6 ส่างห่า 3
ติดตามข่าวสารและพูดคุยกับไรเตอร์ได้ทางเพจ readfree.in ค่ะ
https://www.facebook.com/readfree.in/
และทางเว็บไซต์ www.readfree.in ค่ะ
ขอบคุณรีดเดอร์ทุกท่านที่เข้ามาอ่านค่ะ
Chapter 6 ส่างห่า
“อ่อ...แล้วนี่ก็ช็อกโกแลตที่คุณชอบทานครับ” นัฐพลยื่นกล่องช็อกโกแลตให้
นิมิตรามอง พลัน! ท่าทีก็เปลี่ยนไป “อุ้ย...ขอบคุณมากค่ะ นี่เป็นช็อกโกแลตรุ่นลิมิเต็ดเลยนะคะ ทำพิเศษเฉพาะเทศกาลวาเลนไทน์ มีแค่ 100 กล่องเท่านั้นเองคะ” เธอบอกอย่างตื่นเต้น
นัฐพลมองกล่องช็อกโกแลตอย่างไม่รู้เรื่อง “งั้นเหรอครับ”
“คุณเป็นคนดีจังเลยค่ะ เชิญนั่งก่อนซิคะ” นิมิตราเชิญด้วยสีหน้ายิ้มแย้มที่ได้ของถูกใจ
อะไรอ่ะแม่คนนี้? นัฐพลมองหญิงสาวอย่างงงๆกับท่าทีตื่นเต้นดีใจเหมือนเด็กเล็กๆที่ได้ของกินถูกใจ เขานั่งลงตามคำเชิญ
นิมิตรานั่งตรงข้าม ราตรีเดินเข้ามาเสิร์ฟน้ำชาพร้อมกับของว่างแล้วก็เดินกลับเข้าไปด้านใน
“ผมอยากจะถามเรื่องคุณธรรมหน่อยน่ะครับ” นัฐพลรีบถามก่อนที่เธอจะเปลี่ยนใจ
“อ๋อ...คุณธรรมเป็นลูกค้าประจำของทางร้านน่ะค่ะ เขาชอบภาพวาดเกี่ยวกับสัตว์เลื้อยคลานมากค่ะ โดยเฉพาะสัตว์เลื้อยคลานแปลกๆหายากน่ะค่ะ” นิมิตราพูดอย่างคล่องปากพลางแกะช็อกโกแลตกินไปด้วย
“แล้วคุณพอจะทราบสาเหตุการตายของเขาบ้างไหมครับ?” นัฐพลถามพลางจิบน้ำชาไปด้วย
“ตามที่ดิฉันคิดนะคะ คุณธรรมตายเพราะถูกส่างห่าฆ่าตายค่ะ” นิมิตราตอบ
นัฐพลทำหน้างง “ส่างห่าคือใครครับ?”
“ส่างห่าก็คือสิ่งที่อยู่ในรูปนี้ไงคะ” นิมิตราชี้ที่กรอบรูปที่เพิ่งได้คืนมา แล้วก็อธิบายเพิ่มว่า “ส่างห่าก็คือร่างจำแลงของพญานาคค่ะ มีรูปร่างคล้ายตัวเงินตัวทองน่ะค่ะ มี 4 เท้า เกล็ดเป็นสีเขียวมรกต ตำนานเล่าว่าเลื้อยผ่านไปทางไหนก็จะเป็นรอยไหม้เป็นทางค่ะ ส่างห่าตนนี้ได้แอบหนีจากป่าหิมพานต์มาเที่ยวที่โลกมนุษย์เมื่อคืนเพ็ญ 15 ค่ำเดือนที่แล้ว แต่เธอได้พบกับคุณธรรมและเกิดเป็นรักแรกพบขึ้น ซึ่งคุณธรรมเองก็หลงรักเธอเช่นกันค่ะ เธอมีกำหนดจะต้องกลับไปในคืนเพ็ญ 15 ค่ำที่ผ่านมาค่ะ และเมื่อเธอกลับไปแล้วเธอจะไม่สามารถกลับมาที่โลกมนุษย์ได้อีกจนกว่าทวารแห่งท้องน้ำจะเปิดขึ้นอีกครั้งในครั้งหน้าซึ่งก็คืออีก 100 ปีถัดไปค่ะ หากเธอไม่กลับไปเธอก็จะตายค่ะ นี่คงจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เธอและเขาฆ่าตัวตายพร้อมกันค่ะ ช่างน่าเศร้าเหลือเกิน ”
“จะบ้าเหรอคุณ! ถึงเขาจะตายเพราะพิษงู แต่จะให้สรุปว่าเป็นการฆ่าตัวตายของคู่รักระหว่างคนกับส่างห่าเนี่ยนะ! ขืนสรุปปิดคดีแบบนี้ผมได้โดนไล่ออกน่ะซิ!”
