7 รูปปั้น 1
ติดตามข่าวสารและพูดคุยกับไรเตอร์ได้ทางเพจ readfree.in ค่ะ
https://www.facebook.com/readfree.in/
และทางเว็บไซต์ www.readfree.in ค่ะ
ขอบคุณรีดเดอร์ทุกท่านที่เข้ามาอ่านค่ะ
Chapter 7 รูปปั้น
“แต่ว่า คุณคนนั้นย้ำนักย้ำหนาว่าห้ามให้คนอื่นเห็น ห้ามไม่ให้ถูกแสงอาทิตย์ ห้ามไม่ให้ถูกแสงจันทร์...” วสันต์พูดยังไม่ทันจบ บังอรก็แย้งว่า “แต่ว่าลูกเป็นเด็กนะคะ จะให้ลูกอยู่แต่ในบ้านเหมือนถูกขังอย่างนี้ได้ยังไงคะ ทีคุณยังออกไปกกอีเมียน้อย ปล่อยให้ฉันอยู่บ้านกับลูกตามลำพัง ตอนลูกต้องไปโรงบาลคุณก็ไม่อยู่ ถ้าคุณอยู่ ลูกก็คงไม่...อึก...อึก...”
“พอๆ เอาๆ อยากทำอะไรก็ทำ” วสันต์ยกมือยอมแพ้ น้ำตารื้นในดวงตา หันไปมอง ‘ลูก’ อย่างรู้สึกผิด
“ไปลูก ออกไปรับลมข้างนอกนะ” บังอรหันไปพยักเพยิดกับ ‘ลูก’ เธอขยับไปอุ้ม ‘ลูก’ อย่างทุลักทุเล หันไปเรียกสามี “คุณก็มาช่วยฉันอุ้มลูกออกไปหน่อยซิ ฉันอุ้มคนเดียวไม่ไหวหรอกนะ”
“อืม” วสันพยักหน้า ขยับลุกไปช่วยภรรยาอุ้ม ‘ลูก’ ออกไปนั่งในสวนหลังบ้าน ไม่รู้ว่าพนักงานคนนั้นอุ้ม ‘ลูก’ ได้ยังไงคนเดียว เห็นตัวผอมๆแบบนั้นไม่น่าจะมีแรงเยอะเลย ขนาดเขากับภรรยาช่วยกันอุ้มลูกสองแรง ยังทุลักทุเลขนาดนี้เลย
เมื่ออุ้ม ‘ลูก’ ไปนั่งที่โต๊ะหินในสวนแล้ว บังอรก็รีบเดินไปหยิบอาหารที่ยังกินค้างอยู่ ย้ายมาที่โต๊ะหิน วสันต์ก็ทำหน้าที่ป้อนข้าวให้ ‘ลูก’ ระหว่างที่ภรรยากำลังหยิบนู้นจับนี่
“กินเยอะๆนะทร ลูกจะได้หายเร็วๆ กลับมาเดินได้เหมือนเดิม” วสันต์บอกพลางลูบศีรษะ ‘ลูก’
‘เด็กหนุ่ม’ ก็พยักหน้า “ครับคุณพ่อ”
จังหวะที่วสันต์ก้มลงไปตักข้าว นัยน์ตาสีดำของ ‘เด็กหนุ่ม’ ก็เปลี่ยนเป็นสีแดงวูบหนึ่ง เมื่อวสันต์เงยหน้ามาป้อนข้าว นัยน์ตาก็กลับเป็นสีดำดังเดิมแล้ว
เพื่อนบ้านซึ่งกำลังล้างจานอยู่หลังบ้านได้ยินเสียงสองสามีภรรยา ก็ชะเง้อแอบมองอย่างอยากรู้อยากเห็น พอเห็นวสันต์นั่งป้อนข้าวรูปปั้นก็ขนลุกชัน แอบพึมพำเบาๆว่า “บ้าไปแล้วจริงๆทั้งผัวทั้งเมีย เฮ้อ...”
