ตอนที่ 5
เปลือกตาของฉันหลับลงช้าๆ เนื่องจากไม่กล้าพอที่จะมองภาพนั้น แต่เวลาผ่านไปสักพักใหญ่ฉันก็ไม่รับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดเลยสักนิด
“คนที่จะตัดสินชีวิตเธอว่าจะอยู่หรือตายก็คือผู้ชายที่ชื่อว่าวายุ”
ทันทีที่ฉันลืมตาขึ้นมอง ผู้ชายตรงหน้าก็เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น เขาลดปืนลง แล้วเหน็บไว้ด้านหลังตามเดิม ก่อนที่จะเดินออกไปจากห้อง
“เฮ้อ~” ฉันผ่อนลมหายใจออกมาอย่างหมดแรง ทำไมมันถึงได้เหนื่อยนักนะ ขนาดอยากจะตายยังเหนื่อยเลย
นี่ฉันต้องทรมานไปอีกนานเท่าไหร่กัน...
ทั้งคืนนั้นฉันนั่งจมปรักอยู่กับความคิดของตัวเองทั้งคืน กว่าจะหลับอีกครั้งก็เกือบเช้าพอดี พอถึงเวลาที่ต้องออกเดินทางอย่างที่ผู้ชายคนนั้นบอกฉันเอาไว้ ฉันก็ต้องลุกขึ้นจากเตียงเพื่อเดินตามเขาออกจากห้องอย่างเลี่ยงไม่ได้
ร่างกายของฉันมันอ่อนเพลียจนแทบจะทรงตัวไม่อยู่
“ฉันขอทำธุระส่วนตัวก่อนได้มั้ยคะ” ฉันเงยหน้าขึ้นถามร่างสูงบึกบึน หลังจากที่ถูกเขาผลักให้นั่งลงบนโซฟากลางห้อง
“มันเสียเวลา”
และเขาก็ตอบฉันกลับมาทันทีด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด
“แค่ล้างหน้านิดเดียวเองค่ะ”
แต่ฉันก็ไม่คิดที่จะลดละความพยายาม ฉันตั้งใจจะถ่วงเวลาเอาไว้ เพราะถ้าออกเดินทางเมื่อไหร่ฉันคิดว่าอาจจะไม่ได้กลับมาที่ประเทศไทยอีกเลย
ใครเจอแบบนี้เป็นใครๆ ก็ใจหายเหมือนฉันทั้งนั้นแหละ
“ฉันให้เวลาห้านาที ถ้าเกินกว่านี้ฉันจะไปลากเธอออกมา”
“ค่ะ” ฉันลุกขึ้นยืนแล้วนำพาร่างกายอ่อนแรงของตัวเองเดินย่างก้าวเข้าไปในห้องน้ำ
หลังจากที่ล้างหน้าเสร็จเพื่อให้รู้สึกสดชื่นขึ้นฉันก็เดินกลับออกมาหาเขาอีกครั้งที่กลางห้อง
และทันทีที่ออกมาข้อมือบางทั้งสองข้างของฉันก็ถูกรวบเอาไว้ด้วยมือหนาข้างเดียว ก่อนที่จะถูกมัดด้วยเชือกเส้นเดิมเหมือนกับเมื่อวานนี้
“ความจริงคุณไม่ต้องมัดมือฉันไว้ก็ได้นะคะ ยังไงฉันก็หนีไปไหนไม่ได้อยู่ดี” ฉันเอ่ยออกไปอย่างเรียบนิ่งด้วยน้ำเสียงประชดประชัน ถึงฉันจะอยากหนีมากแค่ไหนแต่เวลานี้มันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย
ลูกสมุนของเขาเดินป้วนเปี้ยนขนาดนี้ฉันจะหนีไปไกลได้แค่ไหนกันเชียว เก็บแรงไว้เดินไม่ดีกว่าเหรอ? หรือเก็บแรงไว้ด่าเขาก็น่าจะมีประโยชน์มากกว่า
“ขึ้นชื่อว่าผู้หญิงก็เปรียบเสมือนงูพิษนั่นแหละ ฉันกันไว้ก่อนดีกว่า”
ถ้าฉันเป็นงูพิษงั้นเขาก็คงจะเป็นหมาบ้าสินะ
“ไม่หาอะไรมาปิดปากฉันด้วยเลยล่ะคะ ระวังจะโดนฉกนะ”
“หึ! ใครกันแน่ที่จะโดน” เขาแค่นเสียงหัวเราะออกมา พร้อมกับกระตุกยิ้มที่มุมปาก
นี่เขาคงไม่ใช่ฆาตกรโรคจิตที่แหกคุกออกมาหรอกใช่ไหม...
ตอนแรกฉันนึกว่าเขาจะพาฉันไปขึ้นเครื่องที่สนามบินด้วยซ้ำ แต่ที่ไหนได้...เขากลับพาฉันมาที่ลานจอดเครื่องบินเจ็ทส่วนตัวของพวกเขาที่อยู่ไม่ไกลจากโรงแรมมากนัก
หนทางที่คิดจะหนีก่อนหน้านี้มันริบรี่ แต่ตอนนี้กลับมืดสนิทไร้แสงสว่างทุกหนทาง
ฉันถูกนำตัวขึ้นมานั่งบนเครื่องบิน ด้านข้างก็ร่ายล้อมไปด้วยชายฉกรรจ์นับสิบซึ่งก็เป็นชุดเดียวกับที่เคยเจอที่บ้านเมื่อวานนี้ เบาะทุกที่นั่งถูกจับจองไปด้วยร่างหนาบึกบึนของพวกเขา แค่เห็นฉันก็รู้สึกหายใจหายคอไม่สะดวกแล้ว
ฉันนั่งตัวเกร็งและปิดปากเงียบไปตลอดตั้งแต่ขึ้นเครื่อง จนกระทั่งเครื่องบินลงจอดเมื่อถึงที่หมาย นั่นก็คือประเทศฮ่องกง...
