ตอนที่ 4
เวลาผ่านไปเนิ่นนานหลายชั่วโมงฉันก็ถูกนำตัวมาขังไว้ในห้องๆ หนึ่ง ที่ดูเหมือนจะเป็นโรงแรมหรูหราระดับห้าดาวที่ไหนสักที่ในประเทศไทย
“เธอนอนอยู่ในห้องนี้แหละ พรุ่งนี้เราจะออกเดินทางกันแต่เช้า อย่าคิดที่จะหนี เพราะยังไงเธอก็หนีไปไหนไม่ได้อยู่ดี ที่นี่น่ะถิ่นฉันจำไว้ด้วย ถ้าอยากสมองไหลก็ลองดู” จบประโยคนั้นร่างสูงบึกบึนก็เดินออกไปจากห้อง ฉันได้ยินเสียงกุกกักอยู่ด้านหน้าประตู สถานการณ์แบบนี้ก็คงไม่พ้นเอาโซ่มาคล้องล็อคหน้าห้องเอาไว้แน่ๆ
เอะอะก็ดีแต่พูดขู่ คิดว่าฉันกลัวนักหรือไง?
ใช่...ฉันกลัว กลัวจนอยากจะปล่อยโฮให้น้ำตามันไหลพรากออกมาให้รู้แล้วรู้รอด แต่อีกใจก็อยากจะทำตัวให้เข้มแข็ง เพราะฉันคิดว่ายังไงฉันก็ต้องรอดจากเหตุการณ์บ้าๆ นี้ไปให้ได้
แต่ก็ดูเหมือนว่าจะทำได้เพียงแค่คิด ป่านนี้เต้จะรู้ถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้นหรือเปล่า และเขาจะตามหาฉันไหม
พอคิดถึงใบหน้า และรอยยิ้มอ่อนโยนของเขาดวงตากลมโตของฉันก็รื้นไปด้วยหยาดน้ำตา
เท้าเล็กทั้งสองข้างของฉันก้าวตรงไปที่เตียงขนาดใหญ่ แล้วปีนป่ายขึ้นไปนอนขดตัวอยู่บนนั้น
“ฮึก...” เสียงสะอื้นไห้ดังเล็ดรอดออกมาจากลำคอ ฉันนอนร้องไห้อยู่บนเตียงอย่างนั้นโดยไม่รู้ว่าตัวเองเผลอหลับไปตอนไหน
รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่มีฝ่ามือของใครสักคนกำลังเขย่าร่างกายของฉันอย่างรุนแรง ฉันสะดุ้งตื่นและลืมตาเบิกโพลง
นึกดีใจที่คิดว่าเหตุการณ์ทุกอย่างมันเป็นเพียงแค่ความฝัน แต่พอเบี่ยงหน้าหันไปมองคนที่เขย่าปลุกฉัน...ทุกอย่างมันก็พังลง
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้เป็นเรื่องจริง ไม่ใช้สแตนด์อินใดๆ
“แดก...กินข้าว”
เขาคงจะพึ่งรู้ตัวว่ากำลังคุยอยู่กับผู้หญิง ถึงได้รีบเปลี่ยนคำพูดใหม่ให้มันหยาบคายน้อยลง
“ฉันไม่หิว ฉันอยากออกไปจากที่นี่ พวกคุณจับตัวฉันมาทำไม ฉันยังไม่เคยไปทำอะไรให้พวกคุณเลยนะ” ฝ่ามือบางยันตัวลุกขึ้นนั่งเพื่อเผชิญหน้ากับเขา ก่อนจะปฏิเสธออกไปด้วยน้ำเสียงอ่อนเพลีย พร้อมกับบอกความต้องการที่แท้จริงของตัวเองออกไป
จนป่านนี้แล้วฉันก็ยังไม่รู้คำตอบเลย ว่าทำไมพวกเขาถึงจับฉันมาแบบนี้
ฉันเองก็ไม่เคยไปเหยียบเท้าใครเขาเข้าซะหน่อย ไม่เคยแม้แต่จะมีเรื่องมีราวกับใครด้วยซ้ำ
“เธอไม่เคย แต่พ่อเธอทำ”
“พ่อฉันทำอะไรพวกคุณ” คิ้วของฉันเริ่มที่จะขมวดเข้าหากันจนแทบจะผูกเป็นปมกลางหน้าผากมน
มันไม่ใช่เรื่องเลยนะที่ฉันต้องกลายมาเป็นคนรับผลกรรมทุกอย่างที่พ่อเป็นคนก่อ
“เป็นลูกภาษาอะไร ทำไมถึงไม่รู้ว่าพ่อตัวเองติดหนี้นอกระบบเป็นสิบๆ ล้าน”
“คะ...คุณพูดว่าอะไรนะคะ” หูของฉันถึงกับอื้ออึงไปชั่วขณะ พยายามบอกตัวเองว่าฉันแค่ฟังผิดไป
มันต้องไม่ใช่แบบนั้นสิ...
