DANGEROUS LOVE : 03
“ก็ถือซะว่าเป็นการไถ่โทษ เรื่องที่เธอหาคำตอบให้ฉันไม่ได้ก็แล้วกัน”
“.....” ฉันอึ้งไปเลย แบบนี้ก็ได้เหรอ แล้วสรุปคือฉันผิดใช่ไหมเนี่ย ก็พอจะรู้มาบ้างนะ ว่าคุณเขาเป็นคนมึนๆ แต่ไม่คิดว่าจะมึนขนาดนี้
“เอ้า! ยืนเอ๋ออยู่ได้ ฉันจะได้กินข้าวไหมวันเนี่ย”
“อะ...อ๋อค่ะ” ฉันกุลีกุจอตักข้าวใส่จานแบบร้อนรน มือไม้สั่นไปหมด เม้มปากกลั้นยิ้มจนปวดแก้ม นะ...นี่เขากำลังจะลดตัวลงมากินอาหารพื้นๆ ฝีมือฉันจริงๆ เหนือความคาดหมายไปมากเลย
ฉันถือจานข้าวไปบรรจงวางตรงหน้าเขา ก่อนจะถอยออกมาก้าวหนึ่ง เอามือไขว้หลัง ทอดสายตามองไปยังผู้มาเยือนแสนพิเศษ ดีนะที่มื้อนี้ฉันตั้งใจทำสุดฝีมือ อย่างน้อยมันก็น่าจะทำให้ฉันมีอะไรดีขึ้นมาบ้างในสายเขา แค่นี้ก็พอแล้ว…
“ทำไมยืนค้ำหัวฉัน”
เสียงทุ้มปลุกให้ฉันตื่นจากภวังค์ ก่อนจะก้าวขาถอยหลังไปอีกสามก้าวยาวๆ ทีนี้ก็ไม่ค้ำหัวเขาแล้ว
“ยัง!”
ยังอีกเหรอ นี่มันก็ไกลมากแล้วนะ คิ้วบางขมวดเป็นปมอย่างสงสัย แต่ก็ไม่กล้าถามออกไป ทำได้แค่ถอยหลังไปอีกสามก้าว
“ยังอีก”
ฮะ!! ยังอีก ฉันเอี้ยวตัวไปมองด้านหลังตัวเอง ก่อนจะหันกลับมามองคนตัวสูงที่นั่งมองฉันอยู่ที่โต๊ะอาหารโน่น คืออีกก้าวเดียวฉันจะออกไปอยู่นอกห้องแล้วนะ ยังค้ำหัวเขาอยู่อีกเหรอ แต่สุดท้ายฉันก็ถอยไปอีกก้าวจนติดกำแพง
“ยังๆ ยังไม่เดินกลับมานั่งอีก ฉันบอกให้ถอยไปรึไงฮะ!” เสียงทรงพลังแผดขึ้นจนฉันสะดุ้งเฮือก ก่อนเท้าเล็กจะสาวกลับไปที่โต๊ะอาหารลากเก้าอี้ออกมานั่งอย่างไว พลางก้มหน้างุดลงกับจานเปล่าตรงหน้า เอ่ยบอกเขาแบบรีบๆ
“นั่งแล้วค่ะ หนูนั่งแล้ว”
[Warayu Talk]
“เธอนี่มัน...” ผมพูดได้แค่นั้นก่อนจะหลุดยิ้มออกมาแบบไม่รู้ตัวให้กับความไร้เดียงสาของคนตัวเล็กตรงหน้า ที่นั่งก้มหน้างุดพลางหดคอหลับตาปี๋ เหอะ! ยังเด็กบ้าเอ๊ย! จะกลัวอะไรขนาดนั้นไม่เข้าใจ ผมส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนละไปสนใจจานข้าวของตัวเองและอาหารตรงหน้าแทน
ผมก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน ทำไมถึงนึกสงสารยัยเด็กนี่ขึ้นมาตอนที่เธอจะเทอาหารพวกนี้ทิ้ง ผมคิดว่าเธอน่าจะถูกปฏิเสธ แต่ไม่รู้หรอกนะ ว่าเขาคนนั้นเป็น...ใคร คงเป็นคนที่สำคัญมากๆ แววตาเธอเปลี่ยนไปเลยและผมโคตรไม่ชอบแววตาน่าสงสารแบบนั้นของเธอเลย ผมกลับชอบแววตาที่เธอกำลังมองผมอยู่ตอนนี้มากกว่า ไม่สิ...ต้องบอกว่าทุกครั้งเธอจะมองผม แววตาที่เหมือนกับสัตว์เลี้ยงกำลังจ้องมองเจ้าของของมัน ด้วยความซื่อสัตย์และจงรักภักดี ไม่รู้ทำไมผมถึงรู้สึกแบบนั้น สิ่งเดียวที่ผมรู้และมั่นใจมาก คือยัยเด็กนี่ชอบผม คุกกี้นั่นก็คงเป็นของเธอ