“โมโหง่ายอีกแล้ว” นิมิตรามองเหมือนเขาเป็นเด็กขี้โมโห
“นี่มันเรื่องบ้าบอคอแตก งมงายไร้สาระ เรื่องหลอกเด็กชัดๆ!” นัฐพลโวยวาย
“ดิฉันแค่เล่าตามความจริง คุณจะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่คุณค่ะ” นิมิตราพูดเสียงเรียบ
“เชื่อที่เธอพูดฉันก็บ้าไปแล้วล่ะ” นัฐพลโวยวายแล้วก็ลุกออกจากร้านไป
นิมิตรามองตามอย่างไม่ใส่ใจ
บทที่ 3 รูปปั้น
ณ ร้านดรีมแกลอรี่ นิมิตรากำลังต้อนรับลูกค้า
“สวัสดีครับ คือคุณชวินแนะนำให้พวกเรามาที่นี่น่ะครับ เขาบอกว่าพวกเราจะได้พบกับสิ่งที่พวกเราปรารถนาน่ะครับ” วสันต์บอกกับเจ้าของร้านสาวสวย
“พวกเราเพิ่งสูญเสียลูกชายไปน่ะค่ะ” บังอรภรรยาของวสันต์บอกด้วยสีหน้าเศร้าหมอง
นิมิตราพยักหน้ารับรู้ “เป็นเรื่องที่น่าเศร้าจริงๆค่ะ ดิฉันขอแสดงความเสียใจด้วยค่ะ”
“อาทรเป็นลูกที่น่ารักมาก เขาน่ารักเหมือนเทวดาตัวน้อยๆ” บังอรบอกพลางกรีดน้ำตาด้วยความเศร้า
“ถ้างั้น พวกคุณน่าจะถูกใจสิ่งนั้นนะคะ” นิมิตราบอก “เชิญด้านในค่ะ”
วสันต์กับบังอรมองหน้ากันเอง แล้วก็ตามหญิงสาวเข้าไปด้านใน
นิมิตราเปิดประตูห้องด้านในเดินนำสองสามีภรรยาเข้าไป ทั้งสองเดินตามเข้าไป เมื่อได้เห็นสิ่งที่อยู่กลางห้องก็นึกฉงน “เด็ก?”
ทั้งสองเดินเข้าไปใกล้เพื่อดูให้ชัดๆ แต่เมื่อได้เห็น...ก็ตกตะลึง “อาทร!”
“ทำไมอาทรถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ?” วสันต์งงมาก
“นี่ฉันกำลังฝันอยู่รึไง” บังอรพึมพำ เธอเข้าไปจับตัวให้แน่ใจ เธอพิศซ้ายพิศขวา “ไม่ใช่เด็กคนอื่นที่เหมือนกับอาทรแน่ๆ เด็กคนนี้คืออาทรจริงๆ” เธอหันไปพูดกับสามี
นิมิตราเดินเข้าไปบอกว่า “อย่าเข้าใจผิดค่ะ นี่เป็นรูปปั้นค่ะ ปั้นโดยจิตรกรชาวอยุธยาค่ะ ร้านเราเป็นร้านขายงานศิลปะค่ะ เราไม่ขายอะไรอย่างอื่นนอกจากงานศิลปะค่ะ”
สองสามีภรรยาชะงักไป ทั้งสองมองหน้ากันเอง “เอ่อ...” / “อ่า...”
