เฟรชชี่หน้าใส 1
Chapter 1 เฟรชชี่หน้าใส
1 ปีผ่านไป...
ฉันได้เป็นเฟรชชี่ของมหาวิทยาลัยที่มีชื่อแห่งหนึ่ง แต่พี่ชายฉันบ่นยับ ที่ฉันไม่เลือกมหาวิทยาลัยเดียวกับเขา แต่มหาวิทยาลัยที่พี่เมฆเรียนอยู่นั้นไม่มีสาขาที่ฉันอยากเรียน ซึ่งก็คือมัณฑนศิลป์ อยากเป็นนักออกแบบผลิตภัณฑ์หรือไม่ก็แพ็กเกจจิ้งดีไซน์ หรือออกแบบ
มหาวิทยาลัยยังไม่เปิด หลังจากวันมอบตัวผ่านไป และวันนี้ฉันเพิ่งย้ายเข้ามาอยู่คอนโดฯ ให้เช่าใกล้กับมหาวิทยาลัย และเพื่อนร่วมห้องก็คือเนย เพื่อนรักของฉันนั่นเอง เนยเรียนอยู่คณะนิเทศศาสตร์ เราสองคนพร้อมมากสำหรับกิจกรรมน้องใหม่ที่จะเริ่มขึ้นในวันจันทร์นี้
ห้องพักมีเฟอร์นิเจอร์ครบครัน รวมทั้งทีวีตู้เย็นและเครื่องใช้จำเป็นต่างๆ เราจึงไม่ได้ขนข้าวของอะไรเข้ามามาก นอกจากเสื้อผ้าและของใช้ส่วนตัวเท่านั้น
“จัดห้องเสร็จ เรานัดเจอพี่โซ่กันมั้ย” เนยเอ่ยขึ้นขณะสาละวนกับการจัดเก็บข้าวของ เพราะมหาวิทยาลัยที่เราแอดฯ ได้นั้น เป็นที่เดียวกับที่พี่โซ่เรียนอยู่ แต่พี่โซ่เรียนสถาปัตย์ ตอนนี้ก็ขึ้นปีสองแล้ว
“แกไปเถอะ ฉันอยากพักน่ะ” ฉันรู้ว่าเนยชอบพี่โซ่มานานแล้ว
“แกไม่ไปด้วย ฉันก็ไม่กล้านัดพี่เขานะ เป็นสาวเป็นนางจะไปนัดเจอผู้ชายก่อนได้ไง มันไม่ใช่นะแก” เนยพูดเขินๆ บิดตัวไปมา
“เหรอ ได้ข่าวว่าแกแอดไลน์ไปหาพี่เขาก่อนนะ แถมยังไปเต๊าะพี่เขาในเฟซฯ ทุกรูปที่พี่โซ่ลงอีก”
“ฮือ ยัยเพื่อนปากเสีย” เนยหันมาตีแขนฉันเบาๆ
“ขนาดนี้ไม่ต้องมาทำเป็นกุลสตรีกับพี่เขาแล้ว เดินหน้าจีบพี่เขาต่อไปเถอะ”
“ถ้าฉันหน้าตาน่ารักแบบแก ฉันคงทำไปแล้วเหอะ”
“แกก็หน้าตาน่ารักจะตาย” ฉันหันไปชมจากใจ เพราะเนยเป็นผู้หญิงตัวเล็กที่สูงพอๆ กับฉัน คือสูงแค่ 156 ซม.
