บท
ตั้งค่า

บทที่ 3 ข่าวจากชายแดน

บรรยากาศยามเช้าวันนี้ตึงเครียดผิดปกติ แม้แต่หญิงสาวที่นั่งมองทุกอย่างจากบนระเบียงยังรู้สึกได้ ไม่มีเสียงพูดคุย ไม่มีรอยยิ้มสดใสของคนบางกลุ่มที่เดินผ่านมาพบกันแล้วทักทายกัน มีบางอย่างเกิดขึ้น เซซาเนียคิดว่าเป็นแบบนั้น ถ้าอยากรู้ความจริง เธอจำเป็นต้องถามใครสักคน เหมือนฟ้าจะรู้ความต้องการของเธอ น้องชายแท้ ๆ ที่รักและเทิดทูนพี่สาวยิ่งกว่าอะไรเปิดประตูเข้ามาพอดี

“ท่านพี่”

“เวลดอน มาแล้วเหรอ พี่กำลังรออยู่เลย” คนที่รู้ว่าตอนนี้เกิดอะไรขึ้น หนึ่งในนั้นคือน้องชายของเธอ เจ้าหญิงแห่งโรซานจึงเลือกที่จะถามเด็กหนุ่มแทนเพราะถามคนอื่นไปก็ไม่มีใครยอมบอก

“ท่านพี่ เกิดการปะทะที่ชายแดนแล้วครับ”

“ตายจริง แล้วพวกชาวบ้านที่อยู่แถวนั้นล่ะ”

“พวกทหารช่วยอพยพประชาชนไปไว้ที่เมืองใกล้ ๆ แล้วครับ อีกอย่างท่านพ่อจะส่งข้ากับเทเลอร์ไปที่นั่นในอีกสองวันข้างหน้า ข้าก็เลยมาบอกท่านพี่ก่อน” เห็นสีหน้าของหญิงสาวแล้ว เวลดอนก็รู้ทันทีว่าเธอเป็นห่วง เด็กหนุ่มกุมมือพี่สาวเพื่อให้เธอรู้สึกมั่นใจในตัวเขา “ท่านพี่ไม่ต้องกังวล ข้าไม่เป็นอะไรแน่”

“แต่พี่ก็เป็นห่วงอยู่ดี ไหนจะประชาชนที่เดือดร้อนอีก” เสียงใส ๆ นั้นถ่ายทอดความรู้สึกสงสารและเห็นใจผู้เดือดร้อนอย่างแท้จริง เจ้าชายแห่งโรซานจึงไม่แปลกใจว่าทำไมใคร ๆ ถึงรักพี่สาว ขนาดเทเลอร์ยังหลงรักถึงแม้ว่าตัวฝ่ายหญิงจะไม่ได้รักก็ตาม

“ท่านพี่คงไม่ได้อยากไปด้วยใช่ไหมครับ”

“พี่อยากไป แต่ท่านพ่อคงไม่ยอม” นัยน์ตาสีเขียวน้ำทะเลสบกับนัยน์ตาสีเดียวกันอีกคู่ ความในใจที่ส่งออกมาทำให้เด็กหนุ่มถอนหายใจ อย่างที่คิดไว้ไม่ผิด พี่สาวของเขาอยากไปด้วย

“ที่นั่นอันตรายนะครับ”

“ให้พี่ไปด้วยเถอะ ช่วยพี่หน่อยนะเวลดอน นะ ๆ ให้พี่ไปด้วยนะ” รอยยิ้มหวาน ๆ แสนน่ารักถูกนำมาใช้กับคนเป็นน้องชาย เจ้าชายแห่งโรซานมีสีหน้าหนักใจแต่เพราะเสน่ห์ของรอยยิ้มนั้นทำให้เขาไม่อาจปฏิเสธได้

นี่ขนาดน้องชายยังใจอ่อน แล้วผู้ชายคนอื่นจะไม่หลงรักตายเลยเหรอ!

“ก็ได้ครับ งั้นท่านพี่กับข้าลองไปคุยกับท่านพ่อดูนะครับ”

“ขอบใจมากนะน้องรัก” เซซาเนียดึงน้องชายเข้ามากอดอย่างรักนักรักหนา แต่เพราะกอดแน่นเกินไป เวลดอนจึงหายใจไม่ออก เขาได้แต่ดิ้นให้หลุดจากอ้อมกอดแสนอบอุ่นของพี่สาว

“ทะ...ท่านพี่ ข้าหายใจไม่ออก!”