“นั่นซิ เด็กคนนี้เป็นรูปปั้น” บังอรพึมพำกับตัวเอง แล้วก็พูดว่า “ได้โปรดเถอะขอเด็กคนนี้...เอ๊ยขอรูปปั้นตัวนี้เถอะค่ะ”
“เรื่องเงิน...เท่าไหร่ผมก็ยินดีจ่าย” วสันต์รีบบอก “เราจะไม่บอกใครด้วยว่าคุณขาย... ผมจะปิดเป็นความลับเลยครับ”
นิมิตรายิ้ม “ถ้างั้นเชิญพวกคุณออกไปเซ็นสัญญาซื้อขายก่อนค่ะ แล้วดิฉันจะให้พนักงานแพ็กสินค้าให้ค่ะ” เธอบอกแล้วก็เดินนำหน้ากลับไปที่ห้องโถง
สองสามีภรรยารีบตามออกไป
ราตรีส่งสัญญาให้ลูกค้าเซ็น
“เชิญอ่านสัญญาก่อนค่ะ โดยเฉพาะคำเตือนที่พิมพ์ไว้ค่ะ 1.ห้ามให้ใครเห็นสินค้าชิ้นนี้นะคะ 2.ห้ามถูกแสงแดด 3.ห้ามถูกแสงจันทร์” นิมิตราบอกด้วยสีหน้าจริงจัง
“ค่ะๆ พวกเราจะทำตามค่ะ” บังอรรีบพยักหน้ารับ
“ถ้าทำผิดสัญญา เกิดอะไรขึ้นกับพวกคุณทางร้านไม่รับผิดชอบนะคะ” นิมิตราพูดน้ำเสียงจริงจัง
“ครับๆ รู้แล้วครับ” วสันต์พยักหน้ารับ รีบเซ็นสัญญาทันทีโดยไม่อ่านให้ละเอียด
“ถ้าเช่นนั้นก็ขอให้คุณดูแลรูปปั้นนี้ให้ดีตลอดไปนะคะ” นิมิตรากล่าวสีหน้ายิ้มแย้ม แล้วหันไปพยักหน้ากับราตรี สั่งว่า “ส่งรูปปั้นไปบ้านคุณลูกค้าคืนนี้”
“ค่ะ” ราตรีรับคำสั่ง
นิมิตราเลื่อนสัญญาไปให้บังอรเซ็น บังอรก็รีบเซ็นทันที แล้ววสันต์ก็หยิบสมุดเช็คมาเซ็นจ่าย “นี่ครับ ราคาเด็...เอ้ย รูปปั้นครับ”
นิมิตรารับเช็คไป ส่งให้ราตรี ราตรีก็รับเช็คไปถือไว้ เมื่อบังอรเซ็นสัญญาเสร็จก็หยิบสัญญาฉบับหนึ่งส่งให้วสันต์ วสันต์รีบเก็บสัญญาไป นิมิตราก็พูดว่า “เชิญคุณลูกค้ากลับไปรอที่บ้านนะคะ คืนนี้ดิฉันจะให้พนักงานส่งรูปปั้นไปให้ค่ะ จะให้ตั้งไว้ห้องไหนก็สั่งพนักงานได้เลยนะคะ อ่อ อย่าลืมคำเตือนนะคะ”
“ครับๆ” / “ค่ะๆ” สองสามีภรรยารีบพยักหน้ารับหงึกๆ ราตรีก็ผายมือเชิญ สองสามีภรรยาจึงลุกขึ้นยืน แล้วเดินออกจากร้าน นิมิตราก็เดินตามไปส่งลูกค้าถึงหน้าประตู “เดินทางปลอดภัยนะคะ”
“ครับๆ ขอบคุณครับ” วสันต์ยิ้มรับ แล้วก็จูงมือภรรยาเดินไปขึ้นรถ จากนั้นก็ขับกลับบ้าน
นิมิตรามองตามลูกค้าไป ดันประตูปิด สายตาก็เหลือบเห็นรถคันหนึ่งจอดห่างจากหน้าร้านไปไม่ใกล้ไม่ไกลนัก
ภายในรถ นัฐพลนั่งมองอยู่ในรถ เมื่อเขาเห็นเจ้าของร้านสาวสวยกำลังมองมาทางนี้เขาก็รีบก้มหลบทันที อึดใจต่อมาเขาก็ด่าตัวเองว่า “จะหลบทำไมวะ รถติดฟิล์มดำขนาดนี้ ใครจะมองเห็นฟร่ะ!”