เนยมีใบหน้าจิ้มลิ้ม และไว้ผมสั้นหน้าม้าเต่อ ดูน่าเอ็นดูเหมือนตุ๊กตา ส่วนฉันเพื่อนๆ ชอบชมว่าหน้าตาน่ารัก หวานๆ เย็นๆ เหมือนไอติม ยิ้มโลกสดใส
ฉันว่าตัวเองหน้าตาธรรมดา ไม่ได้น่ารักเหมือนเพื่อนชม แต่เพราะฉันมีนิสัยเข้ากับคนง่าย เพื่อนบอกดวงตาฉันมันเป็นประกายยิ้มสดใสตลอดเวลาเหมือนคนไม่มีความทุกข์ ทั้งที่ฉันก็มีสุขและทุกข์เหมือนคนทั่วไป
“แต่ตอนนี้ฉันเป็นสิวอะ” ว่าแล้วเจ้าตัวก็ทำหน้าเซ็งๆ
“แค่นิดหน่อยเองเดี๋ยวก็หาย เอ่อ แกต้องกินช็อกโกแลตให้น้อยลงด้วย” เพราะเนยกินช็อกโกแลตหรือขนมหวานมากเกินไปจะสิวขึ้น
“ฉันจะพยายาม” เจ้าตัวพูดเสียงหงอยๆ เพราะเป็นคนที่ชอบกินช็อกโกแลตมาตั้งแต่ยังเด็ก ดีว่าไม่อ้วน
เราใช้เวลาจัดเก็บเสื้อผ้าและข้าวของอื่นๆ ไม่นาน แต่ก็เหนื่อยเหมือนกัน เพราะงั้นฉันกับเนยก็ทิ้งร่างบนเตียงเดี่ยวของตัวเองที่จัดไว้คนละมุม โดยมีโต๊ะทำการบ้านของแต่ละคนและชั้นวางของกั้นกลาง
“โอ๊ย เหนื่อยเหมือนกันนะนี่” เนยร้องขึ้น
“อือ ฉันง่วงอะแก ถ้าแกหิวก็หาไรกินก่อนเลยนะ” เราเดินทางจากบ้านเกิด ซึ่งเป็นจังหวัดเล็กๆ ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ มาตั้งแต่ไก่โห่ ตอนนี้แค่บ่ายแก่ๆ หนังตาฉันก็หนักอึ้งแล้ว
“เออ ฉันก็ง่วงเหมือนกัน แต่หิวมากกว่า เดี๋ยวลงไปซื้อของกินข้างล่าง แกเอาอะไรล่ะ”
“ขอเตี๋ยวลูกชิ้นหมูหรือปลาก็ได้”
“เส้นหมี่น้ำนะ”
“อือ...” จากนั้นฉันก็ทนความหนักของเปลือกตาตัวเองไม่ได้อีกต่อไป
ฉันตื่นขึ้นมาในเวลาเกือบสองทุ่มไม่เจอเนยอยู่ในห้อง แต่เจอถุงก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นวางอยู่บนโต๊ะในห้องนั่งเล่น ฉันเดินไปหยิบโทรศัพท์มาดู เนยทิ้งข้อความไว้ในไลน์
เนย : แก ตอนฉันลงไปซื้อของกิน ฉันเจอพี่โซ่ พี่เขาก็เพิ่งย้ายออกจากหอมาอยู่คอนโดฯ เดียวกับเราน่ะ มันคงเป็นพรหมลิขิตแหละแกที่เรามาเจอกัน และพี่เขาก็ชวนฉันไปกินข้าว เดินเที่ยวที่ห้าง ค่ำๆ คงกลับนะ กินเตี๋ยวของแกให้อร่อยไป ขากลับเดี๋ยวซื้อขนมมาฝาก
หมอก : นี่สองทุ่มแล้วนะ ยังไม่กลับอีกเหรอ
อีกฝ่ายอ่านแล้ว และส่งรูปภาพของตัวเองกับพี่โซ่ที่อยู่ในร้านไอศกรีมชื่อดังมาให้ฉันดู เหมือนจะเป็นรูปคู่ หากว่าจะไม่เห็นช่วงไหล่ของผู้ชายอีกคนที่ใส่เชิ้ตสีดำที่นั่งอยู่ข้างๆ พี่โซ่ แสดงว่าเนยไม่ได้ไปกับพี่โซ่สองคน
หน้าตาเพื่อนฉันดูเบิกบานมาก ยิ้มกว้างจนปากจะฉีกไปถึงหู
ฉันวางโทรศัพท์ลง หิ้วถุงก๋วยเตี๋ยวเข้าไปในครัวเล็กๆ ที่มีอุปกรณ์ครัวและของใช้ครบครัน รวมทั้งมีมุมกินข้าวที่อยู่ติดกับห้องครัว จัดการอุ่นน้ำซุปก๋วยเตี๋ยวใส่ชามแล้วยกมากินในห้องนั่งเล่นเพื่อจะได้ดูทีวีไปด้วย
สามทุ่มครึ่งเนยก็กลับมาด้วยใบหน้าแป้นแล้นจนน่าหมั่นไส้ ในมือมีถุงสองสามถุงได้ เจ้าตัวเดินลิ่วมานั่งลงข้างๆ ฉัน วางถุงทั้งหมดลงบนโต๊ะ
“แกร๊ เดาสิว่าฉันเจอใคร” ถามเสียงระรื่นพอๆ กับสีหน้า
“ก็พี่โซ่ไง” ก็บอกเองว่าไปเจอพี่โซ่นี่
“ก็เออ พี่โซ่นั่นก็ใช่ แต่มีอีกคนด้วยนะ”
“ใครอีกล่ะ หรือเพื่อนพี่โซ่ไปด้วยเหรอ”
“มากกว่าเพื่อน”
“เมียเขาหรือไง โอ๊ย!” พูดจบยัยเนยก็ฟาดมือที่แขนฉันอย่างแรง
“ปากเสีย พี่โซ่ยังไม่มีเมียย่ะ”
เนยพูดด้วยสีหน้าเข่นเขี้ยว เหมือนจะอยากฟาดมือใส่ฉันอีก
“ก็ตกลงพี่โซ่มากับใครล่ะ ลีลาอยู่นั่นแหละ” ฉันพูดพร้อมกับคลำแขนที่ถูกเพื่อนตีเมื่อกี้
“แท๊นแท่น แท๊นแท่น บอกละนะ ละนะ...”
