11 - ลูกชายเพื่อนแม่
11 - ลูกชายเพื่อนแม่
“ใครโทรมาเหรอ” พริ้มเห็นท่าทีเปลี่ยนไปของเพื่อนทั้งสองคนจึงเอ่ยถามขึ้น
“แม่น่ะ ฉันไปรับสายก่อนนะ” เสียงเล็กตอบแผ่วเบา เธอลากสายตาหันมามองธันวาที่ยังคงเรียบนิ่ง จากนั้นก็ลุกขึ้นแล้วตัดสินใจเดินออกไปรับสายข้างนอก โดยมีสายตาของธันวาที่ทอดมองตามเธอไปด้วยความเป็นห่วง
ตั้งแต่วันที่ถูกตบหน้าเธอก็ไม่ได้คุยกับแม่อีกเลย เธอไม่รู้ว่าแม่โทรหากันทำไม หากเป็นช่วงเวลาปกติเธอคงดีใจที่แม่เป็นฝ่ายโทรหากันก่อน แต่พอตัวเองก่อเรื่องเดือดร้อนเลยกลัวว่าจะโทรมาต่อว่ากันอีก
“ค่ะแม่” กดรับสายก็กรอกเสียงกลับไปทันที
[แกอยู่ไหน]
“มหา’ ลัยค่ะ”
[ฮึ...ยังกล้าบากหน้าไปเรียนอีกเหรอ]
“หรือแม่จะให้บีลาออกล่ะคะ บีไม่เรียนก็ได้” บีน่าตอบประชดเสียงแข็ง รู้ดีว่าแม่ไม่มีทางให้เธอลาออกแน่
หากเธอลาออกก็คงเป็นขี้ปากของใครต่อใครว่าเรียนไม่จบ แล้วยิ่งคนมีหน้ามีตา บูชาภาพลักษณ์เป็นที่หนึ่งอย่างแม่ตัวเองแล้วยิ่งไม่มีทางให้มันเกิดขึ้น
[ฉันจะให้คนไปรับที่มหา’ ลัย]
“ไปไหนคะ”
[เดี๋ยวแกก็รู้เอง]
“แต่ว่า...” บีน่าเอ่ยแย้งแต่มันก็เป็นจังหวะที่สายถูกตัดไปพอดี
เธอกลอกตาเป็นเลขแปด ผ่อนลมหายใจยาวเหยียดพลางกำมือตัวเองแน่นเพื่อระบายความอึดอัดภายในใจที่กำลังก่อตัว
บีน่าไม่ค่อยได้ไปไหนมาไหนกับแม่มากนัก แต่การที่แม่อยากพบตัวเธอวันนี้ก็รับรู้แต่โดยดีเลยว่ามันจะต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่นอน
เธอได้แต่หวังว่าเรื่องที่จะต้องพบเจอต่อจากนี้จะเป็นเรื่องที่เธอรับมือไหว...
รับมือไหวกับผีน่ะสิ!
บีน่าเม้มปากแน่นเมื่อเผลอหลุดสบถคำหยาบออกมากับสิ่งที่เห็นเบื้องหน้า
หลังจากที่คนขับรถมารับหน้าตึกคณะ ตัวรถก็ขับมุ่งสู่ร้านอาหารสุดหรูริมแม่น้ำเจ้าพระยา และเพียงย่างกรายเข้ามาก็เห็นผู้เป็นแม่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามผู้ชายคนหนึ่งที่อายุน่าจะมากกว่าเธอเพียงไม่กี่ปี
บีน่าหยุดฝีเท้าโดยอัตโนมัติ เธอไม่รู้จักและไม่เคยเห็นหน้าผู้ชายคนนั้นแม้แต่ครั้งเดียวหรือเฉียดผ่าน แต่พอมาอยู่ในสถานการณ์แบบนี้เธอก็พอเดาได้ไม่ยากว่าตัวเองกำลังเผชิญอยู่กับอะไร
“อ้าวยายบี มาถึงแล้วทำไมไม่รีบมาล่ะ มานี่สิลูก”
ลูกงั้นเหรอ...