เขาเงยหน้าขึ้น นิมิตราก็ปิดประตูแล้ว ป้ายหน้าร้านโชว์ว่า ‘ปิด’ นัฐพลจึงหยิบไอแพ็ดมาจิ้มๆ ตรวจเช็กทะเบียนรถของคนที่ออกมาจากร้านเมื่อครู่นี้ เพียงครู่เดียว ข้อมูลก็ขึ้นมา เขาอ่านข้อมูลแล้วก็จิ้มๆไอแพ็ดเช็กประวัติตามชื่อ
นิมิตราเดินเข้าไปหลังร้าน ราตรีก็เอาสัญญากับเช็คไปเก็บใส่แฟ้มเอาไว้ จากนั้นก็เดินไปแพ็กสินค้าเตรียมส่งให้ลูกค้าคืนนี้
ครั้นค่ำมืด ไร้แสงอาทิตย์ส่อง ราตรีก็แบกสินค้าไปขึ้นรถกระบะ เอาเชือกมัดแน่นหนา เอาผ้าคลุมอีกชั้นหนึ่ง จากนั้นก็ขับรถออกไป
เมื่อไปถึงบ้านลูกค้า ก็ยกสินค้าลง วสันต์กับบังอรรีบถลันเข้าไปจะช่วย ราตรีก็บอกว่า “ไม่ต้องค่ะ ดิฉันยกคนเดียวได้ค่ะ คุณจะให้เอาไปไว้ตรงไหน นำทางเลยค่ะ”
“อ่อๆ งั้นเชิญตามผมมาเลยครับ” วสันต์บอก แล้วเดินนำเข้าบ้าน ราตรีก็ยกสินค้าลงจากรถ แบกขึ้นบ่าเดินตามลูกค้าไป บังอรรีบเดินตามไปติดๆ
“ห้องนี้เลยครับ” วสันต์ชี้บอก ราตรีก็เดินเข้าไปในห้องแล้ววางสินค้าลง “จะให้วางไว้ตรงไหนคะ?”
“บนโซฟาเลยครับ” วสันต์บอก ราตรีก็วางสินค้านอนไว้บนโซฟา จากนั้นก็เดินไปขึ้นรถแล้วขับกลับร้าน
วสันต์กับบังอรก็รีบถลันเข้าไปแกะกระดาษที่ห่อหุ้มสินค้าออก บังอรแกะไปก็พูดว่า “โถ ลูก จะหายใจออกไหม? เดี๋ยวแม่จะรีบแกะให้นะ”
เมื่อแกะกระดาษออกหมดแล้ว วสันต์ก็โผกอดสินค้า พูดว่า “กลับบ้านเราแล้วนะลูก”
“พวกเราจะเริ่มต้นใหม่อีกครั้งนะจ๊ะลูกรัก” บังอรก็กอดสินค้าเช่นกัน
ขณะที่ราตรีออกไปส่งสินค้า นัฐพลก็เดินไปกดกริ่งหน้าร้าน นิมิตราเดินไปดู เห็นว่าเป็นนัฐพลจึงเปิดประตูให้ พูดว่า “ร้านปิดแล้ว ถ้าคุณสนใจจะซื้อภาพก็มาวันอื่นเถอะ นี่มันเวลาพักผ่อนของฉันแล้วนะคุณตำรวจ”
“ขายอะไรให้ลูกค้าไปล่ะ?” นัฐพลถาม เดินเข้าไปในร้านอย่างถือวิสาสะ
“รูปปั้นเด็ก” นิมิตราตอบ แล้วเดินไปชงชาร้อน นัฐพลมอง “ฟันกำไรไปกี่แสนล่ะ?”
