ล่า(ม)พันธะ บทที่ 5 : (อดีต) การนัดพบของกลุ่มคน
“ชิเอล”
ต้าหลินเรียกชื่อพร้อมเดินเข้ามาหยุดยืนตรงหน้า คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันและใช้สายตามองฉันอย่างจับผิด เจอใครไม่เจอดันมาเจอน้องสาวเขาซะงั้น แต่ฉันไม่ได้ทำอะไรผิดนี่นาแม้ว่าต้าหลินจะเป็นคนที่ขี้สงสัยและจับผิดเก่งมากซึ่งเรื่องระหว่างเรามันไม่มีอะไรจริง ๆ
“ไง” มือเล็กยกขึ้นโบกมาทักทายเพื่อน
“เห็นนะว่าลงมาจากรถเฮีย” เข้าประเด็นเลยไม่ทิ้งช่วงให้เสียเวลานาน สมกับเป็นต้าหลินจริง ๆ เลยนะ
“บังเอิญเฮียเจอฉันกำลังเดินอยู่ริมถนนก็เลยชวนให้ขึ้นรถมาน่ะ”
“อืม ~” ต้าหลินหรี่ตามองมา ใบหน้าสวยพยักหงึก ๆ อย่างเข้าใจในสิ่งที่ฉันพูดแต่จะเชื่อมั้ยนั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง
“พูดเรื่องจริง ก็เฮียเขามีเรียนเช้าบังเอิญเจอและฉันก็เป็นเพื่อนกับต้าหลินเลยรับขึ้นรถมาส่งนี่ไง นั่งรถมาไม่ถึงสิบนาทีเลยด้วยนะ” ฉันพยายามอธิบายต่อให้เพื่อนเข้าใจ ซึ่งต้าหลินนั้นตั้งใจฟังและพยักหน้าอยู่แบบนั้น
สรุปว่าเข้าใจมั้ยเนี่ย!
“อืม ~” เธอส่งเสียงในลำคอ ยกมือขึ้นเกาคางอย่างใช้ความคิด
“เอาแต่อืม ๆ มาตั้งแต่เมื่อกี้แล้วนะ ไม่เชื่อหรือไง” สิ้นเสียงฉันก็เริ่มก้าวเท้าเดินไปตามทางเพื่อไปห้องเรียน
“เชื่อชิเอลแต่ไม่ค่อยอยากจะเชื่อเฮียลู่เท่าไหร่ คนนั้นเขาเคยมาเรียนเช้าซะที่ไหนเป็นแบบนี้มาตั้งแต่ปีหนึ่งยันปีสี่ มามั่งไม่มามั่งมีใครทำอะไรพี่ฉันได้ด้วยเหรอ? ก็ไม่มีแล้วจู่ ๆ มาเรียนเช้า ป๋าต้องไม่เชื่อแน่ถ้าฉันกลับไปเล่าให้ฟัง” ต้าหลินตอบกลับแล้วเดินตามมาไม่ห่าง ดูเป็นเรื่องมหัศจรรย์ใจมากเลยแฮะ
เราสองคนเดินเคียงข้างกันตรงไปยังห้องเรียนและแน่นอนว่าตลอดทางมีสายตาของนักศึกษาร่วมมหา’ลัยจ้องมา ปกติอยู่กับต้าหลินก็โดนหมั่นไส้จะแย่ ตอนนี้มีเรื่องเฮียลู่เข้ามาร่วมด้วยเพิ่มอีกหนึ่ง
แต่ช่างเถอะ...อย่ามายุ่งกับฉันก็พอ
“แสดงว่าเฮียเขาต้องเก่งมาก คะแนนสูงอันดับต้น ๆ ของชั้นปีด้วยใช่มั้ย” เรื่องนี้พอได้ยินเข้าหูมาบ้างจากคนในมหาลัยที่เขาพูดกัน แม้ว่าจะตัวจะไม่โผล่มาให้เห็นได้ง่าย ๆ แต่เป็นที่สนใจของผู้หญิงเสมอ ฉันไม่แปลกใจเลยถ้าเขาจะได้รับความสนใจแม้แต่ต้าหลินยังมีคนพยายามเข้ามาหาไม่หยุด
