ล่า(ม)พันธะ บทที่ 4 : (อดีต) ประตูที่เปิดไม่ออก
“ขึ้นรถสิ”
คำเชิญของผู้เป็นเจ้าของรถทำฉันยืนนิ่งตัวแข็งทื่อไปชั่วขณะ จากนั้นก็หันมองซ้ายมองขวาเพื่อให้แน่ใจว่าเขากำลังพูดกับฉันแน่ ๆ
“....” รอบตัวก็ไม่มีใครนี่น่า นั่นก็เท่ากับว่าเฮียลู่พูดกับฉันแน่นอน
“เฮียพูดกับเรานั่นแหละ” และความสงสัยนั้นได้รับคำยืนยันจากเจ้าของรถอีกครั้ง
“ไม่เป็นอะไรค่ะ เดี๋ยวชิเอลเดินไปดีกว่าค่ะ” ขึ้นรถเขาเข้ามหาลัยไม่คิดว่ามันจะมีปัญหาหรือไง แค่ทุกวันนี้ฉันสนิทกับต้าหลินก็มีคนไม่ชอบขี้หน้ามากพอแล้ว ตระกูล ‘จาง’ เป็นตระกูลที่ผู้คนอยากเข้าหามากที่สุดและเป็นยิ่งเป็นเขาแล้วด้วยถ้ามีคนเห็นละก็เอาไปพูดมากแน่
“ขึ้นรถ” เฮียลู่พูดย้ำอีกครั้งด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่ม ส่วนฉันยังคงยืนอยู่แบบนั้นทำตัวไม่ถูก
“ไม่เป็นอะ!”
“รุ่นพี่ชวนแล้วยังเป็นพี่ของเพื่อนตัวเองด้วย จะปฏิเสธจริงเหรอ” สิ่งที่เขาพูดออกมานั้นเหมือนถูกล็อกตัวไม่ให้ดิ้นหนีไปทางไหนเลย
“ก็ได้ค่ะ...” เสียงหวานพึมพำกับตัวเองแล้วเปิดประตูรถขึ้นไปนั่ง ก้มหน้าหลบสายตาเขาเพื่อซ่อนรอยยิ้มของตัวเองเอาไว้และทันทีที่ประตูปิดลงตัวรถก็เคลื่อนไปข้างหน้ามุ่งตรงสู่มหา’ลัยของเราทั้งสองคน
“บ้านชิเอลอยู่แถวนี้เหรอทำไมเดินมาเรียน” เฮียลู่พูดขึ้น เขาเป็นฝ่ายหาเรื่องคุยคงเพราะเห็นว่าฉันนั่งนิ่ง ตัวเกร็งไม่พูดไม่จาตั้งแต่ขึ้นรถ
“อ่อ ชิเอลอยู่อะพาร์ตเมนต์ไม่ไกลจากมหาลัย” นี่ฉันสร้างเรื่องโกหกขึ้นมาในหัวได้เป็นฉาก ๆ เลยนะ รู้สึกไม่ดีเลยแต่ก็พูดเรื่องของตัวเองมากไม่ได้
“ก็เลยต้องเดินมาเรียนแบบนี้ทุกวัน” เฮียลู่หันมาสบตากับฉันในจังหวะที่รถจอดติดไฟแดงพอดี
“ค่ะ เดินไม่ไกลค่ะเฮีย”
“เรามีเรียนเช้ากี่วัน เผื่อเฮียผ่านจะได้แวะรับ”
“....” ดวงตาสีฟ้าสวยมองอีกฝ่ายด้วยหัวใจที่เต้นแรงถี่และมีแค่ฉันที่รับรู้อาการผิดปกติของตัวเอง
“เฮียไม่ได้คุกคามนะ แค่เผื่อผ่านจะได้มองชิเอลไว้”
“มีเรียนเช้าวันนี้วันเดียวค่ะ”
“วันหลังเฮียจะคอยมองชิเอล เจอระหว่างทางเหมือนวันนี้จะได้รับไปด้วย” สิ้นเสียงดวงตาสีน้ำตาลเข้มกลับไปจ้องมองยังถนนเบื้องหน้า เคลื่อนตัวรถออกไปด้วยความเร็วเมื่อสัญญาณไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียว
“ขอบคุณนะคะ” เสียงหวานเอ่ยขอบคุณพี่ชายเพื่อนพร้อมรอยยิ้ม เฮียลู่หันมามองเพียงแวบเดียวแล้วพยักหน้าให้เป็นอันว่ารับคำขอบคุณ เขาทำเพียงเท่านั้นเพราะเขาต้องให้ความสนใจไปยังการขับรถ ที่ผ่านมาฉันทำอะไรด้วยตัวเอง ดูแลตัวเองได้ดีมาตลอด เป็นครั้งแรกหรือเปล่านะที่มีคนยื่นความเป็นห่วงมาให้ขนาดนี้
และในที่สุดเราก็เข้าสู่เขตพื้นที่ของมหา’ลัย รถหรูสีดำวิ่งผ่านประตูรั้วท่ามกลางสายตาที่มองมาด้วยความสนใจ ทุกคนต่างให้ความสนใจทายาทของตระกูลจางด้วยกันทั้งนั้น ไม่แปลกใจถ้าเขาจะมองว่ารถคันนี้เป็นของใครและไม่แปลกใจอีกถ้าพวกเขาจะรู้ว่ามันคือรถของ ‘จาง ลู่จื้อ’
เอี๊ยด!
ล้อรถบดเบียดไปกับพื้นถนนหยุดนิ่งลงหน้าอาคารเรียนของคณะฉัน แล้วมาจอดหน้าตึกแบบนี้ฉันจะรอดพ้นสายตาคนอื่นได้ยังไง
“ขอบคุณนะคะเฮียลู่” เสียงหวานเอ่ยขอบคุณแล้วก้มหัวให้เขาเล็กน้อย
“ไม่เป็นอะไรครับ” อีกฝ่ายตอบกลับมาพร้อมรอยยิ้มใจดี ฉันหลบสายตาที่มองมาหันหลังให้เขาเอื้อมมือไปเปิดประตูรถ
กึก!
“เฮียลู่คะมันล็อก” สุดท้ายฉันต้องหันหน้ากลับมาเผชิญหน้าเขาอยู่ดี
“อ่าว โทษที” สิ้นเสียงเฮียลู่ก็ใช้นิ้วกดที่ปุ่มปลดล็อกประตู เมื่อเห็นว่าเขากดปุ่มนั้นแล้วฉันจึงหันหน้ามาทางฝั่งประตูของตัวเองและเปิดมันออกอีกครั้ง
กึก!
ประตูก็ยังถูกล็อกอยู่ดี ถ้าจำไม่ผิดรถรุ่นนี้มันมีตัวสแกนนิ้วเพื่อปลดล็อกประตูด้วยนี่ จากประสบการณ์เคยถูกขังเอาไว้บนรถกับลูก้าเพราะมันดันไปโดนตัวเปิดระบบสแกนนิ้วรถแม่ฉัน
“ยังไม่ได้...เฮีย” จังหวะที่หันกลับมาหาเขาอีกครั้งปากเล็กที่กำลังขยับพูดอยู่นั้นต้องชะงักไปถึงกับสมองพร่าเบลอไปชั่วขณะ เพราะจู่ ๆ ผู้ชายที่ยังอยู่ฝั่งคนขับก็โน้มตัวเข้าข้ามฝั่งมา มือข้างหนึ่งจับพนักพิงเบาะที่ฉันนั่งอยู่ไว้ มืออีกข้างเอื้อมผ่านหน้าไปยังประตูรถ
ใบหน้าของเราห่างกันเพียงคืบเท่านั้น ระยะห่างทำให้ฉันรับรู้กลิ่นน้ำหอมจากอีกฝ่ายอย่างชัดเจน ดวงตาสีฟ้าจ้องมองมุมข้างใบหน้าหล่อด้วยหัวใจที่เต้นแรงผิดจังหวะ มือทั้งสองกำแน่นและพยายามทำตัวให้ลีบเล็กที่สุดเท่าที่จะทำได้ ตัวหอมมากแล้วยัง...หล่อมากด้วย
ติ๊ด! กึก!
“ขอโทษที เฮียลืมว่าเปิดสแกนนิ้วไว้” เฮียลู่พูดขึ้นหลังจากเปิดประตูให้ฉันเรียบร้อยและพาตัวเองกลับไปนั่งในท่าปกติ
“เอ่อ ขอบคุณค่ะ ขอบคุณนะคะ” ฉันพูดรัวแล้วรีบพาตัวเองลงจากรถพร้อมปิดประตูลงเต็มแรง สองเท้าก้าวเดินตรงเข้าไปยังภายในอาคารเรียนโดยไม่สนใจสายตาตกตะลึงของผู้คนรอบข้างที่จ้องมา จนกระทั่งบังเอิญเจอเข้ากับต้าหลินในจังหวะที่เดินเลี้ยวเข้าภายในตึก
กึก!
เท้าเล็กหยุดชะงักเมื่อสบสายตากับเพื่อนตัวเอง เจอใครไม่เจอนะ...ทำไมต้องเจอเพื่อนตัวเองด้วยเนี่ย!