“แสนอะไรกัน ฉันก็ขายของตามราคาต้นทุน บวกกำไร 30% ตามกฎหมายกำหนด” นิมิตราเอ่ยน้ำเสียงเรียบเรื่อย มือก็เทน้ำชา แล้วถือไปวางตรงหน้าแขกไม่ได้รับเชิญ “ค่ำแล้ว ดื่มชาดอกมะลิละกัน”
นัฐพลมองชาร้อน ควันลอยกรุ่น ส่งกลิ่นหอมเย็น ก็ยื่นมือไปหยิบแก้วชามาสูดกลิ่น “หอมดี”
นิมิตรานั่งลง ยิ้มมุมปากนิดนึง ยกแก้วชาขึ้นเป่าไอร้อน นัฐพลจิบชาไปคำหนึ่ง มองดูนิมิตราแล้วคิดว่า จะยิ้มออก ก็แค่ตอนนี้แหละนะ เดี๋ยวพอพวกนั้นค้นเจอยาที่ยัยลูกน้องสอดไส้เอาไปส่งลูกค้า ดูซิจะยังยิ้มออกอีกไหม
เขาจิบชาอีกคำ มองไปรอบๆร้าน ลูกค้าที่ซื้อภาพจากร้านนี้ไป มักจะตายประหลาดๆหรือไม่ก็หายสาบสูญ ยัยเด็กนี่อาจจะเปิดร้านบังหน้าก็ได้ เบื้องหลังคงค้ายาหรือไม่ก็ของเถื่อนชัวร์ อาชีพเบื้องหน้าก็น่าสงสัย ภาพที่เอามาขาย เป็นภาพขโมยมาจากไหนรึเปล่าก็ไม่รู้ แต่ถ้ายังไม่มีหลักฐานชัดเจนก็ทำอะไรไม่ได้ซะด้วย
“ทำไมชามันหวานแปลกๆ?” เขามองน้ำชาในแก้ว นิมิตราจึงบอกว่า “ใส่หญ้าหวาน รสจะไม่หวานเหมือนน้ำตาลหรอก”
“แล้วทำไมไม่ใส่น้ำตาลล่ะ?” นัฐพลวางถ้วยชาลง นิมิตราเป่าไอร้อนในแก้วชาของตัวเองแล้วพูดว่า “น้ำตาลกินมากไปทำให้เป็นเบาหวาน โรคอ้วน ไขมันอุดตันในเส้นเลือด ก่อให้เกิดโรคความดัน โรคหัวใจ...”
“พอๆๆ ไม่ต้องแลคเชอร์วิชาหมอ” นัฐพลยกมือห้าม ราวกับพระพุทธรูปปางห้ามญาติ นิมิตราวางแก้วชาแล้วเดินไปเปิดตู้เย็นหยิบผลไม้ออกมา 2 จาน ถือไปวางตรงหน้านัฐพล “กินผลไม้ซิ ท้องจะได้ไม่ผูก”
นัฐพลจึงจิ้มผลไม้ใส่ปาก นิมิตราก็จิ้มผลไม้ใส่ปากเช่นกัน แล้วจิบชาทีละนิด
นัฐพลกินไปพลางมองไปรอบๆร้าน ดูภาพที่แขวนๆอยู่บนผนังอย่างสำรวจค้นหา เผื่อว่าจะเจอพิรุธอะไรบ้าง แต่มองจนลูกตาแทบหลุดก็ยังไม่เจออะไรเลย ยัยเด็กนี่ก็ช่างนิ่งเหลือเกิ๊น!