บังอรยกอาหารมาวางแล้วก็นั่งลงกินต่อ ตาก็มองดู ‘ลูก’ อย่างรักใคร่ “กินเยอะๆนะทร เดี๋ยวพรุ่งนี้แม่จะไปซื้อกุ้งมาทำเทมปุระที่ลูกชอบนะจ๊ะ”
แสงจันทร์ข้างขึ้นสาดส่องแสงอ่อนๆลงมากระทบสองสามีภรรยาและ ‘ลูก’
พลัน ‘ลูก’ ก็ขยับแขนทั้งสองข้างไปจับมือสองสามีภรรยาเอาไว้คนละข้าง ทั้งบังอรและวสันต์ชะงักค้าง รู้สึกถึงความเย็นเฉียบที่แผ่ออกมาจากมือ ‘ลูก’ ความเย็นนั้นค่อยๆลามจากมือที่ถูกจับขึ้นไปที่แขน ผิวมือที่ขาวของคนทั้งสองพลันเปลี่ยนเป็นหินสีขาว ลามขึ้นไปเรื่อยๆ จากแขนข้างหนึ่งก็ลามขึ้นไปที่หัวไหล่ จากหัวไหล่ก็ลามไปที่คอ และหลัง ลามขยายไปเรื่อยๆ จนกระทั่งคนทั้งสองกลายเป็นหินโดยสมบูรณ์
บัดนี้ บนโต๊ะหิน กลับมีรูปปั้น 3 รูปนั่งอยู่บนโต๊ะ ดูแล้วเหมือนรูปปั้นครอบครัวสุขสันต์ที่กำลังนั่งล้อมวงจับมือกัน อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันอย่างมีความสุข
วันรุ่งขึ้น นัฐพลก็ได้รับรายงานจากลูกน้องว่า ‘เฝ้ามาทั้งคืน ยังไม่พบความเคลื่อนไหวใดๆ’
เขาอ่านรายงานแล้วก็ขบกรามอย่างหงุดหงิด “เอ้อ! คอยดูซิ ฉันจะจับหางเธอให้ได้ จับได้เมื่อไหร่พ่อจะจับขังซะให้เข็ดเลยไอ้พวกค้ายาทั้งหลายเนี่ย!”
แล้วเขาก็รีบไปอาบน้ำแต่งตัวไปทำงาน
เมื่อไปถึงที่ทำงานเขาก็เข้าไปรายงานหัวหน้า ผู้การฯชัยยศก็พยักหน้ารับรู้ สั่งว่า “จับตาดูต่อไปอีกซักระยะ ถ้ายังไม่เจออะไรก็ค่อยเลิกล่ะกัน”
“ครับท่าน” นัฐพลรับคำสั่งแล้วก็เดินกลับไปที่โต๊ะตัวเอง จากนั้นก็คว้ากระเป๋าแล้วขับรถออกจากที่ทำงาน ไปคอยจับตาดูนิมิตรา
นิมิตรายืนรดน้ำต้นไม้หน้าร้าน เมื่อเห็นรถของนัฐพลมาจอดซุ่มอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลก็เหยียดยิ้มมุมปาก พูดเบาๆว่า “ตำรวจคนนั้นมาอีกแล้ว”
เถาไม้เลื้อยดอกสีแดงถูกลมพัดปลิวมาแตะแขนนิมิตรา นิมิตราลูบยอดเถาไม้เบาๆ “คอยเฝ้าคนๆนั้นให้ด้วยนะ”
แล้วเธอก็จับเถาไม้ไปพันกับค้าง จากนั้นก็เดินเข้าร้านไป
นัฐพลชะเง้อมองอย่างไม่ให้คลาดสายตา เขาหยิบแซนวิสมากิน ตาก็มองจ้องร้านดรีมแกลลอรี่
เฝ้ามองมาครึ่งวัน ก็ยังไม่เห็นความเคลื่อนไหวใดๆสักนิด ไม่มีลูกค้าเข้าร้านแม้แต่คนเดียว ผู้คนเดินผ่านไปผ่านมา แต่ก็ไม่ได้ให้ความสนใจกับร้านแกลลอรี่เล็กๆแห่งนี้เลยสักนิด ก็นะ งานศิลปะมันเอาไว้ดู มันกินไม่ได้ใครหน้าไหนจะสนใจล่ะ
เขานั่งเฝ้าอยู่ในรถจนหมดวัน ก็ยังไม่เห็นมีลูกค้าเข้าร้านซักคน จนกระทั่งลูกน้องมาสับเปลี่ยน เขาจึงได้ขับรถกลับบ้านไป
รุ่งเช้า เขาก็ไปเฝ้าใหม่ เฝ้าอยู่อย่างนี้จนถึง 6 วัน ก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆเลย ขณะที่กำลังนั่งเฝ้าอยู่ จู่ๆ ผู้การฯชัยยศก็โทรมาสั่งว่า “คุณไปดูที่บ้านอาจารย์วสันต์ที ญาติเขาแจ้งความกับตำรวจว่าอาจารย์กับภรรยาหายไป ติดต่อไม่ได้ ผมจำได้ว่าสองคนนี้คุณบอกว่าเป็นลูกค้าร้านดรีมแกลลอรี่นี่น่า”