ผมไม่ได้โง่ขนาดที่จะดูอาการคนไม่ออกหรอกนะ แล้วยิ่งเป็นยัยเด็กนี่ เก็บอาการอะไรไม่อยู่สักอย่าง ที่มาวันนี้ก็แค่มาตอกย้ำความมั่นใจของตัวเองก็เท่านั้น แต่ที่ผมทำแบบนี้ไม่ได้แปลว่าผมชอบยัยเด็กบ้านี่นะ อย่างผมไม่มีทางชอบยัยเด็กติ๊งต๊องแบบนี้แน่ แค่ตอบแทนความรู้สึกดีๆ ที่เธอมีให้ก็เท่านั้น
แต่การที่มีคนมานั่งจ้องแบบนี้ ผมจะกินข้าวลงได้ยังไงกันเล่า ผมไม่หน้าด้านถึงขนาดจะไม่รู้สึกอะไรเลยไหมล่ะ
“ถ้าไม่เลิกจ้อง ฉันจะกลับ” ผมพูดขึ้นเสียงเรียบพลางวางช้อนลงเหมือนเดิม ทั้งๆ ที่เพิ่งหยิบมันขึ้นมาได้ไม่นาน ก่อนที่คนตัวเล็กจะรีบห้ามผมเป็นพัลวัน
“ยะ...อย่านะคะ อย่าเพิ่งกลับเลยนะคะ ไม่มองแล้วค่ะ ไม่มองแล้วก็ได้”
“งั้นก็ไปตักข้าวมากินซิ ต้องให้บอกทุกอย่างเลยรึไงกัน”
“ค่ะๆๆ”
สิ้นเสียงผม คนตัวเล็กก็รีบลุกไปตักข้าวแล้วกลับมานั่งที่เดิม แต่ไปกล้าเงยหน้ามามองผม ยัยเด็กบ้านี่ทำให้ผมโมโหได้ตลอดเวลาเลยซินะ แต่ในทางกลับกัน เธอก็ทำให้ผมยิ้มได้ด้วย ตลกชะมัด ไอ้ท่าทีกล้าๆ กลัวๆ ของเธอ
เรานั่งกินข้าวกันมาสักพัก โดยที่ยังมีคนแอบมองผมอยู่เป็นระยะ แล้วก็อมยิ้มอยู่คนเดียวเหมือนคนบ้า หึ! แต่ผมก็ทำเป็นไม่สนใจและกินข้าวในจานตัวเองต่อ ปล่อยให้เธอทำอะไรที่อยากจะทำตามสบาย จะว่าไป ฝีมือยัยเด็กนี่ใช้ได้เลยแหละ อร่อยกว่าที่บ้านผมอีกนะเนี่ย เก่งใช้ได้ เห็นต๊องๆ แบบนี้ไม่คิดว่าจะทำกับข้าวแถมทำได้ดีมากซะด้วย
“ชื่ออะไร” ผมหาเรื่องชวนเธอคุย เพราะดูเหมือนเธอจะเกร็งๆ และมันทำให้ผมกินข้าวไม่อร่อย
“เฌอค่ะ เฌอนารีน” เธอตอบ ผมก็ได้แต่พยักหน้าน้อยๆ ก่อนจะกินข้าวต่อ
“หือ นี่อะไร” ผมเอ่ยถามทันทีที่ตักน้ำพริกถ้วยเล็กบนโต๊ะอาหารเข้าปาก เพราะมันอร่อย...อร่อยมาก ผมไม่เคยชอบกินน้ำพริกแบบนี้เท่าไหร่ ส่วนมากมันจะเหม็นแล้วก็เผ็ด แต่สำหรับที่แม่ครัวตัวน้อยนี่ทำ มันทั้งหอมแล้วก็กลมกล่อม ไม่ได้เผ็ดโด่งเหมือนที่ผมเคยกิน
“น้ำพริกอ่องค่ะ คุณชอบเหรอคะ” เสียงเล็กเอื้อนเอ่ยขึ้น แววตาวาววับเป็นประกาย ราวกับว่าเธอปรารถนาและรอสิ่งนี้มาแสนนานยังไงยังงั้น
“อืม ก็อร่อยดีนะ” ผมตอบกลับพลางก้มลงกินข้าวต่อ ความจริงมันก็อร่อยมากแหละ แต่ไม่อยากพูดให้เด็กมันเหลิง
“จริงเหรอคะ เนี่ยเป็นสูตรคุณยายทวดของหนูเอง ที่ไม่มีใครเหมือนแล้วก็ไม่เหมือนใครแน่นอน”
“หึ ขนาดนั้น ทำไมมั่นใจ” ผมถามทั้งที่ปากก็ยังเคี้ยวข้าวตุ้ยๆ
“ก็เพราะว่าหนูใส่ใจลงไปด้วยไงคะ”