เขามองดูเธออย่างจับผิด แต่นอกจากท่าทางการกินดื่มที่ดูเรียบร้อยงดงามราวกับกุลสตรีชั้นสูงที่ได้รับการอบรมมาอย่างดี ก็ยังไม่พบพิรุธอะไรเลย จนเขาได้แต่สงสัยว่า ภายใต้หน้าใสๆสวยๆนี่แอบซ่อนอะไรไว้บ้างนะ? มีแฟนรึยัง? เฮ้ย! คิดอะไรฟร่ะ! ตั้งสติหน่อยซิวะไอ้นัฐ!
ด้านลูกน้องของนัฐพล หลังจากราตรีส่งของเสร็จ ขับรถออกไปแล้ว พวกเขาก็แอบย่องไปแอบดูภายในบ้าน ตรงรอยแยกผ้าม่าน เขาเห็นสองผัวเมียกำลังแกะห่อกระดาษกันใหญ่ ท่าทางรีบร้อน จึงแอบถ่ายคลิปเอาไว้ เมื่อแกะกระดาษออกหมดแล้ว จึงเห็นว่าเป็นรูปปั้นเด็ก สูงราว 150 ซ.ม. แล้วก็เห็นสองผัวเมียนั่นเอาแต่กอดรูปปั้นอย่างดีอกดีใจราวกับเป็นของรักยังไงอย่างงั้น
แอบดูอยู่ตั้งนาน แต่ก็ไม่เห็นพฤติกรรมที่น่าสงสัยเลย พวกเขาจึงย่องออกไปอย่างเงียบกริบ แล้วส่งไลน์ไปรายงานนัฐพล
เสียงไลน์ดังขึ้น นัฐพลรีบหยิบมือถือมาเปิดอ่าน พออ่านจบเขาก็พยายามทำหน้าให้เป็นปกติที่สุด แล้วจิ้มๆผลไม้ใส่ปากเคี้ยวกร๊วมๆ แอบด่าในใจว่า ไม่เจออะไรได้ไง! หรือว่ายัยเด็กนี่จะรู้ตัวเลยยังไม่ส่งของ?
ตามองคนตรงข้าม ก็สบกับสายตานิ่งเฉย เป็นสายตาที่นิ่งมากราวกับสายตาของคนที่ผ่านโลกมาทั้งชีวิต ท่าทางจิ้มผลไม้กินยังคงดูดีไม่มีสะดุด ไม่มีสะดุ้งสักนิด จนเขาได้แต่ปลอบใจตัวเอง เอาวะ วันพระไม่ได้มีหนเดียว สักวันหางต้องโผล่มาจนได้แหละว่ะ!
กินผลไม้หมดจาน ยกชาขึ้นดื่มรวดเดียวหมด เขาก็วางแก้วลง พูดว่า “ขอบคุณสำหรับน้ำชากับผลไม้ครับ”
นิมิตราไม่พูดอะไร ยิ้มมุมปากนิดนึง ลุกขึ้นยืนส่งแขก “กลับบ้านปลอดภัยนะคุณตำรวจ”
“ครับ” นัฐพลพยักหน้ารับ แล้วก็เดินออกไป นิมิตราเดินไปส่งถึงประตูแล้วก็ปิดประตู จากนั้นก็กดปุ่มปิดประตูม้วน ประตูม้วนก็เลื่อนลงมาปิดหน้าร้าน นัฐพลหันไปมองจนประตูปิดถึงพื้นแล้วเขาก็หันกลับไป เดินไปขึ้นรถแล้วขับกลับไปอย่างผิดหวัง ก็นั่งเฝ้ามาทั้งวัน กลับไม่มีอะไรคืบหน้าเลย หวังว่าตอนกลางคืน ลูกน้องที่มารับช่วงเฝ้าต่อ คงจะได้เบาะแสอะไรบ้างนะ
ณ บ้านของวสันต์ เพื่อนบ้านได้ยินเสียงบังอรตะโกนเรียกลูก “ทร มากินข้าวเร็วลูก”
เพื่อนบ้านซึ่งกำลังยืนคุยกันก็ชะงัก “เอ๊ะ! ลูกคุณนายอรตายแล้วไม่ใช่เหรอ?”