ทำหน้ากวนๆ ไม่บอกเสียที เพราะรู้ว่าฉันรอฟังอย่างใจจดใจจ่อ
“อือ ซะทีๆ รำคาญแล้วนะ”
“พี่ซันไง เป็นไงล่ะอึ้งไปเลยใช่มั้ย”
บอกเลยว่าชื่อของคนที่ยัยเนยเอ่ยบอกนั้น ฉันเป็นมากกว่าอึ้ง เรียกว่าช็อกเลยดีกว่า ก็ไหนว่าเขาเรียนหนังสืออยู่เมืองนอกไง อังกฤษไม่ใช่เหรอ แล้วมาโผล่ที่นี่ทำไม หรือที่โน่นอยู่ในช่วงปิดภาคเรียน
“ไงล่ะ พูดไม่ออกเลยสิท่า ฉันถ่ายรูปกับพี่เขาด้วยนะ เดี๋ยวให้ดู” ยัยเนยทำท่าจะหยิบโทรศัพท์จากกระเป๋าถือ
“ไม่ดูหรอก” ฉันรีบบอก เพราะไม่อยากเห็นหน้าเขา
“เฮ้ยได้ไง ฉันอุตส่าห์ได้ถ่ายรูปกับผู้ชายที่แบบ...โคตรหล่อเลยนะ นี่ฉันว่าจะส่งไปให้ยัยไหมกับยายเมย์ดูด้วย”
เนยเอ่ยเพื่อนสนิทที่อยู่กลุ่มเดียวกัน แต่ทั้งสองสอบติดมหาวิทยาลัยอีกแห่ง และทั้งสองก็กรี๊ดผู้ชายคนนั้นตั้งแต่เห็นรูปเขาในเฟซฯ พี่โซ่ไม่ต่างจากฉัน เพียงแต่ฉันไม่กล้ากรี๊ดดังเหมือนเพื่อนๆ เท่านั้นเอง ทุกคนก็เลยไม่รู้ว่าฉันแอบชอบเขามาก่อน
ใช่ เขาก็แค่คนที่ฉันเคยแอบกรี๊ดเท่านั้นเอง และเคยภาวนาไม่อยากเจอเขาอีก
“ไม่เป็นไรหรอก แกให้ยัยไหมกับยัยเมย์ดูเถอะ ตอนนี้ฉันไม่อยากดูคนหล่อที่ไหน เพราะตอนนี้ฉันหลงพี่แทยงคนเดียว” ฉันเอ่ยถึงนักร้องบอยแบรนด์เกาหลีที่ฉันชื่นชอบ
“เฮ้ย แกนี่นะดูสักหน่อยก็ไม่ได้ รู้ไหมพี่เขาหล่อกว่าเมื่อก่อนอีกนะ”
ฉันไม่ตอบอะไรเพื่อน อีกฝ่ายก็พูดขึ้นอีก
“แต่ช่างเถอะ สักวันแกคงได้เจอพี่เขาอยู่ดี”
“พูดแบบนี้หมายความว่า...”
“เออ พี่ซันเขาย้ายมาเรียนที่มอเดียวกับเรา บริหารอินเตอร์ปีสอง และดูเหมือนจะพักอยู่ที่เดียวกับเราเหมือนพี่โซ่เลยนะ”
ฉันถึงกับพูดไม่ออก ผู้ชายที่สาปส่งพร้อมกับภาวนาว่าอย่าได้เจออีกชั่วชีวิตนั้น นอกจากเขาจะเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยเดียวกับฉัน ยังมาพักที่คอนโดฯ เดียวกันอีกเหรอ
มันเรื่องบ้าอะไรเนี่ย!
:::::::::::::::::