ผมชะงักนิดหนึ่ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองคนตัวเล็กตรงหน้า เป็นจังหวะเดียวกับที่เธอก็กำลังมองผมอยู่พอดีเลยทำให้เราสบตากัน อยู่ๆ ใจผมก็เต้นแรงขึ้นแบบไม่รู้สาเหตุ บ้าเอ๊ย!! ผมรีบก้มหน้าหลบสายตายัยเด็กบ้านั่นทันที นี่ผมหวั่นไหวกับคำพูดยัยเด็กบ้านี่เหรอวะ
“เหอะ! ไร้สาระ” ผมพูดว่าเธอเสียงแข็งเพื่อกลบเกลื่อนอาการของที่ผิดปกติของตัวเอง นี่ผมกำลังโดนเด็กหยอดเหรอวะ บ้าไปแล้ว…
“หนูพูดจริงนะคะ หนูใส่ใจกับอาหารทุกจานที่ทำ ไม่ว่าใครจะเป็นคนกินมัน เขาก็ได้ใจจากหนูทั้งนั้นแหละ” เธอเอ่ยขึ้นเสียงพลางส่งยิ้มหวานมาให้ผม และแม่ง!! ทำไมใจกูเต้นแรงนักวะ ยัยเด็กบ้านี่หยอดผมอีกแล้วใช่ไหม แต่ไม่น่า...ใช่ เพราะดูจากท่าทางเธอแล้ว คงพูดแบบไม่ได้คิดอะไร แต่ไอ้ใจจังไรของผมเนี่ย หวั่นไหวตามทำห่าอะไร
“พร่ำเพรื่อเนอะ คงทำให้ผู้ชายกินบ่อยล่ะซิ”
“เปล่าเลยนะคะ คุณเป็นผู้ชายคนที่สองรองจากพ่อ ที่ได้กินอาหารฝีมือหนู”
เออ!!! เอาเข้าไป หยอดเข้าไป ใจนี่แม่งก็กระหน่ำเต้นเข้าไป เอาให้แม่งหลุดออกมาอยู่ข้างนอกเลยไหม เอาให้สบายใจ ผมต้องรีบเปลี่ยนเรื่องก่อนแหละ ก่อนที่ผมใจผมมันจะไหวเอนไปตามคำพูดของยัยเด็กบ้านี่ ผู้หญิงบ้าอะไร...หยอดแบบไม่รู้ตัวก็ทำให้คนอื่นหวั่นไหวได้ เหอะ!
“พอเลยๆ เรียนคณะคหกรรมรึไงเราอะ”
“เปล่าคะ หนูเรียนพยาบาล”
“ฮะ!!” ผมอุทานเสียงหลง พลางเงยหน้ามองคนตัวเล็กแบบคาดไม่ถึง สงสารคนไข้ขึ้นมาเลยกู...แล้วเธอจะไม่ลืมกรรไกรไว้ในท้องคนไข้ใช่ไหม สอบเข้าพยาบาลติดได้ไงวะ ป้ำๆ เป๋อๆ
“อ๊ะ...ทำไมต้องตกใจขนาดนั้นด้วย” เธอตกใจเล็กน้อยกับเสียงผม ก่อนจะเอ่ยถาม
“เพิ่งลงใช่มะ ย้ายคณะเหอะ”
“ย้ายอะไรคะ หนูปีสามแล้วนะ”
“จริง? ฉันนึกว่าเธออยู่ปีหนึ่งซะอีก” ไม่อยากจะเชื่อเลย ยัยนี่ตัวเล็กมากแล้วก็หน้าเด็กมาก ผมคิดว่าเธอเพิ่งเข้ามหาลัยด้วยซ้ำ นี่เธอยี่สิบเอ็ดแล้วเหรอเนี่ย
“หนูหน้าอ่อนใช่ม้า ใครๆ ก็บอกแบบนั้น” เธอพูดด้วยความภาคภูมิใจ ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ความจริงมันก็ถูกอย่างที่เธอพูดนั่นแหละ แต่ผมก็ไม่วายอยากแกล้งเธอ
“เหอะ! ปัญญาอ่อนซิไม่ว่า”
“คุณอะ ว่าหนูอีกแล้ว” เสียงเล็กเอื้อนเอ่ยพลางย่นจมูกใส่ผม จนอดที่จะเอื้อมมือไปบีบจมูกเล็กนั่นไม่ได้
“งื้ออออ” มือเล็กจับมือผมออก ก่อนจะก้มหน้าก้มตากับจานข้าวตัวเอง ใบหน้าแดงก่ำไปจนถึงใบหู เธอกำลังเขินผมอยู่ซินะ ทำไมผมถึงมองว่าเธอน่ารักได้วะ ประสาทไปแล้วไอ้ห่าวา หยุดคิดเลยมึง…
…..