เพื่อนบ้านอีกคนรีบจุ๊ปาก “ชู่ว! แกก็เงียบๆเถอะ คนบ้านนี้บ้าไปแล้ว จู่ๆก็ไปซื้อรูปปั้นเด็กมาตัวนึง แล้วก็บอกว่าลูกกลับมาแล้ว”
“หา!” เพื่อนบ้านอ้าปากค้าง รีบซักว่า “ไหนๆ เล่ามาเลยนะแก”
“ก็หลังจากไอ้เด็กนรกนั้นตายไป ยัยคุณนายกับตาผัวก็ไปซื้อรูปปั้นมาตัวนึงเอามาตั้งอยู่ในห้องไอ้เด็กนรกนั่นแหละ แล้วก็หาข้าวหาน้ำมาให้รูปปั้นกิน เอาเสื้อผ้ามาใส่ให้ทำเหมือนกับว่าไอ้รูปปั้นนั่นคือไอ้เด็กนรกนั่นแหละ ถ้าไม่บ้าก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรแล้ว ตอนที่ฉันแอบเห็นนะ ฉันนี่ขนลุกเลยแกเอ้ย”
“ทร หนาวไหมลูก? เดี๋ยวแม่เอาเสื้อกันหนาวที่ลูกชอบใส่ให้นะ” เสียงบังอรดังแว่วมา ทำให้เพื่อนบ้านสบตากันอย่างสังเวชใจปนขนลุก เพราะไม่รู้ว่าคุณนายบังอรจะอาการหนักมากกว่านี้รึเปล่า
“ทร ดูซิ พ่อซื้อรถบังคับคันใหม่มาให้แล้ว ชอบไหมลูก?” เสียงวสันต์ดังแว่วมา ทำให้เพื่อนบ้านกระซิบกระซาบกันว่า “เออ บ้าทั้งผัวทั้งเมียเลยว่ะ แกอยู่บ้านติดกับคนบ้าก็ระวังๆหน่อยล่ะ เกิดวันดีคืนดีคลั่งขึ้นมาเที่ยวไล่ฆ่าคน บรื๋อ สยองว่ะ”
“หู๊ย แกก็อย่าพูดงี้ซิ ฉันยิ่งกลัวๆอยู่นะ”
“เออๆ ไปล่ะ ป่านนี้ผ้าที่ซักไว้ปั่นเสร็จแล้วมั้ง”
จากนั้นเพื่อนบ้านก็แยกย้ายกันเข้าบ้าน
ค่ำมืด ไร้แสงอาทิตย์ เหลือแต่เพียงแสงไฟจากเสาไฟข้างทาง ภายในบ้านของวสันต์ สองสามีภรรยาก็นั่งกินข้าวร่วมกัน ตักอาหารป้อน ‘ลูก’
“แม่ ทรอยากออกไปข้างนอก อยู่ในบ้านอุดอู้” ‘เด็กหนุ่ม’ พูดขึ้น พลางอ้าปากกินข้าวที่แม่ป้อน วสันต์รีบห้ามว่า “ไม่ได้”
บังอรก็หันไปพูดกับสามีว่า “พาลูกออกไปรับลมข้างนอกนิดเดียวคงไม่เป็นไรหรอกค่ะ จะให้ลูกอุดอู้อยู่แต่ในห้องได้ไงคะ”