แดนมืดประกาศสงครามกับประเทศโรซานก็จริง ทว่านั่นคือฉากหน้าต่างหาก ระหว่างที่พวกมนุษย์พุ่งเป้าไปที่กำแพงที่อยู่ใกล้กับหมู่บ้าน ปีศาจกลุ่มหนึ่งก็จะลอบเข้าไปอีกทางโดยมุ่งหน้าไปยังบริเวณป่าที่เต็มไปด้วยพันธุ์ไม้หายากซึ่งมีคุณสมบัติในการทำยาและเป็นส่วนผสมของสิ่งประดิษฐ์ที่เกี่ยวกับเวทมนตร์ คำสั่งของจ้าวปีศาจไม่ได้ให้นำแค่ต้นกล้าแต่ยังถอนรากถอนโคนพวกต้นใหญ่ ๆ ไปด้วย

ในเมื่อประเทศโรซานไม่ยอมให้ดี ๆ แดนมืดก็จะขโมยไปให้หมดเลย!

“เอกสารพวกนี้คือจำนวนพันธุ์ไม้ที่เราหาได้ในวันนี้ขอรับ” เทมเพสมาหาจ้าวปีศาจที่อยู่ในกระโจมจากนั้นก็วางของที่นำมาลงบนโต๊ะทำงาน ส่วนเจ้าของที่ก็นั่งไขว่ห้างพลางหมุนปากกาแบบกดเล่นไปด้วย

“รอบ ๆ ค่ายของเราเป็นยังไง” วาเรียสถามก่อนจะหยิบเอกสารพวกนั้นขึ้นมาดู

“เรียบร้อยดีขอรับ พวกอาเนฟออกไปลาดตระเวนอยู่ อีกอย่างเราตั้งค่ายอยู่ไกลจากชายแดน คงไม่มีมนุษย์คนไหนกล้าเหยียบย่างเข้ามาหรอกขอรับ” บริเวณที่ชายหนุ่มผมหางม้าพูดถึงคือเนินเขาแห่งหนึ่งในแดนมืดซึ่งอยู่ห่างจากชายแดนไกลพอที่จะหลบซ่อนจากสายตาฝ่ายนั้นได้

“แล้วมีเรื่องอะไรอีกหรือเปล่า”

“มีขอรับ กระดาษแผ่นสุดท้ายเป็นหนังสือขออนุญาตให้พวกนักเวทปรุงยานำพันธุ์ไม้เหล่านั้นไปทำยารักษาขอรับ” เทมเพสพูดจบ วาเรียสก็หยิบกระดาษแผ่นสุดท้ายออกมา เมื่ออ่านแล้วพิจารณาว่าคงไม่มีปัญหาอะไร ชายหนุ่มจึงลงชื่ออนุมัติ จังหวะที่กำลังจะกดให้ไส้ปากกาออกมาจากหัว เพราะหมุนเล่นเพลินจึงลืมไปว่าด้านที่กำลังจะกดคือหัวปากกาปลายแหลม และมันก็จิ้มนิ้วหัวแม่มือเต็ม ๆ

จึก!

“อ๊าก!!!” วาเรียสแหกปากสนั่นกระโจมและเสียงนั้นทำให้พวกอาเนฟที่เพิ่งออกไปลาดตระเวนกลับมาได้ยินเข้าพอดี สามหนุ่มมองหน้ากันก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปข้างใน ท่ามกลางสายตาสงสัยของพวกทหารที่เดินผ่านไปผ่านมา

“ท่านจ้าว เกิดอะไรขึ้นขอรับ!” เฟลมตะโกนถามก่อนเลยทันทีที่วิ่งเข้ามา

“ท่านจ้าวถูกปากกาจิ้มนิ้วหัวแม่มือน่ะ ไม่มีอะไรร้ายแรงหรอก” เทมเพสหันมาตอบเพื่อน ๆ ด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ พลางเปิดกล่องยาหาอุปกรณ์ทำแผล