“อะไรนะครับ? หายไปเหรอครับ”
“อืม”
“ครับๆ งั้นผมจะรีบไปเดี๋ยวนี้แหละครับ” นัฐพลรับคำสั่งแล้วก็รีบขับรถไปทันที นิมิตราเดินออกมามองอยู่หลังประตูกระจก “ไปแล้ว ดี”
แล้วเธอก็เดินกลับไปนั่งกินผลไม้ นั่งจิ้มมือถือเล่นเกมส์ต่อ
เมื่อนัฐพลไปถึงบ้านอาจารย์วสันต์ ซึ่งมีตำแหน่งเป็นถึงรองศาสตราจารย์มหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่ง ช่วงนี้เป็นช่วงปิดเทอมพอดี วสันต์จึงไม่ได้ไปมหาวิทยาลัย นัฐพลจอดรถแล้วเดินเข้าไปในบ้าน ตำรวจท้องที่ก็ยกมือห้าม นัฐพลจึงชูบัตรให้ดู ตำรวจก็เปิดทางให้เข้า “เชิญครับ”
ตำรวจซึ่งทำคดีกำลังสอบปากคำญาติของวสันต์อยู่ นัฐพลจึงเดินเข้าไปยืนฟังอย่างเงียบๆ อรุณ ซึ่งเป็นพี่สาวของวสันต์ก็ให้ปากคำว่า “คือ วันนี้ป้ากับสันต์นัดกันไว้ว่าจะเอากระดูกหลานทรไปลอยอังคารกันน่ะ แต่ป้าโทรหาสันต์กับอรไม่ติดก็เลยมาตามนี่แหละ ปกติสันต์น้องชายป้าไม่ใช่คนเหลวไหลนะ นัดเป็นนัด จะติดธุระอะไรก็ต้องโทรบอก แต่นี่กลับติดต่อไม่ได้ ป้าเปิดบ้านมาก็เห็นรถจอดอยู่ จะว่าไปไหนมันก็ไม่ใช่ล่ะ...”
นัฐพลฟังญาติให้ปากคำ แล้วขยับไปกระซิบถามตำรวจที่อยู่ใกล้ๆ “พบอะไรไหมครับ?”
ตำรวจเหลือบมอง เขามองบัตรที่ห้อยคอเห็นยศใหญ่กว่าตัวเอง จึงตอบว่า “ไม่พบร่องรอยงัดแงะรื้อค้นเลยครับ”
“อ่อ” นัฐพลพยักหน้ารับรู้ แล้วตำรวจอีกคนก็มากระซิบกระซาบกับตำรวจคนที่เขาถาม “พบกระเป๋าสตาง มือถือ กุญแจรถของเจ้าของบ้านอยู่ในห้องนอนครับ ไม่มีร่องรอยการงัดแงะครับ”
“อืมๆ” ตำรวจพยักหน้ารับรู้ นัฐพลจึงขยับไปกระซิบว่า “ผมขอเดินดูรอบๆบ้านหน่อยนะครับ”
“เชิญครับ” ตำรวจพยักหน้า นัฐพลจึงเดินดูสถานที่ สำรวจตรวจตราราวกับกำลังสแกนหาวัตถุต้องสงสัยทุกตารางนิ้วเลยทีเดียว บ้านเป็นระเบียบเรียบร้อย ข้าวของวางเรียงเป็นระเบียบ เขาเดินดูไปเรื่อยๆ ดูในบ้านจนทั่วแล้วจึงเดินไปดูรอบๆบ้าน เมื่อไปถึงสวนเล็กๆหลังบ้าน สายตาก็สะดุดกับรูปปั้นสีขาว 3 ตัวบนโต๊ะหิน เขาเดินเข้าไปดูรูปปั้นอย่างแปลกใจ เพราะรูปปั้นสีขาว ดูไม่ค่อยเข้ากับโต๊ะปูนเลยสักนิด เขาสะดุดตากับรูปปั้นตัวเล็กที่สุด จำได้ว่าคล้ายกับจะเคยเห็นมาก่อน พลัน! เขาก็นึกออก รีบหยิบมือถือมาเปิดคลิปที่ลูกน้องส่งมาให้
ครั้นดูคลิปจบ เขาก็หยุดภาพในคลิปเอาไว้ แล้วเอามือถือไปเทียบกับรูปปั้น “อืม เหมือนกับตัวในคลิปเลย”
เขามองภาพในมือถือกับรูปปั้นสลับไปสลับมา “งั้น นี่ก็เป็นรูปปั้นตัวนั้นที่มาจากร้านดรีมแกลลอรี่ซินะ”
เขาหันไปมองรูปปั้นอีก 2 ตัว ขมวดคิ้ว “ว่าแต่ อีกสองตัวนี่ล่ะ?”