“ลุก” ร่างบึกบึนกระตุกเขียนฉันให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะคุมตัวฉันให้เดินลงจากเครื่องบิน
สภาพของฉันตอนนี้มันเหมือนกับนักโทษไม่มีผิดเลย
“ถ้าแก้มัดให้ฉันคุณก็ไม่ต้องมาลำบากจูงฉันแบบนี้หรอกค่ะ”
แม้ว่าฉันจะไม่ได้ใช้มือเดินแต่ว่าพอถูกมัดไว้แบบนี้มันก็ไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่ จะเดินจะเหินมันก็ลำบาก เขาก็เลยต้องคอยจับแขนฉันเพื่อช่วยพยุงร่างกายอ่อนปวกเปียกไร้เรี่ยวแรงนี้
เขาหันมาปรายตามองฉันด้วยหางตา ก่อนจะหันกลับไปมองทางตามเดิมเหมือนไม่ใส่ใจ ฉันไม่รู้ว่าเขาจะพาฉันไปที่ไหน สิ่งที่ทำได้ก็มีเพียงแค่เดินตามเขาไปอย่างเงียบๆ
แววตาที่เขามองมาเมื่อครู่นี้เหมือนกำลังบอกเป็นนัยว่าให้ฉัน ‘หุบปาก’
พอเดินออกมาจากลานจอดเครื่องบินได้ ร่างบางของฉันก็ถูกจับยัดเข้าไปนั่งในรถเก๋งสีดำคันหรู ดูแล้วท่าทางจะยี่ห้อดัง
ก็แหงสิ มีเงินให้คนอื่นกู้เป็นสิบๆ ล้านแค่ซื้อรถแค่นี้ขนหน้าแข้งเจ้านายเขาคงไม่ล่วงหรอก เผลอๆ อาจจะมีอะไรให้ฉันตะลึงมากกว่านี้ด้วยซ้ำ
อยากจะรู้จริงเชียว ว่าหน้าตาเจ้านายของเขาจะเป็นแบบไหน แต่ก็คงไม่พ้นตาแก่พุงพลุ้ยเหมือนอย่างที่เห็นๆ กันอยู่ในละครหรอกนะ
“ผมใกล้จะถึงแล้วนะครับนาย...” เสียงพูดคุยโทรศัพท์ที่ดังขึ้นทำให้ฉันหันไปมองเขาอย่างสอดรู้ แต่พอไม่มีอะไรที่เอ่ยถึงฉัน ก็เลยหันออกไปมองนอกหน้าต่างตามเดิม
ยิ่งเขาบอกว่าใกล้ถึงฉันก็ยิ่งรู้สึกว่าชีวิตของตัวเองมันเริ่มสั้นลงเรื่อยๆ
ใช้เวลาเดินทางไม่นานรถเก๋งคันหรูก็ขับเข้าไปจอดในบ้านหลังใหญ่ ฉันถูกฝ่ามือหนากระตุกแขนเพื่อให้เดินลงมาจากรถ
ดวงตากลมโตของฉันกวาดมองไปรอบๆ บริเวณอย่างสำรวจ มันกว้างใหญ่มากกว่าบ้านที่ฉันเคยเห็นในละครด้วยซ้ำ ถ้าถามถึงมูลค่าก็คงจะมหาศาลเลยทีเดียว
“ตามฉันมา นายฉันรอเธออยู่”
ข้อมือของฉันถูกปล่อยให้เป็นอิสระ ทันทีที่เชือกหลุดออก ฉันก็มองเห็นรอยแดงเทือกรอบข้อมือของตัวเองได้อย่างชัดเจน
ฉันเดินตามร่างสูงบึกบึนนั้นไปเงียบๆ อย่างสงบเสงี่ยม ทุกย่างก้าวของฉันถูกจับตามองด้วยสายตาคมของชายฉกรรจ์ชุดดำหลายสิบคนที่เดินขวักไขว่กันให้ทั่วบริเวณ
“เดินเข้าไป” ฝ่ามือหนาดันแผ่นหลังของฉันเบาๆ เมื่อเราสองคนเดินมาหยุดอยู่หน้าห้องๆ หนึ่งที่อยู่ด้านในสุด
แกร๊ก!
ฉันหมุนลูกบิด ก่อนจะผลักบานประตูเข้าไปอย่างเชื่องช้า ลมหายใจของฉันสะดุดกึกเมื่อสายตาปะทะเข้ากับดวงตาคมที่กำลังจ้องมองมา
ร่างสูงโปร่งอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินเข้มแขนยาวที่ถูกพับแขนถึงศอกยืดตัวขึ้นยืนเต็มความสูง ปากหนาหยักลึกบิดยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ และแฝงไปด้วยความร้ายกาจ
“นี่เหรอลูกสาวมัน ก็สวยดีนี่หว่า”
ถึงหน้าตาจะหล่อเหลามากแค่ไหนแต่ถ้าพูดจาแบบนี้ฉันก็ไม่ประทับใจอยู่ดี