ทางด้านคนถูกปากกาจิ้มนิ้วก็เอาหน้าซบโต๊ะ มือข้างที่ถูกปากกาจิ้มก็ยกขึ้นท่วมหัว นิ้วหัวแม่มือที่ถูกประทุษร้ายก็กำลังมีเลือดออก สามองครักษ์มองหน้ากันอย่างไม่รู้ว่าควรจะสงสารหรือหัวเราะดี

“ท่านจ้าวขอรับ ท่านทำยังไงถึงถูกปากกาจิ้มนิ้วได้ขอรับ” โยริคอยากจะหัวเราะให้กรามค้าง ที่จริงก็สงสารอยู่หรอก แต่มันอดขำไม่ได้จริง ๆ

“ข้าได้เรื่องตลกไปเล่าให้ลูกหลานฟังแล้วล่ะ” อาเนฟหัวเราะหึ ๆ จากนั้นก็เงียบเมื่ออีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมาด้วยสีหน้าบอกบุญไม่รับ พวกนั้นตลก แต่วาเรียสไม่ตลกด้วย!

“ลองมาโดนจิ้มเองไหมล่ะ!”

“ไม่ขอรับ เจ็บตัวเปล่า ๆ” เฟลมฉีกยิ้มกว้างก่อนจะหลีกทางให้เทมเพสยกกล่องยาไปหาคนเจ็บตัว ชายหนุ่มผมหางม้านำสำลีไปซับยาสมานแผลแล้วจึงนำมาทาที่นิ้วหัวแม่มือ ผ่านไปสักครู่แผลก็หายสนิท

“คราวหน้าก็ระวังด้วยขอรับ”

“เออ ๆ ไม่เล่นแล้ว” วาเรียสถอนหายใจจากนั้นก็หยิบปากกาเจ้ากรรมขึ้นมาลงชื่อในหนังสือขออนุญาตแผ่นนั้น “พวกเจ้าสามคนไปข้างนอก ได้ข่าวอะไรมาบ้าง”

“มีขอรับ ราชาออร์ดิอุสจะส่งเจ้าชายกับแม่ทัพแห่งโรซานมาที่ชายแดนในอีกสองวันข้างหน้า ข่าวล่าสุดที่ออกมาก็มีแค่นี้ ถ้าความคืบหน้าอะไรอีก พวกเราจะนำมารายงานทีหลังขอรับ” อาเนฟเป็นคนบอกว่าได้อะไรมาบ้างระหว่างออกไปลาดตระเวน

“เข้าใจแล้ว ไปได้” สามหนุ่มทำความเคารพแล้วรีบออกไป ตอนนี้ก็เหลือแค่เขากับเทมเพสเท่านั้นที่ยังอยู่ หัวหน้าองครักษ์สังเกตเห็นอะไรบางอย่างในแววตาของเจ้านาย นัยน์ตาสีแดงคู่นั้นฉายแววหม่นหมองเหมือนกับว่ามีข่าวที่อยากรู้แต่ก็ไม่ได้ข่าวนั้นมา

“ท่านจ้าวมีอะไรหรือเปล่าขอรับ”

“ไม่มีอะไรหรอก อย่ากังวลไปเลย” แค่พริบตาเดียว แววตาของวาเรียสก็กลับมาเป็นปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่เทมเพสก็ยังไม่หายสงสัยอยู่ดี “อย่าเพิ่งมาทำเป็นรู้ใจข้าตอนนี้ มีอะไรก็ไปทำซะ”

“ขอรับ” หัวหน้าองครักษ์ค้อมศีรษะแล้วเดินออกไป

เมื่อก่อนหลอกได้ แต่เดี๋ยวนี้หลอกไม่ค่อยได้แฮะ ในความคิดของเขา เทมเพสเป็นคนเดียวที่รู้ความคิดและรู้ว่าเขาต้องการอะไรมากที่สุดในหมู่เพื่อน ๆ ถึงแม้ว่าช่วงสงครามแดนพราย เจ้าตัวจะเดาใจเขาไม่ได้ก็เถอะ แต่ตอนนี้กับตอนนั้นมันไม่เหมือนกัน

บรรยากาศตึงเครียดภายในห้องทำงานทำให้หญิงสาวเจ้าของเรือนผมสีเขียวน้ำทะเลถึงกับเกร็งทันทีที่สบกับนัยน์ตาของชายวัยกลางคนแม้ว่าข้าง ๆ จะมีน้องชายนั่งอยู่ด้วยก็ตาม หากสังเกตดี ๆ จะพบว่าท่าทางของเวลดอนก็ไม่ต่างจากเธอ ทางด้านเจ้าของห้องก็มองลูก ๆ ทั้งสองที่มานั่งนิ่งอยู่ตรงหน้า ก่อนจะถามออกไป