เขามองรูปปั้นสลับไปสลับมา แต่มองจนตาแทบถลนก็ยังหาคำตอบไม่ได้ ในที่สุดเขาก็คิดว่า “ถ้างั้นคงต้องไปตามเด็กนั่นมาถามล่ะกัน”
คิดแล้ว เขาก็รีบเดินไปที่รถ ขับออกไปอย่างว่องไว เมื่อไปถึงร้านดรีมแกลลอรี่ เขาก็จอดรถหน้าประตูร้านเลยทีเดียว แล้วผลักประตูเข้าไป นิมิตราเงยหน้ามอง “สวัสดี...”
ยังพูดไม่ทันจบประโยค มือก็ถูกคว้าแล้ว
“ไปกับผมหน่อย” นัฐพลพูดพลางดึงข้อมือนิมิตราให้ลุกขึ้น นิมิตราทำหน้างง “เฮ้ๆ อะไรกันคะคุณตำรวจ? อยู่ๆก็มาจับมือถือแขนกันแบบนี้น่ะ อยากโดนเรียกค่าสินสอดรึไงคุณ!”
“ไปกับผมก่อน” นัฐพลบอกอย่างใจร้อน นิมิตราขืนตัวไว้ “ไปไหน?”
“ไปบ้านคุณวสันต์” นัฐพลบอก นิมิตราบิดข้อมือพยายามให้หลุดจากอุ้งมือเขา “ไปทำไม?”
“จะไปดีๆหรือจะให้ผมจับ” นัฐพลพูดเสียงเข้มอย่างหงุดหงิด นิมิตราลอยหน้าลอยตาถาม “จับอะไร? พูดให้ชัดๆนะคุณตำรวจ จะมาขอจับนมจับก้น ไม่ได้นะ อยากโดนข้อหาลวนลามก็ลองจับดูซิ ร้านฉันมีกล้องนะคุณ”
เธอชี้ไปที่กล้องวงจรปิดตรงมุมห้อง นัฐพลหน้ากระตุกยึกๆ ปากกวนๆแบบนี้มันน่าสั่งสอนชะมัด!
ทั้งสองจ้องตากันเขม็ง จนในที่สุดนัฐพลก็เป็นฝ่ายพูดว่า “ไปช่วยผมหน่อยเถอะนะ พลีสสสส”
“ช่วยอะไรล่ะ?” นิมิตราถามน้ำเสียงอ่อนลง นัฐพลถอนหายใจเฮือก อธิบายว่า “คือที่บ้านคุณวสันต์ผมเห็นรูปปั้น 3 ตัว ผมเลยอยากให้คุณไปช่วยดูหน่อยว่า รูปปั้น 3 ตัวนั่นเป็นของที่ซื้อไปจากร้านคุณใช่ไหม?”