“เฮียเก่งมาก เก่งเรื่องงานบริหารและเริ่มเข้าดูงานของตระกูลตั้งแต่อายุยังไม่ถึงสิบแปด”
“เก่งจัง”
“เฮียลู่ถูกวางตัวให้คุมงานบริหารทั้งหมดเอาไว้แล้วน่ะ ถ้าหัวบริหารงานและการต่อรองต้องให้เขาเลย สนใจแค่ผลกำไร ประโยชน์สูงสุดของตระกูลเท่านั้น” ต้าหลินเล่าเรื่องของพี่ชายด้วยน้ำเสียงปกติ
“ว้าว...” ฉันพอจะรู้จักคนประเภทนี้อยู่นะ คนที่สนใจผลประโยชน์และกำไรอย่างเดียว...ลาเดล
“แต่เพราะเป็นคนแบบนี้เลยดูไม่รักใคร ผู้หญิงที่เข้ามาก็จบความสัมพันธ์ในหนึ่งคืนไม่เว้นแม้แต่พวกทายาทตระกูลใหญ่ต่าง ๆ คิดว่าจะสนใจพวกเธอเพื่อธุรกิจซะอีกแต่ก็ไม่ใช่ ไม่ถูกใจล่ะมั้ง” ดูไม่รักใครงั้นเหรอ...
“อือ” ฉันพยักหน้าเข้าใจตามสิ่งที่ต้าหลินพูด แต่แล้วก็ต้องหยุดเดินเพราะเพื่อนตัวเองหยุดนิ่งอยู่กับที่
จ้องมอง...
ดวงตาสีฟ้าหันไปสบตาเพื่อนตัวเองที่เอาแต่มองหน้าฉันเหมือนกัน
“อะไร?” ฉันเอียงคอมองและถามต้าหลินด้วยความสงสัย เกิดข้องใจเรื่องอะไรขึ้นมาอีกเนี่ย
“เปล่า วันนี้ฉันมีเรียนแค่คลาสเดียวเลยว่าจะกลับเลย ชิเอลมีเรียนต่อใช่มั้ย” ต้าหลินไม่พูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมา เธอเปลี่ยนเรื่องอย่างหน้าตาเฉยแล้วเริ่มก้าวเท้าเดินตรงไปข้างหน้าอีกครั้งทำให้ฉันต้องเดินตาม แม้จะติดใจเรื่องที่เธอไม่พูดแต่เลือกที่จะข้ามมันไปไม่ถามต่อให้มากความ
“ใช่ ต้าหลินกลับไปเถอะเดี๋ยวพรุ่งนี้เราก็เจอกันอยู่ดี”
“ขอกลับไปนอนต่อก่อนนะ เมื่อคืนดูซีรี่ส์จนดึกเลย หาว ~” ต้าหลินยกมือขึ้นปิดปากหาวดูท่าจะง่วงจริงแฮะ
เย็นนี้ฉันต้องเข้าไปที่ไหนหรือเปล่านะ...ไปหาแม่ดีกว่า
เวลา 19.45 น.
ทางเดินไปยังห้องชมรมหลังมหา’ลัย
ตึก ตึก ตึก
เสียงฝีเท้าดังขึ้นตามจังหวะก้าวเดิน บรรยากาศรอบตัวมีเพียงความเงียบและไร้ซึ่งผู้คน มันไม่แปลกเพราะเวลาแบบนี้ไม่ค่อยมีใครอยู่กันแล้ว มือเล็กถือกระดาษโน้ตใบเล็กติดตัวไปด้วย ในนั้นเป็นข้อความว่า 花痴 (ฮวาชรือ ‘บ้าผู้ชาย’) กับ 逼烊 (ปีหยัง ‘คันกี’) ช่างเป็นการเชื้อเชิญให้มาหาที่ได้ผลดีเยี่ยมจริง ๆ
กริ้ก!