“เซซาเนีย เวลดอน มีเรื่องอะไรถึงมาพบพ่อ” ชายวัยกลางคนเจ้าของสีตาและสีผมเหมือนสองพี่น้องไม่มีผิดเพี้ยนถามเสียงเรียบ เจ้าหญิงแห่งโรซานชำเลืองมองน้องชายก่อนที่เวลดอนจะเป็นคนพูด

“ท่านพ่อ ข้าอยากให้ท่านพี่ไปด้วย”

“ไม่ได้” คำตอบที่ได้รับทันทีหลังจากฟังจบทำให้เจ้าชายแห่งโรซานยิ้มฝืด ๆ นึกอยู่แล้วว่าต้องไม่ให้ไป “เจ้าจะไปกับน้องด้วยเหรอเซซาเนีย ที่นั่นเป็นชายและพวกแดนมืดก็มาโจมตีที่นั่น สถานที่อันตรายอย่างนั้นยังอยากจะไปอีกเหรอ”

“ข้าเป็นเจ้าหญิงแห่งโรซาน ข้าอยากไปเป็นขวัญและกำลังใจให้ทหารรวมทั้งช่วยเหลือประชาชนด้วยค่ะ ถ้าข้าทำได้” หญิงสาวเลือกที่จะไม่บอกเจตนาอีกอย่างออกไป ไม่อย่างนั้นชายวัยกลางคนคงไม่ให้เธอไปแน่

“ต่อให้เวลดอนอยู่ด้วย พ่อก็ไม่ให้เจ้าไป”

“ท่านพ่อคะ”

“บอกว่าไม่ก็คือไม่ เจ้าจะขัดคำสั่งพ่อเหรอ” กล่าวจบ เจ้าหญิงแห่งโรซานก็ชะงัก สิ่งที่ออกจากปากออร์ดิอุสคือคำว่าคำสั่งอีกแล้ว ไม่ว่าจะทำอะไรก็มีแต่คำสั่งเท่านั้น บางครั้งเซซาเนียก็คิด เธอเป็นอะไรกันแน่ในสายตาของพ่อ

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

เสียงเคาะประตูทำให้ทุกอย่างอยู่ในความเงียบ ทันทีที่ออร์ดิอุสอนุญาตให้ผู้มาใหม่เข้ามา เจ้าตัวก็ผลักบานประตูเข้ามาตามนั้น เทเลอร์มองสองพี่น้องที่นั่งอยู่ก่อนแล้วอย่างแปลกใจเล็กน้อยแต่ก็ไม่พูดอะไร นัยน์ตาแข็งกร้าวของผู้ปกครองประเทศโรซานเริ่มอ่อนลงเมื่อนึกอะไรออก

“พอดีเลย เทเลอร์ก็จะไปที่นั่นกับเวลดอน อยู่ใกล้ ๆ เขาเอาไว้ล่ะเซซาเนียถ้าเจ้ายังอยากจะไปที่นั่นอยู่” ออร์ดิอุสคิดว่าถ้าลูกสาวอยู่กับคู่หมั้น ทั้งสองอาจจะได้ใกล้ชิดกันมากขึ้น

“ได้ครับท่านพ่อ ท่านพี่จะต้องอยู่ใกล้เทเลอร์แน่ ๆ นี่เทเลอร์ ดูแลพี่สาวข้าดี ๆ นะ” เวลดอนเห็นว่าตอนนี้เป็นโอกาสแล้วจึงทำทีเป็นเห็นด้วยที่จะให้ชายหนุ่มดูแลพี่สาวของตัวเอง ทั้งที่ในใจ เด็กหนุ่มก็ไม่ได้ปลื้มนักที่เซซาเนียจะต้องแต่งงานกับชายคนนั้น

“ขอรับ” ถึงแม้จะยังไม่เข้าใจอะไรนัก แต่แม่ทัพแห่งโรซานก็ตอบรับไว้ก่อนขอเพียงมันเกี่ยวกับเจ้าหญิงที่เขาหลงรัก ผิดกับหญิงสาวที่ก้มหน้าก้มตายอมรับ ความจริงแล้วเธอไม่ได้สนใจคู่หมั้นเลยด้วยซ้ำ