บีน่าแค่นหัวเราะออกมาบาง ๆ พลางหยัดยิ้มหยัน เป็นคำที่หาฟังได้ยากนัก แล้วยิ่งมาจากปากของคนเป็นแม่ที่มาพร้อมรอยยิ้มหวานยินดีนั่นอีก
ตั้งแต่จำความได้บีน่าก็ไม่เคยได้ยินแม่ตัวเองเรียกขานเธอว่าลูกสักครั้ง แต่ก็ไม่แปลกใจเท่าไหร่เพราะแม่เรียกแบบหวังผล
“นั่งนี่เลยจ้ะบีน่า นั่งข้างพี่เขาเลย” เมื่อเห็นว่าบีน่าไม่ยอมเดินมา เธอก็เป็นฝ่ายเดินเข้าไปจับจูงมือของลูกสาวแทน ทั้งยังจัดแจงให้นั่งข้างชายหนุ่มซึ่งเป็นแขกคนสำคัญของวันนี้
หญิงสาวทำตัวอ่อนเป็นตุ๊กตาปล่อยให้แม่หยิบวางได้อย่างสบายใจ ไหน ๆ ก็มาถึงที่นี่แล้วก็ควรทำหน้าที่ของตัวเองไปแล้วเสร็จ
“นี่พี่เทมส์ ลูกชายของเพื่อนแม่เองลูก ส่วนนี่บีน่าลูกสาวน้าเองจ้ะ”
เมื่อจับวางตัวละครมาเจอหน้ากันได้แล้วก็แนะนำตัวให้ทั้งสองฝ่ายได้รู้จักกัน
บีน่ายกมือไหว้คนข้างกายที่อายุมากกว่า ใบหน้ายังคงประดับด้วยรอยยิ้ม หากแต่ภายในใจล้วนมีแต่น้ำตาเพราะเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วว่าแม่เรียกหาเธอทำไมทั้งที่ปกติแล้วแทบไม่อยากเห็นหน้าตัวซวยอย่างเธอ
“น้องบีน่าสวยน่ารักกว่าในรูปอีกนะครับ คิดไม่ผิดจริง ๆ ที่วันนี้ผมมาเจอ” เทมส์กดสายตามองบีน่าอย่างไม่ปิดบังในความรู้สึก ดวงตาของเขาเป็นประกาย บ่งบอกว่ากำลังสนใจลูกสาวของเพื่อนแม่เข้าจริง ๆ
“ขอบคุณค่ะ”
“ใช่ไหมล่ะตาเทมส์ น้าเองก็อยากให้ทำความรู้จักกันไว้ คนกันเองทั้งนั้นแหละเนอะ เผื่ออนาคตข้างหน้าเราสองครอบครัวจะได้เป็นหนึ่งเดียวกัน” คุณหญิงทิพย์เกสรป้องปากหัวเราะ
“เดี๋ยวนะคะ บีว่า...”
“อาหารมาพอดีเลย กินไปคุยไปดีกว่านะจ๊ะ”
คำพูดหยุดฉับพลันเมื่อเสียงของผู้เป็นแม่เอ่ยแทรกขึ้นพร้อมกับแรงเหยียบของรองเท้าส้นสูงที่กดทับลงมาอย่างเต็มแรง
เธอเกือบหลุดเสียงร้องเพราะเจ็บจนน้ำตาไหล แต่พอเชยใบหน้าแล้วสบประสานกับสายตาแข็งกร้าวก็ทำให้เธอจำต้องเก็บกลั้นเอาไว้
“กินเยอะ ๆ นะครับน้องบีน่า อันนี้เมนูโปรดของเราใช่ไหมเห็นคุณแม่น้องบอกพี่” เทมส์บริการตักอาหารให้กับบีน่า รอยยิ้มของเขาฉีกกว้างเปล่งประกาย ผิดกันกับหญิงสาวที่ทำเพียงหยัดโค้งจืดเจื่อนด้วยความขมขื่น
ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่เขาตักให้นั้นคือเมนูอะไร แล้วที่สำคัญแม่เธอไม่เคยรู้ว่าของอาหารโปรดปรานคือเมนูไหน ที่เขาบอกไปก็คงยกอ้างพูดหาเรื่องคุยไปอย่างนั้น
ตลอดมื้ออาหารสำหรับบีน่าเต็มไปด้วยความอึดอัด รอยยิ้มที่ประดับล้วนเกิดขึ้นจากการเสแสร้งแกล้งทำทั้งนั้น เธอได้แต่พร่ำร้องขอให้เวลาแต่ละนาทีเคลื่อนผ่านไปไว ๆ
บีน่าเคยคิดฝันว่าอยากกินข้าวกับแม่สักครั้ง อยากมีช่วงเวลาได้พูดคุยเหมือนแม่ลูกทั่ว ๆ ไปอย่างที่ใครก็ทำกัน ทว่าพออยู่ในสถานการณ์บีบบังคับแบบนี้เธอกลับเลือกที่จะขออยู่ตามลำพังเสียยังดีกว่า
