บทที่ 2 ช่วยผิดคน
วันต่อมา ป้ายอมเปิดประตูให้ ฉันรีบคลานไปกอดขาป้า ขอโทษในสิ่งที่ไม่ใช่ความผิดตัวเอง หลังป้าใจอ่อน เพราะจำเป็นต้องใช้แรงงานอย่างฉัน ป้าก็ยอมให้ฉันกลับห้องของตัวเองได้
เพื่อให้ป้าอารมณ์ดี ฉันก้มหน้าก้มตาทำงานหนักขึ้น ไม่หือไม่อือถึงความทรมานในจิตใจ พยายามหลบเลี่ยงอย่างสุดความสามารถต่อสายตาและมืออันน่ารังเกลียดของลุง ที่จะแตะเนื้อต้องตัวฉันในทุกครั้งที่ลับตาป้า
‘ฉันทนมาได้ 1 ปีแล้ว.. อีกแค่ปีเดียว ฉันก็จะเป็นอิสระ หรืออาจจะตายอย่างน่าเวทนาก่อน’
ช่วงนี้สถานการณ์ร้านไม่สู้ดี จากที่ได้ยินลุงกับป้าบ่น เพราะเกิดโรคระบาด เศรษฐกิจตกต่ำ ผู้คนไม่ออกมาใช้เงิน และยังมีการลุกฮือสู้ของกลุ่มมาเฟียผู้มีอิทธิพลระดับใหญ่อีกด้วย
วันนี้ดั่งเช่นเคย ลุงกับป้ารีบออกไปทำธุระข้างนอก ปล่อยให้ฉันปิดร้านคนเดียว ขณะกำลังเอาขยะไปทิ้งหลังร้านเช่นปกติ ฉันต้องชะงักขา ตัวเกร็ง ตกใจกับภาพตรงหน้า
ชายร่างสูง แต่งชุดดำทั้งตัวและมีผ้าโพกหัวปิดใบหน้าไว้ เขานั่งหมอบลงกับข้างถังขยะ สอดส่องสายตาไปทางซอกตึก เหมือนกำลังหลบซ่อนอะไรสักอย่าง
‘โจร… หรอ’
“เฮ้ย ไปดูทางโน้น ..แม่งหายไปไหนวะ”
เสียงสบถหน้าซอกตึกดังเรียกสติ ฉันเผลอทำถุงขยะตกพื้น เขาหันมาหาชี้ปืนใส่ฉัน ดวงตาคมที่ไม่ถูกปกปิด เป็นสีแดงฉานเหมือนพระจันทร์สีเลือดไม่มีผิด
สวบ สวบ
เสียงฝีเท้าจากอีฝั่งย่องเข้ามาช้าๆ เขากระชากตัวฉันให้ทรุดนั่งลง มือหนาปิดปากฉันแน่น กลิ่นเลือดถูกสูดเข้าแทนกลิ่นกองขยะ ความคาวที่เข้าโพลงปาก บ่งบอกว่ามือที่เขาใช้ปิดปากฉันกำลังมีแผลฉกรรจ์อันใหญ่อยู่
“อย่าร้อง! ถ้าไม่อยากตาย”
เสียงขู่ถูกกระซิบข้างหู เขาจ่อปืนไว้ใต้คางฉัน ฉันพยักหน้าลงช้าๆ เพื่อแสดงถึงความเข้าใจและไม่ขัดขืน มือหนาเอื้อมคว้าโกยถุงขยะมาถมตัวฉันกับเขาไว้ เปลี่ยนทิศทางปืนจากจ่อใต้คางฉัน ไปเล็งด้านหน้าแทน
เสียงย่องเดินของฝ่ายตรงข้าม ดังใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ฉันกลัวตายจนใจสั่น เบียดตัวเข้าอ้อมกอดเขา หลับตาปี๋เพราะไม่อยากมองภาพสุดท้ายในชีวิตเป็นปากกระบอกปืน
“...ลูกพี่ มีคนเห็นทางนี้!”
“ชิบ! รีบตามไป อย่าให้มันรอด”
เสียงตะโกนแจ้งกัน ฝีเท้านับสิบวิ่งผ่านข้างซอกตึกไป จนเงียบลงเขายังปิดปากฉันแน่น เหมือนยังไม่นิ่งนอนใจกับอีกฝ่าย กลิ่นคาวและรสเค็มของเลือดจากฝ่ามือเขาทำให้ฉันแทบอ้วก จนต้องงัดมือเขาออก ดึงผ้าผูกผมของตัวเองมามัดปิดแผลนั้นไว้
เขามองตามด้วยความงุนงง ผ้าสีชมพูหวานแหวว ลายดอกโคฟเวอร์ถูกมัดปิดบาดแผลบนฝ่ามือ ปากกระบอกปืนที่ยกจ่อไว้ ฉันรวบรวมความกล้า ใช้นิ้วดันให้มันหันไปทางอื่น
“ถ้าคุณไม่ทำร้ายฉัน ฉันก็จะไม่ทำร้ายคุณ”
ฉันบอก แล้วนั่งจ้องตากับเขา เพื่อแสดงถึงความจริงใจ ถึงแม้ใจจริงของฉันกลัวจนแทบจะเป็นลมแล้วก็ตาม
ภายใต้ดวงตาที่นิ่งเหมือนนักล่า ฉันไม่สามารถเดาได้เลยว่าเขาอยู่ในอารมณ์ไหน เขาลุกขึ้นยืน ชะเง้อสอดส่องดูกลุ่มคนอีกฝ่ายที่หายลับไป
“เอ่อ.. หะ ให้ช่วยอะไรไหมคะ”
เพราะไม่กล้าวิ่งหนีเขา ฉันเอ่ยถามออกไปเพื่อรอคำตอบว่า ‘ไสหัวไปได้’ แต่เขาหันกลับมามองฉัน จ้องเขม็งไร้ท่าทีจะเป็นมิตรหรือทำร้าย แล้ววิ่งหายไปกับซอกมุมตึกทันที
ลมหายใจที่กลั้นไว้ถูกปล่อยออกอย่างโล่งอก คิดว่าจะถูกฆ่าตายในกองขยะซะแล้ว ฉันยกผ้ากันเปื้อนเช็ดเลือดที่ติดอยู่ขอบปากตัวเอง แล้วรีบกลับเข้าร้าน ล็อคประตูแน่น
เคยดูแต่ในหนัง ไม่คิดเลยว่าจะได้เจอกับตัว ของจริงโหดกว่าเป็นร้อยเท่า ข่าวออกแทบทุกวันว่า พบศพตามบ่อขยะ แม่น้ำ โพลงหญ้า และซอกตึกเปลี่ยว ซึ่งส่วนใหญ่สภาพมักถูกทารุณอย่างรุนแรงก่อนตาย บางศพคว้านเครื่องในออกหมดก็มี
เมื่อก่อนป้าเคยเตือนฉันว่าอย่าสบตากับใคร หรือช่วยเหลือคนแปลกหน้าสุ่มสี่สุ่มห้า โดยเฉพาะพวกกลุ่มคนที่ดูอันธพาล เพราะกลัวร้านจะเดือดร้อน แต่ด้วยนิสัยคนไทย มีคนเลือดตกยางออกอยู่ตรงหน้า ใครจะอดใจไม่ช่วยได้กันล่ะ
‘แค่ช่วยเล็กๆ น้อยๆ คงไม่เป็นอะไรหรอก…’