…..
พอกินอิ่ม ผมก็เตรียมตัวชิ่งกลับทันที อยู่นานกว่านี้ไม่เป็นผลดีหรอก ความจริงผมก็ไม่แน่ใจว่าการทำแบบนี้มันเหมือนเป็นการให้ความหวังเธอรึเปล่า แต่คิดอีกแง่ เราก็เป็นพี่น้องกันได้นิ และก็ไม่ผิดซะหน่อยที่ผมจะมากินข้าวกับน้องร่วมโลกใช่ไหม ผมรอเธอเก็บจานทำนั่นทำนี่จนเสร็จ ถึงเดินไปบอกเธอที่ยืนหยิบคุกกี้ใส่จานอยู่ตรงเคาน์เตอร์ครัว
“ไปแหละ ขอบใจสำหรับมื้อค่ำ”
[Chernarin Talk]
ฉันหยุดชะงักไปในทันที ก่อนจะเงยหน้ามองคนตัวสูง ที่กำลังจะเดินออกไปจากตรงนี้ ฉันยังไม่อยากให้เขาไปเลย ไวกว่าความคิดคือฉันเอ่ยปากเรียกเขาไปซะแล้ว
“คุณคะ!”
“ว่า” เขาหันกลับมาเลิกคิ้วให้ฉัน
“คุณ...จะมา...เออ...จะมาอีกไหมคะ” ไม่รู้อะไรดลใจให้ฉันถามออกไปแบบนั้น กล้าถามได้ไงเนี่ย เขาจะมองว่าฉันแรดไหม
“หื้มม”
“คะ...คือ หนูหมายถึงคุณจะมากินอาหารฝีมือหนูอีกไหม” ฉันรีบแก้ตัว เหมือนจะดีขึ้นแต่ความหมายก็ไม่ได้ต่างกันสักเท่าไหร่ มันก็คือการชวนเขามาห้องอยู่ดี
“.....” แล้วเขาก็เงียบไปเลย ส่วนฉันนี่ไม่กล้าเงยหน้ามองด้วยซ้ำ หยิบคุกกี้มาใส่ปากแก้เก้อแต่ยังไม่ทันได้กัดกิน ก็มีนามใบเล็กยื่นมาอยู่ตรงหน้าฉันซะก่อน
“ถ้าทำกับข้าวแล้วไม่มีใครกิน ก็โทรมาละกัน เสียดายของ”
ฉันเงยหน้ามองเขาแบบไม่เชื่อหูตัวเอง ทั้งๆ ที่ปากก็ยังคาบคุกกี้อยู่แบบนั้น เอื้อมมือหยิบนามบัตรใบนั้นอย่างเลื่อนลอย เขาให้ฉันโทรหาเขาได้อย่างงั้นเหรอ อร๊ายยย...หนูอยากกรี๊ดให้ห้องแตก
“งั้นอันนี้ฉันขอนะ”
ฉันกำลังจะหยิบคุกกี้ออกจากปากเพื่อถามเขาว่าขออะไร แต่มือยังไม่ทันถึงคุกกี้ก็ได้คำตอบซะก่อน ฉันเบิกตากว้างทันทีเมื่อเขาโน้มหน้าลงมาเอาคุกกี้ไปจากปากของฉันด้วยปากเขา ทำให้ริมฝีปากเราสัมผัสกัน จังหวะนั้นเหมือนมีกระแสไฟวิ่งผ่านร่างกาย รู้สึกวูบวาบแปลกๆ ก่อนเขาดึงตัวกลับและเดินเคี้ยวคุกกี้ออกไปจากห้องฉันอย่างสบายใจ แต่ฉันยังอยู่ท่าเดิม เหมือนถูกสตัฟฟ์ไว้ยังไงยังงั้น ใจกระหน่ำเต้นโครมครามไม่หยุด ใบหน้าเห่อร้อนขึ้นมาเหมือนคนจะเป็นไข้ นะ...หนูกำลังจะตาย อร๊ายยยย >//////<