Ep.6 You look like someone【1】
“ชอบเขามากเลยเหรอ รุ่นพี่หมอของเธอน่ะ” ครูซถามด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง
“ให้ฉันเดานะ คนแรกที่เธออยากจะช่วยก็คงเป็นพี่หมอนั่นสินะ” อีกฝ่ายลุกขึ้นจากตักและเอ่ยถามแบบแปลก ๆ
“ช่วย?” ฉันขมวดคิ้วถามไปอย่างไม่มั่นใจ
“ก็ไอ้หมอของเธอที่กำลังจะตกงานนั่นไง” เขาตอบก่อนจะลุกขึ้นยืนพร้อมทั้งสะพายกระเป๋าของฉัน แล้วยื่นมือส่งมาให้จับ
“ฮะ พี่หมอตี๋เนี่ยนะ ไม่ใช่สักหน่อย” ฉันรีบส่ายหน้าทันที เพราะมันคนละคนเว้ยยย
ทั้งยังไม่สนใจมือของครูซที่ยื่นมา แล้วลุกขึ้นยืนด้วยตัวเอง เนื่องจากอีกฝ่ายดูท่าทางเมา ๆ ไม่รู้จะช่วยพยุงหรือล้มทับกันแน่
“ออ... เธอชอบหัวหน้าหมอที่ดูเก๊ก ๆ นั่นน่ะเหรอ” พูดจบก็แบะปากนิด ๆ
“เขาชื่อพี่กันต์ต่างหาก และก็นิสัยดีเอามาก ๆ ด้วย” ฉันเถียงทันควัน
“ฉันไม่รู้จักชื่อพวกนั้นหรอก ขนาดชื่อเธอ… ฉันยังไม่รู้ด้วยซ้ำ... ยายจืดเอ๊ย” เจ้าตัวยักไหล่ตอบสั้น ๆ ก่อนจะเดินนำหน้าออกไปอย่างไม่ใส่ใจ
“นายอาจจะป่วยเป็นโรคความจำเสื่อมก็ได้นะ” ฉันได้แต่บ่นไล่ตามหลัง
“เปล่า เธอไม่เคยบอกชื่อฉันเลยต่างหาก” จู่ ๆ ฟุ่บบบ ครูซก็หันหลังมากะทันหันเพื่อตอบโต้กับฉัน
จึงทำให้หัวฉันโขกเข้ากับคางแหลม ๆ ของหมอนั่นทันที
สาเหตุก็มาจากความแตกต่างทางความสูงนี่แหละ
“โอ๊ย/โอ๊ย” ฉันรีบเอามือกุมหัวของตัวเองไว้ทันที ไม่รู้จะแตกรึเปล่าเลย
ครูซก็เช่นกัน
เราต่างคนต่างมองหน้ากันอย่างเจ็บแค้น
“หัวคนหรือค้อนอะ แข็งเป็นบ้า” เขาลูบคางแล้วบ่น ๆ ทำเหมือนกับว่าฉันเป็นคนผิดอย่างนั้นแหละ
“ก็หันกลับมาไม่ดูก่อนล่ะ พ่อคุณ” ฉันกลอกตามองบนไป
สุดท้ายเราก็จบลงด้วยการเดินทิ้งระยะห่าง โดยที่คนหนึ่งหัวโน อีกคนก็น่าจะคางช้ำ
“นายจะกลับเลยไหม” ฉันถามครูซในระหว่างที่เรากำลังจะเดินลงไปชั้นหนึ่งที่ยังคงเปิดเพลงดังกระหึ่มในคืนข้ามปี และทุกคนล้วน… เมากันไปหมดแล้ว แถมดูหนักกว่าตอนแรกที่เห็นซะอีก
ในขณะที่ฉันกำลังหมุนตัวกลับไปรอที่ห้องเดิม
“เดี๋ยวก่อน!!!” อีกฝ่ายก็หันมาขึ้นเสียงใส่จนดังสนั่น
“ทำไมอะ หรือนายจะกลับแล้ว” ฉันยืนงง ๆ อยู่หน้าห้องเดิมที่ครูซพามาส่ง
เพราะเอาจริง ๆ เราเพิ่งมาถึงแค่สองชั่วโมงกว่า ๆ เอง
“เธอต้องไปนั่งที่โต๊ะกับฉันนะ พอดีเพื่อนมันใช้ห้องนี้อยู่” เขาตอบเสียงเรียบนิ่งและกวักมือให้ฉันเดินตามไป
“เพื่อนนายทำงานข้ามปีเลยเหรอ” ฉันได้แต่บ่น ๆ ทว่าก็จำใจเดินตามครูซไปนั่งที่โต๊ะวีไอพีของเขา