“ฉันจำได้ว่าคุณวสันต์ซื้อรูปปั้นจากร้านฉันไปตัวเดียวนะ” นิมิตราพูดอย่างมั่นใจ
“งั้นคุณช่วยไปดูหน่อยว่า ตัวไหนเป็นของร้านคุณ” นัฐพลบอกพลางรั้งข้อมือ นิมิตรามองมือตัวเองที่ถูกจับ นัฐพลจึงยอมปล่อยมือ แล้วผายมือเชิญ “เชิญครับ”
นิมิตราจึงเดินไปด้วยท่าทางราวกับเป็นนางพญาผู้สูงส่ง นัฐพลมองท่าทางแบบนั้นแล้วรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกกดให้กลายเป็นบ่าวยังไงอย่างงั้น แต่เขาก็จำใจข่มความรู้สึกไม่ค่อยพอใจลงไป นิมิตราเดินไปถึงข้างรถ ใช้สายตาสั่ง นัฐพลหน้ากระตุกยึกๆ แต่ก็ขยับไปเปิดประตูรถให้ นิมิตรายิ้มให้ด้วยรอยยิ้มที่เสแสร้ง พูดว่า “ขอบคุณค่ะ”
เธอเข้าไปนั่งในรถ นัฐพลจึงปิดประตูรถแล้วรีบเดินไปนั่งหลังพวงมาลัย ขับรถออกไป ระหว่างทาง ทั้งสองไม่ได้พูดคุยอะไรเลย นิมิตรามองตรงไปข้างหน้า นั่งนิ่งราวรูปปั้น มีเพียงดวงตาที่กะพริบเป็นบางครั้งเท่านั้น นัฐพลเหลือบมอง คิดในใจว่า ถ้าเธอเป็นรูปปั้นก็เป็นรูปปั้นที่สวยงามมาก
จนกระทั่งไปถึงบ้านวสันต์ นัฐพลจอดรถแล้วก็รีบเดินไป แต่พอหันไปเห็นเธอไม่เปิดประตูลงมา เขาจึงเดินกลับไปเปิดประตูรถแล้วคว้าข้อมือเธอหมับ “มาซิ”
นิมิตรามองมือเขาอย่างไม่พอใจ ใช้สายตาสั่ง นัฐพลปล่อยมือหดมือกลับมา ขยับถอยห่างนิดนึง นิมิตราลุกออกมา ขณะที่ก้าวผ่านเขา กลิ่นหอมก็ลอยเข้าจมูกนัฐพล นัฐพลสูดกลิ่นหอมเข้าไป เขารู้สึกว่าชอบกลิ่นน้ำหอมของเธอมาก นิมิตราเดินไปเจ็ดแปดก้าวแล้ว แต่นัฐพลยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม เธอจึงดีดนิ้วทีหนึ่ง เสียงดีดนิ้วทำให้นัฐพลสะดุ้ง เขากะพริบตาปริบๆ มองไปรอบๆคล้ายคนเพิ่งตื่นจากห้วงฝัน นิมิตราพูดว่า “ยืนเหม่ออะไรของคุณ? รีบมาซิ ฉันจะได้กลับไปเล่นเกมส์ต่อ”
นัฐพลหันไปมอง แล้วปิดประตูรถ จากนั้นก็เดินนำเธอเข้าไปในบ้านวสันต์ ตำรวจท้องที่กำลังเดินถ่ายรูป ถ่ายคลิปเก็บหลักฐานกันอยู่ เมื่อเห็นตำรวจจากส่วนกลางมาจึงไม่ได้ขัดขวางอะไร เพราะก่อนหน้านี้ผู้กองเจ้าของคดีก็ได้รับโทรศัพท์จากเจ้านายแล้วว่าจะมีตำรวจจากสำนักงานตำรวจฯมาร่วมทำคดีด้วย ส่วนรายละเอียดที่ว่าทำไมต้องมีตำรวจจากส่วนกลางมาร่วมทำคดี เจ้านายก็ไม่ได้บอก
นัฐพลเดินนำไปหลังบ้าน นิมิตราเดินตามไป แต่พอเห็นรูปปั้นตากแดด เธอก็เบิกตากว้าง “ตายแล้ว! ทำไมเอามาตากแดดตากลมแบบนี้ล่ะ? เสียของหมด ทั้งๆที่เตือนแล้วเตือนอีกก็ไม่ฟังคำเตือนเลย”
เธอรีบเดินเข้าไปในบ้าน ค้นหาผ้าผืนใหญ่ๆได้ 3 ผืนก็รีบเอาไปคลุมรูปปั้นทั้ง 3 รูป นัฐพลยืนดูเฉย จับสังเกตทุกการกระทำของนิมิตรา จนเธอคลุมรูปปั้นเสร็จก็ถามว่า “ทำไมต้องคลุมด้วยล่ะ? รูปปั้นตั้งโชว์ในสวน จะตากแดดตากลมบ้างก็ไม่เป็นอะไรอยู่แล้วนี่”
“ใครว่าเป็นรูปปั้นตั้งโชว์ในสวนล่ะ นี่เป็นรูปปั้นตั้งในบ้านต่างหาก ถ้าตากแดดตากลมบ่อยๆ ผิวรูปปั้นก็เสียหมดซิคุณ” นิมิตราบอก นัฐพลพยักหน้าเข้าใจ “อ่อ”
แล้วเขาก็ถามว่า “ถ้างั้นคุณช่วยบอกผมหน่อยว่ารูปปั้นตัวเล็กนั่นใช่ของร้านคุณใช่ไหม? แล้วอีกสองตัวนี่ล่ะ? คุณวสันต์ซื้อมาจากร้านคุณรึเปล่า?”