“พ่อเธอเป็นหนี้นายฉันสิบล้านบาท” เขาพูดย้ำให้ฉันอีกครั้งอย่างชัดถ้อยชัดคำ จนฉันได้ยินเต็มสองหู
ยังดีที่ฉันยังนั่งอยู่บนเตียง ไม่อย่างนั้นคงได้ทรุดล้มลงตรงหน้าเขาเป็นแน่
ฉันไม่เข้าใจว่าพ่อกู้เงินไปใช้อะไรเยอะแยะขนาดนั้น และที่ไม่เข้าใจมากที่สุดก็คือทำไมฉันต้องกลายมาเป็นคนที่รับผลการกระทำของพ่อ
“ถ้างั้นคุณก็ไปเคลียร์กับพ่อของฉันเองสิคะ ทำไมต้องมายุ่งอะไรกับฉัน เงินสักบาทของพวกคุณฉันยังไม่เคยแม้แต่จะได้แตะเลยด้วยซ้ำ”
หวังว่าคงจะไม่มีใครคิดว่าฉันเป็นลูกอกตัญญูหรอกใช่ไหมที่ฉันพูดแบบนี้ ทุกอย่างมันคือเรื่องจริง ที่ฉันพูดไม่มีประโยคไหนที่ฉันโกหกเขาเลย
เงินทุกบาทที่ฉันใช้ร่ำเรียนและใช้ดำรงชีวิตก็ต่างเป็นเงินเก็บของแม่ที่เก็บออมเอาไว้ให้กับฉัน บางส่วนฉันก็หาทุน และรับจ้างทำงานเล็กๆ น้อยๆ ตามความสามารถของตัวเองเพื่อให้ได้เงินมา
เงินของพ่อ ท่านก็ใช้อยู่คนเดียว ก็ไม่เห็นว่าฉันจะมีส่วนได้ตรงไหน เห็นแต่มีเสียกับเสีย
“เหอะ! นี่ยังไม่รู้ตัวอีกหรือไงว่าพ่อที่แสนดีคนนั้นมันขายเธอให้กับนายฉันแล้ว ไม่สิ...เธอน่าจะได้เป็นของเฮียฉันมากกว่า” เขาแค่นเสียงหัวเราะออกมาจากลำคอแกร่งอย่างเยาะเย้ย
เหนืออื่นใดสิ่งที่ทำให้ฉันรับไม่ได้มากที่สุดก็คือประโยคที่ว่าพ่อ ‘ขาย’ ฉันให้กับพวกของเขาแล้ว
อย่างที่พ่อบอก ว่าแค่ทำให้ฉันเกิดมานั่นก็ถือว่าท่านคือเจ้าของชีวิตของฉันแล้ว ว่าแต่...มันใช่เหรอ?
“งั้นฉันจะใช้หนี้ทั้งหมดแทนพ่อเอง คุณปล่อยฉันได้แล้ว ฉันจะพยายามหาเงินมาใช้หนี้พวกคุณให้เร็วที่สุด” ฉันพูดต่อรองกับเขาอีกครั้ง ซึ่งหลังจากที่พูดออกไปแบบนั้นเสียงหัวเราะของเขาก็ระเบิดออกมาจนดังลั่นห้อง
ดูเหมือนว่าเขาจะเห็นความทุกข์ของคนอื่นเป็นเรื่องตลก
“อย่าพยายามเลย กว่าเธอจะใช้หนี้ครบเธอคงไม่ตายก่อนหรอกเหรอหืม? เก็บความพยายามของเธอเอาไว้เถอะ อย่าดิ้นรนให้มาก แนะนำให้เก็บแรงไว้สนุกกับเฮียฉันบนเตียงเถอะคนสวย”
วาจาน่ารังเกียจถูกเปล่งออกมาจากริมฝีปากหนาสีคล้ำ นอกจากรูปลักษณ์ภายนอกจะดูน่ากลัวแล้ว จิตใจของเขามันยังเต็มไปด้วยความสกปรก
“...”
“รีบกินข้าวซะสิ” ฝ่ามือหนายื่นกล่องข้าวมาตรงหน้าของฉัน
ปึก!...แผละ...
“ไม่กิน”
มือบางของฉันตวัดปัดกล่องข้าวกล่องนั้นออกจากฝ่ามือของเขา จนมันล่วงหล่นลงสู่พื้นห้อง
ปกติฉันไม่ใช่คนหยาบคาย แต่พอต้องอยู่ต่อหน้าคนจิตใจต่ำแบบนี้ฉันก็ต้องงัดนิสัยดำมืดของตัวเองออกมาเพื่อต่อสู้กับเขา
“นี่เธอ!!” ดวงตาคมดุจปีศาจร้ายเงยขึ้นมองสบตากับฉัน
แม้จะหวาดกลัวแต่ฉันก็ทำเป็นใจดีสู้เสือแล้วมองจ้องเขม็งเขากลับไป
“...”
“ดี! ไม่แดกก็ไม่ต้องแดก พยศอย่างนี้หวังว่าถ้าไปถึงฮ่องกงเมื่อไหร่คงไม่ตายตั้งแต่วันแรกหรอกนะ” ร่างสูงบึกบึนปรายตามองฉันด้วยหางตา ฝ่าเท้าของเขาเตะกล่องข้าวซ้ำไปอีกทีเพื่อระบายอารมณ์ที่คุกกรุ่น
อาหารที่หล่นบนพื้นอยู่แล้วมันก็ยิ่งกระจัดกระจายเกลื่อนพื้นห้องเลอะเทอะไปอีก
ฉันไม่กลัวหรอกความตาย ถ้าตายก็จบ ไม่ต้องมาทรมานเหมือนอย่างตอนนี้ด้วย
“ฆ่าฉันให้ตายตอนนี้เลยก็ได้นะ”
“เธอเสนอ งั้นฉันสนอง” อาวุธปืนสีดำขลับถูกชักออกมาจากด้านหลังของเขาทันที ปลายกระบอกปืนถูกหันเล็งมาที่ศีรษะของฉัน
คิดในแง่ดี นัดเดียวเอาอยู่ไม่ทรมาน ดังนั้นฉันยอม...