ที่เต็มไปด้วยเหล้าราคาแพง ของกินเลิศรส และ… สาว ๆ สวย ๆ เต็มไปหมด พร้อมกับผู้ชายอีกสองคน
และทุกคนก็หันมามองฉันเป็นตาเดียว ราวกับตัวประหลาดที่สวมชุดเดรสสีครีมพร้อมกับเสื้อคลุมสีชมพูอ่อน ๆ และรองเท้าผ้าใบ ฉันว่ามันก็ไม่เห็นจะแปลกเลย
ครูซวางกระเป๋าของฉันลงข้างกายก่อนจะทิ้งตัวนั่งอย่างสบายใจ
“มานั่งนี่สิ จะยืนเด๋อ ๆ ทั้งคืนรึไง” หมอนั่นเรียกก่อนจะขยับแบ่งที่ให้เล็กน้อย
ฉันก็ค่อย ๆ ก้มและเดินเข้าไปนั่งกับเขาอย่างเกรงใจ เพราะต้องเดินข้ามขาของสาว ๆ อีกตั้งหลายคนที่ยื่นมากันท่าเอาไว้
เพื่อนผู้ชายคนหนึ่งในโต๊ะก็ชงเหล้าและส่งให้ฉันกับครูซทันที ใบหน้ายิ้ม ๆ ตาล่องลอยด้วยความมึนเมา
“หมดแก้วเลยนะ” เขาพูดก่อนจะยกดื่มก่อนใคร
“เอ่อ… ฉันไม่ขอกินนะคะ มันไม่ดีต่อตะ… (ตับกับสมอง)” ยังไม่ทันที่จะพูดจบ
ครูซก็บีบมือของฉันเอาไว้ทันที
“ยายนี่มาช่วยขับรถให้กูเอง ให้ดื่มไม่ได้ว่ะ” อีกฝ่ายหันไปตอบเพื่อน ก่อนจะจัดการดื่มทั้งแก้วเขาและฉัน
“ผมมอร์ฟินนะ เพื่อนไอ้ครูซ” แล้วคนตรงหน้าก็ยื่นมือมาเพื่อเช็กแฮนด์ด้วย
“แอล” และคนที่นั่งเงียบ ๆ จึงบอกชื่อตัวเองขึ้นเบา แต่เขาก็ส่งยิ้มจาง ๆ ให้
“มิรา… รันค่ะ” ฉันเลยตอบไป
“มิรารัน” แต่มีเสียงของใครบางคนทวนชื่อขึ้นเบา ๆ นั่นก็คือคนข้าง ๆ ฉันนี่แหละ
“อ้าวเฮ้ย พวกมึง!!” เสียงของใครอีกคนดังขึ้น ซึ่งเขาก็คงเป็นเพื่อนครูซนั่นแหละ
เจ้าตัวเดินกลับมาพร้อมกับสาวสวย ลำคอขึ้นรอยแดง ๆ เต็มไปหมด
ไม่รู้ว่าไปแพ้อะไรมา ด้วยความเป็นหมอในจิตวิญญาณก็อดไม่ได้ที่จะสังเกตผื่นแดงตรงคอของเขา ซึ่งอีกฝ่ายกำลังเดินมาพร้อมกับเสื้อผ้าที่หลุดลุ่ยและเหงื่อเต็มตัว
“เยXXข้ามปีเลยนะมึง เลวจริง ๆ” มอร์ฟินส่ายหน้าให้กับคนที่เพิ่งมาใหม่และทิ้งตัวลงนั่งข้าง ๆ พร้อมสาวสวย
“ก็แค่ปลดปล่อยข้ามปีเปล่าวะไอ้ฟิน” แล้วเขาก็รีบกระดกเหล้าดื่มอย่างกระหายน้ำ
“แน่ใจนะว่าห้องทำงานกูไม่พังพินาศไปแล้วอะ” เสียงมอร์ฟินบ่น ๆ ขึ้น
ก่อนจะเห็นรอยแดง ๆ บนคอเจ้าตัวได้ชัดขึ้น มันเหมือนเป็นรอยลิปสติกและกัดดูด นั่นคงไม่ใช่อาการแพ้แล้วผื่นขึ้นแน่ ๆ
ห้องทำงานงั้นเหรอ จู่ ๆ ฉันก็นึกขึ้นมาได้ว่าทำไมหมอนี่ถึงพาไปดาดฟ้าตอนเที่ยงคืน และยังไม่ให้กลับเข้าไปอีก
ทำให้ฉันหันไปมองครูซทันที ซึ่งเขาก็แค่แสยะยิ้มกลับมา
“เฮ้ยย เฮ้ยย” แต่จู่ ๆ คนที่มาใหม่ก็มองตรงมายังฉันแบบตาลุกวาว
“สาวน้อยหน้าซื่อคนนี้ใครอะ” แล้วเขาก็เดินผ่านทุก ๆ คนเพื่อมานั่งข้าง ๆ ฉันแบบแนบชิดติดตัว
ก่อนจะมองหน้าฉันในระยะประชิด จนทำให้ได้กลิ่นน้ำหอมและบุหรี่จาง ๆ จากตัวของเขา
“น่ารักจัง” อีกฝ่ายจ้องเข้ามาในดวงตาของฉัน แววตาคมกริบนั่นทำเอาแทบไปไม่เป็นเหมือนกัน
หน้าตาคมเข้มปนฝรั่งและร่างกายที่เต็มไปด้วยศิลปะน้ำหมึก
“มิรารันค่ะ” ฉันตอบไปแบบนิ่ง ๆ ด้วยใบหน้ามึน ๆ
“อยากรู้จักมากกว่านี้จัง ไปหาที่เงียบ ๆ คุยกันไหม” คนตรงหน้ากะพริบตาอย่างช้า ๆ และมองฉันด้วยสายตาที่... หวานเยิ้ม
ฉันก็รีบเพ่งเข้าไปในม่านตาของเขาอย่างสำรวจ เพราะคนที่มีอาการเมา โกหก หรือกำลังขาดสติ เราสามารถดูได้จากตรงนั้นจริง ๆ นะ…
“ม่านตาหดตัวแบบนี้ไม่ควรดื่มต่อแล้วนะคะ ปริมาณแอลกอฮอล์อาจจะสูงจนทำให้ช็อกได้ หัวใจจะเต้นเร็วผิดปกติ คืนนี้หยุดดื่มก่อนเถอะค่ะ” ฉันตอบไปอย่างเป็นห่วง
“ฮะ” จีซัสทำหน้างง ๆ แต่ก็ผงกหัวตาม
“และต้องกินน้ำเปล่าเยอะ ๆ นะคะ” พูดพลางเลื่อนขวดน้ำเปล่าไปให้
ที่เตือนเพราะแค่อยากช่วยให้โรงพยาบาลไม่ต้องรับเคสเมาแล้วช็อกอย่างผู้ชายคนนี้เพิ่มไปด้วย
ครืดดดด...
แต่คนข้าง ๆ ของฉันอีกฝั่งกลับดึงขวดนั้นคืนไปทันที ก่อนจะแกะอันใหม่ให้
“นั่นมันโซดานะ ไม่ใช่น้ำเปล่า” เจ้าตัวพูดเบา ๆ เมื่อเห็นฉันมองอย่างงง ๆ
ฟุ่บบบบ แล้วฝ่ามือของคนจากด้านข้างก็เอื้อมมาโอบเอวพลางดึงให้โน้มไปทางเขา
“เสียใจด้วยนะ ไอ้จีซัส... กลยุทธ์อะไรก็ทำอะไรยายนี่ไม่ได้หรอก!!” เสียงของครูซพูดอย่างขำ ๆ
แต่นั่นทำเอาผู้ชายมาดเท่คนนั้นถึงกลับหน้าเสียไป ก่อนจะยักไหล่ขึ้นอย่างเซ็ง ๆ
“ก็เขาเป็นเด็กมึงหนิ เลยไม่สนใจคนเท่แบบกู” แล้วจีซัสจึงกวักมือเรียกสาวสวยคนเดิมที่เดินมาด้วยให้กลับมานั่งข้าง ๆ ก่อนจะโอบเอาไว้แนบกาย
แต่ประโยคดังกล่าวทำเอาฉันกับครูซหันมองหน้ากันแบบแปลก ๆ
“ต่ำกว่า 18 ก็นอนคุกนะ ไอ้ครูซ” แอลที่เงียบมาตลอดก็เอ่ยปากขึ้นเหมือนเตือนสติ
“ฉันไม่ใช่นะ/ไม่ใช่เด็กกูเว้ย” เราสองคนตอบไปพร้อมกันทันทีโดยไม่ได้นัดหมาย
“ก็บอกแล้วไงว่าแค่วานยายจืดนี่มาขับรถให้ และยายนี่อายุเกิน 18 แล้ว” ครูซเถียงต่อ
“อ้อ วานให้ขับรถมาส่ง” เสียงของมอร์ฟินพูดขึ้นอย่างยิ้ม ๆ
แล้วพวกเขาก็คุยโน่นคุยนี่ต่อกันอย่างสนุกสนานตามภาษาพวกผู้ชาย ทั้งเรื่องแข่งรถ ธุรกิจของแต่ละคน และ... เรื่องบนเตียง สงสัยจะออกรสจนลืมไปสนิทว่ามีฉันนั่งด้วย
ส่วนผู้หญิงรอบข้างก็พยายามจะเข้ามาร่วมวงสนทนาอย่างเต็มที่ ทั้งนั่งตักคลอเคลียและดูดดื่ม
แต่เชื่อเถอะว่า ฉันสามารถนั่งอยู่ได้โดยการประมวลผลร่างกายของแต่ละคนฆ่าเวลา
นับว่าเป็นกลุ่มสิ่งมีชีวิตที่แปลกประหลาดกว่าที่เคยเจอ ทุกคนไม่รักตัวเอง ไม่รักษาสุขภาพ ทั้งยังอยู่ในสถานที่ที่มีเสียงดังเกินกว่ากำหนดอีก
ฉันทำได้แค่วิจารณ์แต่ละคนเพียงในใจเท่านั้น…
“ไอ้บลูมันไม่มาจริง ๆ หรอวะคืนนี้ กูอุตส่าห์กลับมาไทยทั้งที” เสียงของจีซัสดูนอยด์ ๆ เมื่อพูดถึงชื่อของใครอีกคน
ทุกคนพลันเงียบไปทันที
“ตั้งแต่กูกลับจากรัสเซียมาก็ไม่เห็นเจอมันเลยนะ หรือพวกมึงไม่ได้นัดมันคืนนี้” เขาหันไปถามแอล ครูซ และมาหยุดที่มอร์ฟิน
“ไอ้แอลชวนแล้ว แต่มันไม่ตอบอะ จริง ๆ ก็พึ่งจะมีเรื่องกันด้วย” มอร์ฟินตอบพลางหลบสายตา
“มีเรื่องไรกันวะ กูไม่เห็นรู้เลย” จีซัสยังคงเอ่ยถามต่ออย่างสงสัย
“เรื่องนี้ไม่ขอออกความเห็นนะ เพราะกูว่าผิดทั้งคู่” แอลส่ายหน้าและไม่พูดอะไรต่อ
“ไว้รอพวกมึงใจเย็นกว่านี้ค่อยนัดเคลียร์อีกทีแล้วกัน” ครูซพูดเสริมไป
“กูแค่อยากช่วยผู้หญิงที่กูรัก พอเสนอเงินใช้คืนให้ ไอ้บลูมันก็ไม่เอา ไม่รู้มันอยากได้เหี้ยอะไร” มอร์ฟินกำหมัดแน่นและตอบเสียงสั่น ๆ
“มึงยังไม่รู้เหรอ ว่ามันอยากได้อะไร” คนข้าง ๆ ฉันกัดริมฝีปากพร้อมพูดขึ้นเบา ๆ
“นี่ ๆ พวกมึงทะเลาะกันเพราะแค่ผู้หญิงคนเดียวเนี่ยนะ ...เอาจริง ๆ หาใหม่ได้อีกเป็นร้อยเปล่าวะ” เสียงของจีซัสพูดเหมือนประหลาดใจ
“งั้นในบรรดาผู้หญิงนับร้อยของมึง จะยอมยกต้องมนต์ให้ฉันกูไหมล่ะ” มอร์ฟินถามกลับไปเสียงแข็ง
จีซัสนิ่งไปทันทีเมื่อพูดถึงชื่อของใครอีกคน ...ก่อนที่เขาจะถอนหายใจและเริ่มจุดบุหรี่สูบอย่างหน้าตาเฉย มอร์ฟินเองก็ยื่นบุหรี่มาให้เพื่อนจุดด้วยคน
ทุกคนเริ่มเงียบและตึงเครียดกันมากขึ้น... แต่
พวกเขาจะรู้ไหมว่าควันบุหรี่มือสองเนี่ย มันทำร้ายคนรอบข้างได้เหมือนกันนะ
“ไปนั่งรอในรถฉัน สตาร์ตรถเปิดแอร์และล็อกให้เรียบร้อย ห้ามออกไปไหนคนเดียว” ครูซหันมาบอกให้ฉันออกไปจากวงควันบุหรี่นี้ หรือแค่ไม่อยากให้ได้ยินเรื่องที่พวกเขาจะพูดกันก็ไม่แน่ใจ
“อ้อ อื้ม เค ๆ”
ฉันก็พยักหน้าและเดินออกมาทันที ในขณะที่ทุก ๆ คนดูเคร่งเครียด
จากนั้นอีกฝ่ายจึงชี้ไปที่บอดี้การ์ดคนหนึ่งเพื่อให้เดินตามมาส่ง ในขณะที่ดวงตาก็ยังคงมองตามหลังฉันมา...
@บนรถ
นาฬิกาข้อมือที่บอกเวลาเกือบตีสามแล้ว แต่ฉันก็ไม่ลืมที่จะแจ้งข่าวดีกับยัยวีโอเลตไปก่อนว่า ตอนนี้สามารถช่วยพูดกับครูซเรื่องของพี่พยาบาลได้เรียบร้อย
และฉันคิดว่าการจะช่วยพูดเรื่องของเพื่อนคงไม่ยากเกินไป
#สายวีโอเลต