นิมิตราพยักหน้า “ตัวนั้น คุณวสันต์ซื้อมาจากร้านฉันจริง ส่วน 2 ตัวนี้ไม่ใช่ แต่ถ้าจะขายคืนทางร้านฉันก็จะรับซื้อคืน แต่ก็ต้องหักค่าเสียหายตามราคานะคะ”
ประโยคหลังเธอจงใจพูดให้ญาติของวสันต์ได้ยิน ซึ่งพี่สาวของวสันต์กำลังเดินมาทางนี้กับตำรวจคนหนึ่ง อรุณพอได้ยินก็รีบเดินมาทันที “อุ้ย คุณจะรับซื้อรูปปั้นใช่ไหมคะ?”
“ค่ะ” นิมิตราพยักหน้ารับ รีบหยิบนามบัตรยื่นให้ “ร้านดรีมแกลลอรี่ค่ะ”
อรุณรับนามบัตรไปมองดูแล้วก็เก็บนามบัตรใส่กระเป๋ากางเกงเอาไว้ หันไปมองรูปปั้นที่ถูกผ้าคลุมเอาไว้แล้ว ก็เบนสายตากลับมามองนิมิตรา พูดว่า “รูปปั้นอะไรก็ไม่รู้ ไม่รู้สันต์จะซื้อมาทำไม ดูน่าขนลุกพิกล”
“ถ้าจะขายคืนก็ติดต่อมานะคะ” นิมิตรายิ้มให้ อรุณพยักหน้ารับ “ค่ะ”
ตำรวจก็ถ่ายรูปถ่ายคลิปเก็บหลักฐาน ครั้นถ่ายเสร็จก็หันมาพูดกับญาติเจ้าของบ้านว่า “เสร็จแล้วครับ”
อรุณจึงพาตำรวจเดินไปถ่ายคลิปเก็บหลักฐานที่อื่นต่อ นิมิตราหันไปพูดกับนัฐพลว่า “หมดธุระแล้ว งั้นฉันกลับล่ะ”
พูดแล้วก็เดินไปเลย นัฐพลกะพริบตาปริบๆ “เฮ้ คุณ รอผมด้วย”
เขารีบเดินตามเธอไป พอตามทันก็คว้าข้อมือหมับ นิมิตราชะงัก หันไปมองมือเขาอย่างถือตัว ใช้สายตาสั่ง นัฐพลจึงปล่อยมือ พูดว่า “เดี๋ยวผมไปส่ง”
นิมิตราจึงเดินไปที่รถเขา นัฐพลตามมาเปิดประตูรถให้ นิมิตราก้าวไปนั่งในรถ นัฐพลปิดประตูรถให้แล้วเดินไปนั่งหลังพวงมาลัย จากนั้นก็ขับรถไปส่งนิมิตรา ระหว่างทาง ทั้งสองก็ไม่ได้พูดคุยอะไรกันเลยจนกระทั่งถึงร้าน เมื่อรถจอดสนิทหน้าประตู นิมิตราก็เปิดประตูรถลงไปทันที แล้วเดินเข้าร้านไปเลย นัฐพลมองตามอย่างหงุดหงิด แต่พอนึกถึงเรื่องงาน เขาจึงขับรถกลับไปที่บ้านของวสันต์อีกครั้ง
เมื่อไปถึง เขาก็ตั้งหน้าตั้งตาทำงาน ซักถามตำรวจท้องที่อย่างละเอียดยิบ รวมทั้งเดินไปสอบถามเพื่อนบ้านข้างๆ รวมทั้งระแวกใกล้เคียงเท่าที่จะสอบถามได้ เขาถาม ถาม ถาม จนได้ข้อสรุปว่า เห็นวสันต์กับบังอรครั้งสุดท้ายก็คือเมื่อ 6 วันที่แล้ว หลังจากนั้นก็ไม่มีใครเห็นสองผัวเมียคู่นี้อีกเลย หลังจากสอบปากคำเพื่อนบ้านเสร็จแล้ว ขอไลน์ตำรวจท้องที่เสร็จ นัฐพลก็กลับไปเรียบเรียงคดีที่สำนักงาน
คดีนี้ก็กลายเป็นคดีที่มีคนสูญหายอีกคดีหนึ่ง นัฐพลเร่งอ่านข้อมูลแทบไม่หยุดไม่พักเลยทีเดียว
ระหว่างที่ตำรวจกำลังสืบคดี อรุณก็จัดแจงขนย้ายทรัพย์สินมีค่าของน้องชายกับน้องสะใภ้ไปเก็บไว้ที่บ้านตัวเองก่อน เพราะกลัวว่าโจรจะเข้ามางัดแงะขโมยของ ส่วนรูปปั้น 3 ตัวนั้น เธอก็ติดต่อร้านดรีมแกลลอรี่ตามนามบัตรที่ได้มา
เมื่อไปถึงร้าน ก็พบพนักงานสาวสวยยืนเปิดประตูต้อนรับ “เชิญค่ะ คุณอรุณ”
อรุณเดินเข้าไปในร้าน ราตรีก็ปิดประตูแล้วหันไปผายมือเชิญ “เชิญนั่งก่อนค่ะ”
อรุณนั่งลง มองไปรอบๆร้าน รู้สึกปลอดโปร่งใจเป็นพิเศษ กลิ่นหอมอ่อนๆทำให้เธอรู้สึกสดชื่นมากทีเดียว เมื่อมองหาที่มาของกลิ่นหอมก็พบว่ามาจากดอกไม้สดที่จัดใส่แจกันตั้งตามมุมต่างๆอย่างสวยงาม ดอกมะลิซ้อนให้กลิ่นหอมเย็นสดชื่น จนเธอคิดว่ากลับไปคงต้องหาต้นมะลิมาปลูกที่บ้านบ้างแล้ว จะได้ตัดดอกมาใส่แจกันเหมือนอย่างนี้บ้าง แม้ไม่สวยฉูดฉาด แต่ให้กลิ่นหอมสดชื่นดีจัง
“รอซักครู่ค่ะ เดี๋ยวท่านก็มาแล้วค่ะ” ราตรีบอก พร้อมกับวางชาร้อนตรงหน้าแขก อรุณพยักหน้า “ขอบคุณค่ะ”
เธอยกชาขึ้นจิบ นิมิตราก็เดินออกมาจากด้านใน ยิ้มแย้มทักทายแขกว่า “สวัสดีค่ะคุณอรุณที่ติดต่อมาว่าจะขายรูปปั้นคืนใช่ไหมคะ?”
“ค่ะๆ” อรุณรีบพยักหน้ารับ นิมิตรานั่งลง ราตรีก็ขยับมาส่งแฟ้มเอกสารให้ “สัญญาซื้อขายของคุณวสันต์ค่ะท่าน”
“ขอบใจ” นิมิตรารับแฟ้มมาเปิด แล้วก็เลื่อนแฟ้มไปตรงหน้าอรุณพูดว่า “คือถ้าจะขายคืน ทางร้านหักค่าซื้อคืน 20% ค่ะ รวมกับค่าเสียหายที่ลูกค้าเอารูปปั้นไปตั้งตากแดดอีก 10% ค่ะ รวมเป็น 30% จากราคาตามสัญญาค่ะ”