ่งวิ่งกึ่งเดินมาโดยมีทหารคอยคุ้มกันก่อนจะรีบถอยออกมาเมื่อปีศาจอีกสี่ตนซึ่งมีปีกคนละสองคู่ร่อนลงมาจากท้องฟ้า
“ท่านจ้าว!” เทมเพสวิ่งไปพยุงคนที่กำลังลุกขึ้นด้วยอาการมึนศีรษะ
“ตายล่ะ! หัวแตกด้วยนี่!” อาเนฟรีบหาผ้ามาซับเลือดที่ไหลอาบหน้าเจ้านายทันที “โยริค เฟลม คุ้มกันด้วย ข้ากับเทมเพสจะพาท่านจ้าวกลับไป”
“เข้าใจแล้ว!” สองหนุ่มขานรับอย่างพร้อมเพรียงก่อนที่เฟลมจะใช้ปืนดาบยิงกระสุนเพลิงโจมตีพวกทหารโรซานที่ยิงสายพลังเวทมาทางนี้ ส่วนโยริคก็ใช้โล่โปร่งแสงของตัวเองสร้างเกราะป้องกันพลังโจมตีจากทางอื่น ปิดท้ายที่เทมเพสกับอาเนฟช่วยกันพยุงจ้าวปีศาจบินขึ้นฟ้ากลับไปยังอาณาเขตของแดนมืด