ประตูห้องชมรมเปิดออกทำให้เห็นกลุ่มคนที่มารออยู่ก่อนแล้ว นับจากสายตาอย่างไม่ใส่ใจในห้องมีอยู่ประมาณ 8 คน ผู้หญิง 5 คน ผู้ชาย 3 คน แต่ฉันไม่ได้ให้ความสนใจพวกนั้นสักเท่าไหร่ สายตามองเลยไปยังด้านหลังและมองไปรอบห้องที่ตกแต่งด้วย ‘ทวน’ ‘หอก’ สมกับเป็นชมรมการต่อสู้และศิลปะแบบผสมผสานจริง ๆ มีแต่ของหายาก
ปัง!
เสียงประตูห้องปิดลงดังสนั่นไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกตกใจแต่อย่างใด คิดอยู่แล้วว่าต้องมาลูกไม้ตื้น ๆ แบบนี้ สมองเป็ดยังมีขนาดใหญ่กว่าคนพวกนี้เลย
“ชิเอล” เสียงผู้หญิงคนหนึ่งเรียกชื่อฉันทำให้ต้องหันไปมองยังเธอ ‘ชูลี่’ ดาราหน้าใหม่ที่กำลังเป็นที่จับตามอง ร่างบางในชุดแบรนด์เนมทั้งตัว ดวงตาคมจ้องหน้าฉัน เธอสวยมากเลยนะแต่การกระทำในตอนนี้ลดความสวยของตัวเองจนไม่เหลือเลย
“อือ ที่เรียกมามีอะไรเหรอ” กระดาษในมือถูกยื่นไปตรงหน้า เธอก้มมองแล้วยกมือขึ้นปิดปาก เงยหน้ามาสบตากับฉันทำทีเหมือนตกใจ
“ใครเขียนเนี่ย ทำไม...” ชูลี่หันไปถามพวกที่อยู่ด้านหลังตัวเอง มีเพียงเสียงหัวเราะคิกคักกลับมาเท่านั้น
“....” ฉันเอียงคอมองเลยไปข้างหลังของชูลี่ ใบหน้าของพวกที่เหลือต่างยิ้มเยาะหัวเราะกันใหญ่ เรื่องมันน่าตลกตรงไหนพวกนี้เส้นตื้นกันเหรอ? หรือเป็นลูกหม้อให้ยัยนี่? และแล้วสายตาก็เห็นกับรอยยิ้มมุมปากของชูลี่ที่หันกลับมาทางฉันพอดี
“ใครเขียนกันทำไมตรงอะไรขนาดนี้...เนอะ อีบ้าผู้ชาย”
“....” โดนหาเรื่องเหรอเนี่ย แย่เลยสิ 1 ต่อ 8
“เห็นนะว่าลงมาจากรถลู่จื้อเมื่อเช้า”
“อิจฉาเหรอ พูดออกมาสิว่าอิจฉา จะตายอยู่แล้วค่ะผู้ชายเขาไม่สนใจเธอแต่สนใจฉัน...สารรูป” ดวงตาสีฟ้าไล่มองผู้หญิงตรงหน้าตั้งแต่หัวจรดเท้า สถานการณ์เปลี่ยนนิดหน่อยที่ฉันสวนก่อนที่เธอจะพูดไปมากกว่านี้ บรรยากาศภายในห้องก็เงียบผิดปกติเช่นกัน
“มึงมีอะไรให้อิจฉา” คำพูดและน้ำเสียงของเธอเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน เก็บความสุภาพไม่อยู่แล้วสินะ
“แล้วเคยได้ขึ้นรถกับเฮียลู่ยังล่ะ”
“....” คำเรียกที่ฉันใช้ช่างดูสนิทสนมเป็นพิเศษ มันยิ่งเป็นการกระตุ้นให้ผู้หญิงตรงหน้าโกรธจัดเข้าไปอีก
“อ่าว อย่าใบ้แดกสิต่อเลย”
พวกนี้นี่มันเหมือนหมาไม่มีผิด เล่นรุมเพราะคิดว่ายังไงก็ชนะ