เธอก็แค่คิดว่าอาจจะได้พบกับคนที่อยากเจอมาตลอดต่างหาก

เรื่องขออนุญาตไปที่ชายแดนผ่านไปได้ด้วยดี ส่วนหนึ่งคงเพราะเทเลอร์เดินเข้ามาพอดี ออร์ดิอุสจึงยอมให้เซซาเนียไปกับเวลดอนด้วยเผื่อว่าความใกล้ชิดจะทำให้หญิงสาวเปิดใจรับคู่หมั้นหนุ่มบ้าง ตอนนี้เจ้าหญิงแห่งโรซานลุกออกมานั่งที่โต๊ะน้ำชาบริเวณระเบียงหลังห้อง เวลากลางคืนของวันนี้ท้องฟ้าเปิด ไม่มีหิมะโปรยปรายเหมือนวันก่อน ๆ ดังนั้นจึงมองเห็นดาวเต็มท้องฟ้า สายลมเย็นพัดมากระทบผิวกายทำให้เธอต้องจัดผ้าคลุมไหล่ให้เข้าที่

“ข้าจะได้ไปที่ชายแดนแล้ว ดีจังเลย”

ข้าจะได้หาทางไปพบท่านสักที ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นใครหรืออยู่ส่วนไหนของแดนมืด เซซาเนียก็ต้องใช้โอกาสที่หายากนี้หาเขาให้เจอ ฝ่ามือข้างที่มีรอยสักถูกยกไปทาบอก ความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ในนั้นเต็มไปด้วยความคิดถึงและโหยหา ทั้ง ๆ ที่ไม่รู้ชื่อและจำใบหน้ากับน้ำเสียงไม่ได้ แต่เธอก็ยังนึกถึง วันเวลาผ่านไป ความรู้สึกพวกนั้นก็มากขึ้นเรื่อย ๆ

สิ่งเหล่านี้เรียกว่า ‘รัก’ หรือเปล่า แต่มันเร็วเกินไปที่จะเรียกแบบนี้ เซซาเนียจึงคิดว่าความรู้สึกของตัวเองอาจจะยังไม่ถึงขนาดนั้น ไว้ได้พบกันก่อนแล้วค่อยตัดสินก็ได้

“ดาวตก?” นัยน์ตาสีเขียวน้ำทะเลเบิกกว้างเมื่อเห็นว่าบนท้องฟ้าเกิดอะไรขึ้น ร่างบางเคยได้ยินพวกสาวใช้คุยกันว่าถ้าเห็นดาวตกให้อธิษฐานขอในสิ่งที่ปรารถนา ไม่รู้ว่าจะเป็นจริงหรือไม่ หญิงสาวก็จะลองดู

ข้าอยากตามหาคนคนหนึ่ง ขอให้ข้าได้พบกับเขาทีเถอะค่ะ เซซาเนียประสานมือขอพรในสิ่งที่ปรารถนา หวังว่าเสียงของเธอจะทำให้ใครสักคนเห็นใจและช่วยทำให้คำอธิษฐานเป็นจริง

ท้องฟ้าในแดนมืดวันนี้เต็มไปด้วยหมู่ดาวนับล้านดวงที่เปล่งแสงระยิบระยับ จากนั้นก็เริ่มมีดาวตกพุ่งหายไปในขอบฟ้า แล้วมีดาวดวงอื่น ๆ ตกตามมาแล้วหายไปเช่นเดียวกัน สายลมอ่อน ๆ เย็นสบายพัดมาปะทะใบหน้าของคนที่ยืนมองภาพเหล่านั้น เวลากลางคืน ช่วงที่ไม่มีเรื่องอะไร วาเรียสก็เลยขึ้นมาเดินเล่นที่หน้าผา ซึ่งมองจากตรงนี้จะเห็นทิวทัศน์สวยงาม รวมทั้งภาพท้องฟ้าเมื่อครู่ด้วย

“ท่านจ้าว” เสียงคุ้นหูดังมาจากทางด้านหลังก่อนที่เทมเพสจะเดินเข้ามา “ข้าตามหาตั้งนาน ที่แท้ท่านก็มาอยู่ที่นี่นี่เอง” น้ำเสียงหงุดหงิดน้อย ๆ ทำให้คนแอบหนีมาเดินเล่นหลุดหัวเราะ

“ข้าเป็นพวกชอบหนีเที่ยว ทำใจซะเถอะ”

“ว่าแต่ดูดาวตกอยู่หรือขอรับ” เทมเพสมองท้องฟ้าเบื้องหน้าบ้าง ดาวตกอีกจำนวนหนึ่งพุ่งลงมาแล้วหายลับไปทันทีที่ถึงขอบฟ้า “ท่านมีเรื่องไม่สบายใจหรือเปล่า ถึงออกมาคนเดียว”

“ไม่ใช่เรื่องงานหรอก เป็นเรื่องส่วนตัวน่ะ” หัวหน้าองครักษ์เลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ เรื่องส่วนตัวที่วาเรียสพูดถึงเป็นเรื่องอะไรกันในเมื่อตอนนี้ก็ไม่เห็นมีปัญหาอะไร

“หรือจะเป็นเรื่องท่านคาเรียส” ถ้าเขาจำไม่ผิด ตั้งแต่จ้าวปีศาจก่อสงครามกับแดนพราย คาเรียสก็โกรธมาก ตั้งแต่นั้นมาเขาก็คุยกับวาเรียสน้อยลง จนตอนนี้แทบจะนับจำนวนครั้งที่คุยกันได้ แถมการสนทนาแต่ละครั้งก็น้อยมากจนน่ากลัวว่าทั้งสองจะตัดพ่อตัดลูกกันจริง ๆ

“พ่อไม่พอใจที่ข้าก่อเรื่อง ถึงเราจะแทบไม่ได้คุยกัน แต่เราไม่ตัดขาดกันหรอก ลืมไปได้เลยว่านั่นเป็นปัญหา” คำยืนยันจากวาเรียสแสดงให้เห็นว่าเทมเพสคิดผิด ถ้าไม่ใช่เรื่องนี้แล้วเป็นเรื่องอะไร

“แล้วเรื่องส่วนตัวที่ทำให้ท่านไม่สบายใจคืออะไรล่ะขอรับ”

“แปลกนะ คนที่รู้ว่าข้าคิดหรือทำอะไรมากที่สุดคือเจ้า แต่ตอนนี้เจ้ากลับไม่รู้ แสดงว่ามีอะไร ข้ายังปั่นหัวเจ้าได้อีกเยอะ” เทมเพสชำเลืองมองคนพูดซึ่งนั่นทำให้จ้าวปีศาจถึงกับหลุดหัวเราะ หัวหน้าองครักษ์มองแบบนี้แสดงว่าคงไม่พอใจอยู่ลึก ๆ “มีผู้หญิงคนหนึ่งที่ข้าอยากเจอ ข้าคิดว่าสักวันจะไปหานางสักหน่อย”

“เป็นคนสำคัญหรือขอรับ” นัยน์ตาสีเขียวมรกตเบิกกว้างเล็กน้อยเมื่อรู้ว่าปัญหาส่วนตัวที่อยู่ในใจจ้าวปีศาจคืออะไร ท่าทางสัญญาณว่าเทมเพสจะเป็นคนเดียวในกลุ่มที่โสดคงแว่วมาแล้ว

“สำหรับข้า นางเป็นยิ่งกว่าคนสำคัญ ถึงนางจะจำข้าไม่ได้แต่ข้าจำนางได้ ข้าตั้งใจไว้แล้วว่าจะต้องไปหา ไม่ว่ายังไงก็ต้องพบให้ได้” วาเรียสมองท้องฟ้าที่มีดาวตกด้วยแววตาหนักแน่น คำอธิษฐานของเขาจะเป็นคำสัญญา เขาต้องไปหาและต้องเจอเธอให้ได้ ต่อให้อีกฝ่ายอยู่สุดขอบโลกก็ต้องตามไป

รอยสักบนหลังฝ่ามือข้างซ้ายร้อนขึ้นเล็กน้อยเหมือนมันจะบอกว่ามันรู้ในสิ่งที่ผู้สร้างมันคิด อีกครึ่งหนึ่งของมันอยู่ที่เธอและคอยเชื่อมต่อเธอไว้กับเขา วันใดที่ได้พบกัน ตราพันธะมันจะเรียกหากันเอง

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel