บท
ตั้งค่า

Ep.5 We are different!!!

“งั้นถือเป็นค่าเสียหายที่เธอจูบปากฉัน 20 ทีตอนเช้าก็แล้วกัน” ครูซพูดใส่หน้าฉันพลางยิ้มเจ้าเล่ห์ ๆ

“นั่นไม่ได้เรียกว่าการจูบ และตามหลักการของแพทย์ ฉันแค่เป่าลมหายใจเข้าไปเพื่อช่วยชีวิตนาย ตอนที่หายใจไม่ออก” ฉันเถียงไปตามจริงอย่างไม่รู้สึกอะไรทั้งนั้น

“ปากประกบปากนั่นแหละคือการจูบ และเธอจูบฉันตั้ง 20 ครั้งแน่ะ ได้มากกว่าผู้หญิงคนอื่น ๆ ซะอีก” หมอนั่นยังคงแถต่อไป กดจะจิ้มหน้าจอจีพีเอสพร้อมชี้ให้ฉันรู้ถึงจุดหมายปลายทางที่ต้องขับไปส่ง

“ฉันไม่ได้จูบ เลิก… พร่ำเพ้อเถอะน่า” ฉันแบะปากใส่ด้วยความรำคาญแต่ก็ต้องอดทนต่อไป

พอฉันยังคงนั่งนิ่ง ๆ อีกฝ่ายก็กวนด้วยการลูบริมปากตัวเองและใช้สายตาเจ้าเล่ห์ ๆ มองมา

“อื้ม สรุปไปผับ oxo นะ พอฉันส่งนายเสร็จขอกลับเลยแล้วกัน” ฉันเอ่ยอย่างไม่มองหน้าเขาก่อนจะขับรถคันหรูออกจากโรงพยาบาลด้วยความระมัดระวัง

“เอาละ เรื่องที่ฉันจะคุยกับนายก็คือ…” ในขณะที่กำลังตั้งใจจะพูด

หมับบบ มือของคนข้าง ๆ ก็บีบแก้มของฉันเบา ๆ แล้วดึงมือกลับไป

“นี่นาย!!” ฉันเลยหันไปอย่างตั้งใจจะต่อว่า

“เธอแต่งหน้าไม่เป็นเหรอ หน้าใสกิ๊งไม่มีคราบแป้งเหมือนผู้หญิงคนอื่น ๆ เลย” ไม่พูดเปล่า เขาค่อย ๆเลื่อนหน้ามาใกล้ ๆ อีกด้วย

“นี่ครูซ ถ้านายไม่ตั้งใจฟังฉันจะขับรถชนเสาไฟข้างทางแล้วนะ”ฉันขู่เจ้าตัวไปเสียงแข็ง ๆ

“ก็ได้นะ ฉันอยากได้คันใหม่อยู่พอดี แต่ยังไม่มีเหตุผลจะซื้อ” อีกฝ่ายตอบอย่างกวน ๆ

เอี๊ยยดดดด ฉันเบรกรถจอดติดไฟอย่างตั้งใจให้หัวคนบ้า ๆ แบบครูซทิ่มกระจก แต่เขากลับไหวตัวทัน

“อะ ๆ อยากพูดอะไรก็ว่ามา” สุดท้ายจึงกอดอกรับฟังสักที หลังจากที่ฉันประสาทแทบกิน

“คือเรื่องเมื่อเช้านี้น่ะ” ฉันพยายามอธิบายเรื่องที่เกิดแบบแอบเกร็ง

“นาย เอ๊ย… คุณไม่ไล่พวกเขาออกได้ไหม ฉันขอร้องละ” ก่อนหันไปพูดเสียงอ่อน ๆ พลางตีหน้าตาอ้อน ๆ เท่าที่จะทำได้

แต่ครูซกลับนิ่งไปและไม่พูดอะไรเลย จนฉันเองเริ่มต่อไม่ถูก

“ได้โปรดนะ ครูซ… พลีสสสส” ฉันยกมือวิงวอนแบบสุดความสามารถ

ทว่าอีกฝ่ายก็ยังคงมองฉันเงียบ ๆ

“ไฟเขียวแล้ว” จู่ ๆ เขาก็พูดขึ้นและหลบสายตาด้วยท่าทีแปลก ๆ

“ตอบก่อนสิ” ฉันพยายามถามซ้ำ

“เออ ๆ ในฐานะที่เธอช่วยชีวิตของฉัน จะให้เลือกช่วยคนผิดแต่ได้แค่คนเดียวเท่านั้น” ครูซเอ่ยก่อนจะชี้ไฟเขียวย้ำอีกครั้ง จนฉันต้องรีบออกรถไป

แต่ฉันต้องการช่วยทั้งสามคนเลยนี่นา แล้วควรทำอย่างไงดี ยายวีโอก็เพื่อนสนิท และต่อให้ไม่ชอบพี่หมอตี๋ แต่ถ้าปล่อยให้เขาหมดสิ้นทุกอย่างไปตรงหน้า ทั้งที่เราก็คนอาชีพเดียวกัน ฉันคงทำไม่ลง …แต่ที่ต้องช่วยแน่ ๆ คือพี่พยาบาลยุวพร

จากนั้นจึงขับรถต่อไปด้วยใจพะวงและกังวลเรื่องนี้อย่างคิดไม่ตก

“จริง ๆ ฉันถือว่าตัวเองตัดสินใจแล้วนะ การที่เราพูดอะไรออกไปก็ไม่ควรจะกลับคำ จริงไหม” ครูซตอบหน้านิ่ง ๆ ถึงแม้เขาดูเป็นคนกะล่อน ๆ และนิสัยแปลก ๆ แต่ว่าหมอนี่ก็ยังถือว่าเป็นคนมีหลักการผสมความเป็นผู้นำอยู่ไม่น้อย

“แต่ถ้านายได้รับรู้ชีวิตของแต่ละคน บางทีอาจจะเปลี่ยนใจนะ” ฉันพยายามทำตาปริบ ๆ เรียกคะแนนความสงสาร

“เลิกทำหน้าและเสียงแบบนั้นสักทีดิ๊ ฉัน… หดหู่” คนฟังส่ายหัวและทำหน้าเอือม ๆ ใส่

“คนแรกที่ฉันจะเลือกช่วยคือพยาบาลยุวพร เพราะเธอเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว ลูกยังประถมอยู่เลย นายคงไม่อยากเห็นแม่ถูกไล่ออกจากงาน แล้วลูกก็ต้องออกจากโรงเรียนเหมือนกันใช่ไหม” ฉันพูดด้วยโทนเสียงโน้มน้าวใจคนเชิงจิตวิทยาที่มักจะใช้กล่อมพี่แพริส พี่สาวจอมเอาแต่ใจของตนเอง

“อื้ม ๆ โอเค ๆ ไม่ไล่พยาบาลคนนั้นออก” เขาก็ผงกศีรษะทันที และทำหน้าเหมือนกำลังคิดตาม

“ส่วนเพื่อนของฉันวีโอเลต จริง ๆ เราเดินไปเอาประวัติของนายมาด้วยกัน แต่เธอลงชื่อไปเพียงคนเดียว… ยายนั่นมีความฝันอยากเป็นหมอและทำงานที่โรงพยาบาลชื่อดัง ซึ่งนั่นก็คือที่นี่ …ถ้าไล่ออกจากการฝึกงาน ประวัติคงเสีย นายไม่ไล่ออกได้ไหม” ฉันถามครูซซ้ำอีกครั้งก่อนจะขับรถเข้ามาจอดในผับชื่อดังแห่งหนึ่ง โดยมีคนโบกรถเรียกทันทีที่ฉันเลี้ยวเข้ามาถึง

“บอกว่าเลือกได้แค่คนเดียวไง” อีกฝ่ายตอบสั้น ๆ ก่อนจะกดเปิดกระจก

“สวัสดีครับคุณครูซ” บอดี้การ์ดหน้าผับวิ่งเข้ามายกมือไหว้ครูซทันทีอย่างคุ้นเคย

“พวกเพื่อนฉันมาครบหมดรึยัง” เขาถามกลับไปพลางหยิบแบงก์พันให้คนตรงหน้า

“มาครบแล้วครับ เดี๋ยวผมเอารถไปจอดข้างคุณแอลให้นะครับ” อีกฝ่ายตอบยิ้ม ๆ

จากนั้นครูซก็กระชากสายคาดเบลต์ออก ก่อนจะหันมาทางฉัน

“ลงได้แล้ว เดี๋ยวให้เด็กเอารถไปเก็บให้” เขาพูดพร้อมก้าวลงจากรถทันที

ซึ่งฉันเองยังงง ๆ แต่ก็ลงรถตามไป และไม่ลืมที่จะหยิบกระเป๋าพร้อมหนังสือที่เตรียมมา

“นั่นเธอทำอะไรน่ะ” ครูซขมวดคิ้วและยืนกอดอกมองอย่างไม่เข้าใจ

“ฉันมาส่งนายถึงที่แล้ว ก็ขอแยกตัวกลับเลยไง” พูดจบจึงกอดหนังสือและสะพายกระเป๋าเป้ไว้แนบกาย

“แล้วใครจะพาฉันกลับล่ะ” หมอนั่นชี้แขนของตัวเองที่ยังดามเฝือกอ่อนเอาไว้

“แท็กซี่ ไม่ก็ you drink i drive มีอีกตั้งหลายแอป โหลดเอาสิ” ฉันเอาหนังสือยัดใส่กระเป๋าอย่างลวก ๆ ก่อนจะตั้งท่าเดินไปเรียกรถ แต่…

หมับ ครูซคว้าแขนของฉันเอาไว้ก่อน

“ฉันให้สิทธิ์ช่วยอีกหนึ่งคน ถ้าคืนนี้เธอยอมอยู่ด้วย” เสียงทุ้มพูดขึ้นอย่างเจ้าเล่ห์ ๆ

“แต่ถ้าจะล้มเลิกแล้วก็เชิญนะ… โน่นไง แท็กซี่กำลังขับมาพอดี” เขามองไปยังรถที่เปิดไฟว่างเอาไว้ ก่อนจะปล่อยแขนของฉันและหันหลังเดินกลับเข้าผับ

“เดี๋ยวสิ... รอด้วย” สุดท้ายจึงตัดสินใจรีบเดินตามครูซไปติด ๆ

เพราะเรื่องเที่ยวผับบาร์อะไรแบบนี้ ฉันไม่ค่อยสันทัดเท่าไหร่

เรียกได้ว่าไม่เคยมาเลยก็ดีกว่า ยกเว้นตอนรับพี่แพรกลับจากเที่ยวกลางคืน

“ฉันไปรอร้านกาแฟแถวนี้ได้ไหม” ก่อนเดินไปใกล้ ๆ เพื่อถามครูซ

“ร้านกาแฟที่ไหนจะเปิดถึง 5 ทุ่ม” เขาก้มหน้าดูนาฬิกาและตอบกลับมา

“มีตั้งหลายที่ที่เปิด 24 ชั่วโมง แถมมีโต๊ะอ่านหนังสือด้วย”

“งั้นเหรอ ฉันไม่เคยเข้าร้านกาแฟแบบนั้น คงเงียบและน่าเบื่อตายชัก” หมอนี่ยักไหล่ขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะเปิดประตูเข้าผับ

“ฉันก็ไม่เคยมาที่แบบนี้เหมือนกันแหละน่า เปิดเพลงดังขนาดนี้ คนข้างในหูไม่หนวกไปแล้วเหรอ” ฉันมองพลางถอนหายใจ

ต่างจากครูซที่ยิ้มหน้าระรื่นเดินเข้าไปในผับกึ่งบาร์อย่างระริกระรี้

“เพลงดีว่ะ/เพลงฟังแล้วปวดหัวมาก” ฉันกับครูซที่เดินเข้ามาด้านในต่างพูดขึ้นพร้อมกัน แต่คนละความหมาย

“ไฟก็เดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง ดูแวบ ๆ แล้วมึนชะมัด” ก่อนบ่นต่อด้วยความรู้สึกแสบตานิด ๆ เพราะแสงเลเซอรที่ยิงไปมานั่น

“ไอ้ครูซ ทางนี้ ๆ” เสียงผู้ชายอีกคนตะโกนเรียกเจ้าของชื่อที่เดินมากับฉัน

ซึ่งจุดที่ว่าคือโซนวีไอพีหน้าเวที ติดลำโพงและแสงสีกระหึ่มไปอีก…

แต่ฉันนี่สิ ทั้งเวียนหัวทั้งแสบตา เจ็บหูไปหมด

“เฮ้ออออ” ครูซถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะหันไปตอบเพื่อนด้วยภาษามือมั่ว ๆ ของเขา

“ตามมา” แล้วเอื้อมมาจับที่มือฉันเพื่อจับจูงให้เดินตามเขาไปยังชั้นสอง จากนั้นจึงเปิดประตูให้เข้าด้านในห้องที่ไม่มีเสียงใด ๆ รบกวน เพราะมันคือห้องทำงานของใครสักคน

“ฉันว่าฉันไปรอในรถดีกว่าอะ” ฉันมองไปรอบ ๆ อย่างเกร็ง ๆ

“ไม่ต้อง นั่งรอในนี้แหละปลอดภัยสุด ผับเพื่อนสนิทฉันเอง” เขาตอบแค่นั้น

“และห้องนี้เงียบที่สุด มีโต๊ะ มีเก้าอี้ อยากจะนั่งอ่านหนังสือหรือกายกรรมอะไรก็เชิญนะยายหมอจืด” เสียงทุ้มพูดประชด ๆ

“อ้อ… อยากกินอะไรก็โทรไปสั่งเอาเองนะ แล้วบอกว่าลงบิลชื่อฉัน” เอ่ยจบก็เร่งเดินออกไปจากห้อง…

ถึงคืนนี้จะเป็นคืนข้ามปี แต่มันก็คือวันธรรมดา ๆ นั่นแหละ ฉันนั่งเปิดหนังสืออ่านต่อตามหน้าที่คั่นเอาไว้

“ถ้าไม่ได้หนังสือเล่มนี้ ป่านนี้หมอนั่นคงไม่ได้มานั่งดื่มเหล้าฉลองปีใหม่แบบนี้แน่” ก่อนแอบยิ้มเมื่อนึกถึงความแตกต่างระหว่างเราที่นับว่าสุดขั้วจริง ๆ

แต่พอผ่านไปไม่นาน…

แอ๊ดดด ประตูห้องก็เปิดกว้างทันที

“ยายหมอจืดชืด” ครูซเดินเข้ามาอย่างเซ ๆ ด้วยความเมา

“นายจะกลับแล้วเหรอ” ฉันปิดหนังสือและเตรียมเก็บของ

“เปล่า” เขาส่ายหน้า

“กลิ่นเหล้าแรงมาก กินหรืออาบมาเนี่ย” ว่าแล้วจึงทำหน้ายี้ใส่ครูซไป

“ในผับมันอุดอู้จริง ๆ นั่นแหละ ไปนั่งเล่นดาดฟ้ากัน” อีกฝ่ายยื่นมือส่งมาทางฉัน

แต่จริง ๆ ฉันเองก็เริ่มเบื่อห้องสี่เหลี่ยมที่เงียบสงัดนี้แล้วเหมือนกันนะ

“ก็ได้” จากนั้นจึงหยิบกระเป๋าเป้ขึ้นมา แต่ครูซกระชากไปสะพายให้แทน

“เร็ว ๆ เดี๋ยวไม่ทัน” เขาพูดแค่นั้นก่อนจะจับข้อมือของฉันให้เดินกึ่งวิ่งตามไป

ตึกตัก ตึกตัก ตึกตักกก พวกเราวิ่งขึ้นบันไดชั้นลอยจนถึงดาดฟ้าของอาคาร ที่ข้างล่างเป็นผับใจกลางเมือง

ครูซดึงฉันมาหยุดยืนริมขอบก่อนที่เขาจะทิ้งตัวนั่งหย่อนขาลงไปอย่างไม่รู้สึกกลัวอะไร

“ระวัง ๆ หน่อย” กลายเป็นที่ฉันแอบกลัวแทนหมอนั่น

และก็ได้แค่นั่งห่างจากขอบนั้นมาระยะหนึ่งอย่างกลัว ๆ แม้ตึกนี้ไม่สูงมาก แต่ถ้าตกไปก็ตายเหมือนกัน ไหนจะรถที่สัญจรไปมาตลอดคืนของเมืองกรุงเทพที่ไม่มีวันหลับใหลนี่อีก

“10 วินาทีสุดท้าย” ครูซชี้นาฬิกาเรือนหรูของตนเอง แล้วเลื่อนนิ้วไปบนท้องฟ้าที่มีแสงส่องขึ้นจากตึกหงส์หยกซึ่งจัดเตรียมงานไว้อย่างอลังการ

……………9…………

……………8…………

……………7…………

……………6…………

……………5…………

…………...4…………

……………3…………

……………2…………

……………1…………

ปุบปับ ปับ ๆๆๆๆๆๆๆ เสียงพลุหลากสีสันหลายรูปแบบถูกจุดขึ้นฟ้าอย่างสวยงาม

จนฉันมองมันโดยไม่อาจละสายตาได้เลยจริง ๆ

“Happy new year” ครูซมองที่พลุก่อนจะหันมาพูดกับฉัน

“อื้ม แฮปปี้นิวเยียร์” ฉันก็ยักคิ้วตอบรับไป

แต่จู่ ๆ อีกฝ่ายกลับขยับตัวเข้ามาใกล้

“ไม่ไหวแล้ว หัวฉันมันหนักมาก ๆ” เขาทุบหัวตัวเองอยู่สักพัก

ก่อนจะทิ้งศีรษะหนัก ๆ ลงกับตักของฉันและหลับไปเสียดื้อ ๆ

“นี่มันปีใหม่แท้ ๆ เริ่มต้นด้วยการดื่มอบายมุขเนี่ยนะ ไม่ดีต่อสุขภาพและศีลธรรมซะเลย” ฉันได้แต่บ่น ๆ ใส่ร่างที่ไร้สติของผู้ชายหน้าหล่อแต่นิสัยแปลก ๆ คนนี้ ก่อนจะจัดแจงท่านอนให้เขาหลับได้สบายมากขึ้น และปัดเอาผมที่ปรกใบหน้าออกให้

ก่อนจะเริ่มตอบกลับข้อความสวัสดีปีใหม่จากทั้งพี่แพร พ่อแม่ และพี่เขยอย่างพี่ไคล์ที่ส่งมาอวยพรฉันมากมาย

แต่กลับมีข้อความของใครบางคนที่ทำเอาหัวใจฉันมันเต้นแรงขึ้น

P'Kan

Happy new year 2020 นะครับน้องมิรารัน

หวังว่าปีนี้จะเป็นปีที่ดีของเรานะครับ

ปีที่ดีของเรา ฉันแอบนึกตามคำพูดนั้น แต่ก็ยังคิดไม่ตกว่าเราเนี่ย คือแค่ฉัน หรือหมายถึงฉันกับเขากันแน่

พี่กันต์รู้ตัวไหมว่าฉันกำลังหวั่นไหวเหมือนตอนนั้น เพราะตั้งแต่ที่เราสองคนเริ่มคุยกัน ฉันก็ไม่เคยชอบใครได้อีกเลย

Message

To: P'Kan

HNY 2020 naka P'Kan

“มิรายังรู้สึกเหมือนเดิม…” ฉันพิมพ์ไปและก็ลบ

“มิรายังชอบพี่เหมือนเดิม” และก็ลบทิ้ง…

“พี่รู้สึกยังไงเหรอคะ”…ลบทิ้ง

Send

Message

To: P'Kan

HNY 2020 naka P'Kan

ทุกอย่างมันเหมือนไม่มีอะไร… เพียงแต่

“ถ้าชอบ ทำไมไม่บอกเขาไปล่ะว่ารู้สึกยังไง” ครูซเอ่ยถามหลังจากที่ฉันกดส่งข้อความไปเรียบร้อย

“นี่นายหลับไปแล้วไม่ใช่เหรอ” ฉันตกใจเป็นร้อยเท่าพันเท่า ไม่รู้ว่าเขาตื่นมาตั้งแต่ตอนไหน

“แค่ปวดหัวแฮงค์ พักสายตา ไม่ได้หลับ และเธอก็นั่งพิมพ์ข้อความตรงหน้าเนี่ย โทรศัพท์เธอน่ะมันจะกระแทกสันจมูกของฉันอยู่แล้ว ถ้าไม่เห็นก็ตาบอดละมั้งมั่ง” เสียงทุ้มพูดประชด ๆ ก่อนจะเริ่มบิดตัวไปมาและลุกขึ้น

“ชอบเขามากเลยเหรอ รุ่นพี่หมอของเธอน่ะ”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel