ตอนที่4 : ฝีมือพิงก์
“ใช่ค่ะป้า ร้านพิงก์ขายทองดี แม่ค้าก็สวย อัธยาศัยก็ดี ใคร ๆ ก็แห่มาซื้อร้านพิงก์กันทั้งนั้น ร้านป้าเลยไม่มีคนเข้า เสียใจด้วยนะคะที่ขายไม่ออก”
ที่ฉันพูดใส่ปาว ๆ ก็เพราะนั่นคือป้าแก่ ๆ ที่เปิดร้านขายทองติดกัน รายนั้นชอบแขวะฉันอยู่เรื่อย ถนัดมากกับการพูดแดกดัน ด่ากระแทก ตามประสาคนจีนแก่ ๆ ก็คงอิจฉาแหละที่ร้านฉันใหญ่โตกว่า ขายดีกว่า ส่วนของแกก็แค่ร้านเล็ก ๆ ที่ไม่ค่อยมีคนเข้าไปซื้อสักเท่าไหร่ เดือนหนึ่งขายได้แค่คนเดียวเองมั้ง แต่ที่ไม่เจ๊งไป ก็เพราะเป็นร้านแกเอง ไม่ต้องผ่อนไม่ต้องเช่า แกเลยไม่เดือดร้อนและไม่ยอมย้ายไปไหน
“ทำเป็นปากดี อั๊วเห็นล่ะมีแต่ไอ้พวกเสี่ย ๆ เข้าร้านลื้อไม่ใช่เหรอ สักวันเหอะจะได้เป็นเมียน้อยเขา”
“แหม...ป้ารู้ดีเชียวนะ ฉันจะเป็นเมียน้อยใครไปหนักหัวป้าหรือไง ดีซะอีกฉันยังมีคนเอา ไม่เหมือนป้าแก่แล้วก็ยังไม่มีผัว”
“อีพิงก์!! ปากหมานะแก!!” ป้าแก่ ๆ ง้างมือมาแต่ไกล เหมือนจะเข้ามาตบ ฉันเลยยกมือง้างกลับเตรียมสวน
“เข้ามาค่ะอีแก่...ดูดิว่าใครจะแรงเยอะกว่ากัน”
คนปากเก่งหยุดชะงัก เมื่อเห็นว่าฉันเอาจริง หล่อนเอามือลง ทำหน้าไม่พอใจ “ฝากไว้ก่อนเหอะอีพิงก์” เอ่ยจบก็สะบัดหน้าพรืดเดินกลับเข้าไปในร้าน
“รับฝากก็ต้องมีดอกด้วยนะป้า อย่าฝากนานล่ะระวังตัวเองจะตายก่อนมาเอาคืน” ฉันตะโกนตามหลังเสียงดัง มีเหรอที่ป้าจะไม่ได้ยิน แต่ไม่หันมานะ กลับจ้ำอ้าวรีบเข้าร้านไปเลย
สมน้ำหน้า! อยากมาเล่นกับอีพิงก์ดีนัก โดนถอนหงอกซะบ้างจะได้รู้สึก
ก็อย่างว่าแหละ แถวนี้เป็นย่านดังร้านทองมันเยอะ แถมยังเปิดติด ๆ กันด้วย แต่ใช่ว่าจะขายได้ทุกร้าน พอเห็นว่าร้านฉันขายดี ก็ต้องอิจฉาเป็นธรรมดา แต่คนอย่างอีพิงก์ไม่สนหรอก...จะอิจฉายังไงก็เชิญ...อย่ามายุ่งกับฉันก็แล้วกัน ไม่งั้นอีพิงก์พร้อมไฝว้ทุกคนจะบอกให้
ขณะที่กำลังนั่งทำบัญชีอยู่ชั้นสอง เสียงไลน์กลุ่มก็ดังรัว ๆ ตอนแรกฉันก็ไม่อยากจะสนใจหรอก แต่มันดังต่อเนื่องตั้งห้านาทีแล้ว ก็เลยหยิบมาอ่านสักหน่อย และพอรู้ว่าอีกสามเดือนข้างหน้าจุนโกะจะแต่งงาน เพื่อน ๆ เลยพากันอิจฉาและดีใจ ฉันเองก็เช่นกัน
ฉัน : อิจฉาเว้ย
ส้มโอ : อีพิงก์หายหัวไปไหนมาวะ กว่าจะตอบ
ฉัน : ทำงาน
จุนโกะ : รู้แล้วใช่ไหมว่าฉันจะแต่งงาน
ฉัน : ถึงได้อิจฉาอยู่นี่ไง
ส้มโอ : แต่งก่อนกูอีกนะมึง
เจี๊ยบ : ฉันไปหาแกนะจุนโกะ
จุนโกะ : อีตุ๊ดหาผัวให้ได้ก่อน
ฉัน : 555จริงว่ะ
ส้มโอ : มึงด้วยอีพิงก์ หาผัวให้ได้ก่อน
ฉัน : กูอ่อยไปทั่ว ให้ผู้ชายเสียดายเล่นเว้ย
หนิง : อยากไปนะ
ส้มโอ : ฉันอยากไป แต่ไม่มีเงิน
จุนโกะ : เดี๋ยวให้สามีออกให้ค่ะ
ส้มโอ : แม่งผัวรวยเว้ย
ฉัน : ของฟรีฉันไปแน่
จุนโกะ : ว่าแล้วพวกแกต้องเห็นแก่ของฟรี
ส้มโอ : ใครว่าล่ะ กูอยากโดนญี่ปุ่นเสียบหรอก
ฉัน : กูก็อยากโดน
จุนโกะ : มาก็เก็บนอด้วยนะ เดี๋ยวแขกจะตกใจ
ฉัน : กำหนดวันยังจุนโกะ
จุนโกะ : ยังไม่แน่นอน
ส้มโอ : ได้วันแน่นอนแล้ว บอกพวกเราอีกทีนะ
จุนโกะ : ได้ๆ
ฉัน : ฉันทำบัญชีก่อน
เจี๊ยบ : แม่คนขยัน
อีกสามเดือนจุนโกะจะแต่งงานที่ญี่ปุ่น ฉันเลยต้องรีบเคลียร์งานทำบัญชีให้เสร็จ เพื่อให้ว่างเพราะตอนนั้นจะได้ไปญี่ปุ่นถือเป็นการเที่ยวพักผ่อนในตัวด้วย
พอจับโทรศัพท์ก็ทำให้นึกถึงผู้กองคนเมื่อคืน ว่าแล้วก็กดโทรไปหาเขาสักหน่อย ทว่า...ปลายสายกลับตอบมาว่า “ไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้” ตกลงเขาให้เบอร์ปลอมมา หรือรังเกียจฉันที่ยัยส้มโอพูดแบบนั้นออกไป
ช่างเหอะ!! ไว้หาคนในเครื่องแบบใหม่ก็ได้ ไม่ใช่มีเขาคนเดียวสักหน่อย
ว่าแล้วก็ก้มหน้าก้มตาทำบัญชีต่อ จนเสร็จเรียบร้อยก็เดินลงมาชั้นล่าง เห็นลูกค้าสามสี่คนกำลังเลือกซื้อทองอยู่ และหนึ่งในนั้นก็คือผู้ชายวัยกลางคน รูปร่างอ้วนพุงป่อง ผิวสองสี ใส่เสื้อเชิ้ตลายดอกสีเหลือง หนีบกระเป๋าหนังสีดำไว้ใต้รักแร้ ท่าทางออกเป็นเสี่ย กำลังยืนคุยกับนุ่นด้วยสีหน้าจริงใจ ฉันอยากรู้ว่าคุยอะไรกันเลยเดินไปนั่งเก้าอี้ทรงสูงตัวใกล้ ๆ
“เสี่ยพลคะ อันนี้ลายสวยนะคะ แต่งด้วยโซ่ตรงปลายด้วย สาว ๆ ได้ไปต้องดีใจแน่ ๆ”
“แต่งลายนี้มันโปร่ง น้ำหนักมันต้องกลวง ผมไม่เอาหรอก” เขาจับกำไลทองวางไว้บนฝ่ามือ แล้วยกขึ้นลงเบา ๆ ราวกับกำลังชั่งน้ำหนัก นุ่นคว้าสร้อยกลับมา พร้อมกับส่งยิ้มให้ลูกค้า
“เดี๋ยวนุ่นชั่งให้ดูอีกทีนะคะ” เธอเอาทองวางไว้บนเครื่องชั่งขนาดเล็ก ซึ่งหน้าจอแสดงน้ำหนักทอง1.89กรัม นั่นหมายถึงหนักครึ่งสลึง
“เห็นไหมคะเสี่ย ทองเสียกำเหน็จลายไปนิดหน่อยเอง”
“ไม่เอาล่ะดูลายอื่นดีกว่า ผมไม่ชอบมันจริง ๆ”
“ได้ค่ะ งั้นเอาลายใบไม้ไหมคะ ตอนนี้กำลังฮิตเลย” นุ่นหยิบอีกเส้นส่งให้ลูกค้า แต่เขากลับปฏิเสธไม่หันไปมองสักนิด
ผ่านไปเกือบยี่สิบนาที เขาก็ยังไม่ถูกใจสักที ลูกค้าคนอื่นที่มาทีหลัง ก็เลือกซื้อเลือกหาจนเสร็จไปแล้ว ในร้านก็เหลือแต่เขานี่แหละ ที่ยังตัดสินใจไม่ได้
ออมเลยหันกระซิบกับฉัน “ก่อนเจ๊ลงมาคนนี้เลือกมาเป็นสิบ ๆ เส้นแล้วนะเจ๊”
“จริงดิ”
“เสี่ยหน้าใหม่ก็งี้แหละเจ๊ เรื่องมากจะตาย นุ่นเอามาให้ดูหมดร้านแล้วก็ยังไม่พอใจ” ออมกระซิบต่อ
“งั้นฉันจัดการเอง”
ฉันลุกจากเก้าอี้ ก้าวเข้าไปยืนข้างนุ่น มองหน้าลูกค้าพร้อมกับยิ้มหวานเห็นไรฟัน ก่อนจะยกมือไหว้งาม ๆ อ่อยจริตจะก้านให้คนเห็นตรึงใจ
“สวัสดีค่ะเสี่ยขา” เสียงอ้อนเรียกเขาด้วยอาการหว่านเสน่ห์
“คุณเป็นใคร”
“ฉันชื่อพิงก์ เป็นคนดูแลร้านนี้ค่ะเสี่ย”
“มาก็ดี ผมดูกำไลพวกนี้แล้วไม่ถูกใจเลยสักเส้น ร้านคุณขนออกมาหมดแล้วเหรอ”
ฉันได้ยินคำถามของคนเสียงแข็ง รู้เลยว่าคนนี้รับมือยาก แต่ถึงมืออีพิงก์ซะอย่าง...รับรองไม่มีรอดมือเปล่าออกไปจากร้านสักราย ว่าแล้วก็หันไปพูดกับนุ่นเบา ๆ
“นุ่นไปพักได้ เดี๋ยวเจ๊ดูแลเสี่ยเอง”
“ได้ค่ะเจ๊” นุ่นก้าวถอยหลังเดินไปนั่งเก้าอี้ทรงสูงที่อยู่ห่างเคาน์เตอร์ที่ฉันยืนอยู่ สายตาพนักงานทั้งสองคนกำลังจับจ้องมาที่ฉันด้วยความสนใจ
“เสี่ยคะ พิงก์ขออนุญาตถามเรื่องเสียมารยาทหน่อย ไม่ทราบว่าเสี่ยต้องการเอาทองไปไหนคะ เอาไปใส่เองหรือว่าซื้อให้ใคร”
“ผมต้องบอกคุณด้วยเหรอ”
“ต้องบอกพิงก์สักนิดค่ะ เพราะพิงก์จะได้รู้จุดประสงค์ แล้วช่วยเสี่ยเลือกได้ยังไงละคะ” ริมฝีปากได้รูปกำลังยิ้มก็จริง แต่ข้างในกำลังด่าไอ้คนเรื่องมากอยู่
“ชิ๊!!” เขาไม่ตอบแต่กลับทำเสียงในลำคอ
“ให้พิงก์เดานะคะ เสี่ยทั้งรวยทั้งหล่อขนาดนี้ อื้ม...คงซื้อไปให้ใครใช่ไหมคะ”
ขวับ!!
เขาหันมาสบตากัน ก่อนจะเอ่ยต่อ
“แหม...ไม่คิดว่าคนดูแลร้านนี้จะปากหวาน แถมยังทายถูกอีก”
ร้อยทั้งร้อยทุกคนชอบให้มีคนชมยกยอปอปั้นกันทั้งนั้น...และไอ้เสี่ยก็เป็นอีกคน ที่ตอนนี้เริ่มเปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มแย้มกับคำพูดของฉัน
“แน่นอนสิคะเสี่ย พิงก์เจอลูกค้ามาเยอะ เรื่องแค่นี้เดาได้ไม่ยาก” ฉันเอ่ยจบก็กระพริบตาข้างเดียวส่งซิกให้ ใบหน้าบึ้งตึงก่อนหน้านี้ก็กลายเป็นยิ้มแฉ่ง อารมณ์ดีผิดไปจากก่อนหน้านี้
“เก่งจริง ๆ น้องพิงก์ลองเลือกมาให้ผมสักเส้นซิ”
นั่นไง!! พออารมณ์ดีเข้าหน่อย สรรพนามที่เรียกกันก็เปลี่ยนทันที
“เอาให้ผู้หญิงวัยรุ่นใช่ไหมคะ คงต้องเลือกลายทันสมัย เก๋ ๆ หน่อย”
เขาเบิกตาโพลง ก่อนจะถามต่อ “รู้ได้ไง?”
“ก็แหม...ระดับเสี่ยหล่อ ๆ แบบนี้ก็ต้องเอาไปให้เด็ก ๆ อยู่แล้ว” ฉันตีแขนเขาอย่างเบามือ เป็นการหยอกล้อเล่นแบบถึงเนื้อถึงตัว ทำให้ลูกค้ารู้ว่าเราสนิทกันระดับหนึ่ง เป็นกันเอง มีอะไรก็พูดกันได้ คราวหน้าเขาจะได้มาใช้บริการกับทางร้านอีก
“ไหน ๆ ลองเลือกมาดูหน่อย”
“ต้องเส้นนี้เลยค่ะ หนัก3บาท น้ำหนักไม่เยอะเกินไป ไม่เบาเกินไป ลายเป็นรูปหัวใจดวงเล็ก ๆ ลายไม่เยอะจะได้ดูไม่แก่ค่ะ” ฉันหยิบกำไลจากอีกถาดมา เขารับไว้และดูอย่างละเอียด พลิกซ้ายพลิกขวา พลิกหน้าพลิกหลัง ราวกับกำลังหาข้อผิดพลาดยังไงยังงั้น
“สามบาทจริง ๆ เหรอ”
“มาค่ะเดี๋ยวพิงก์ชั่งให้ดู” ฉันหยิบสร้อยกลับมา เอามาวางบนตาชั่งให้เขาดูน้ำหนัก
“เห็นไหมคะค่ากำเหน็จเสียไม่เยอะ พิงก์เลือกลายสวย ๆ น่ารักให้เสี่ยโดยเฉพาะ เพราะเห็นว่าเสี่ยจะเอาไปให้น้อง ๆ”
เขาหยิบสร้อยไป พลางจ้องมันด้วยสายตาเป็นประกาย “อื้ม...”
“เสี่ยดูตรงรอยข้อต่อสิคะ ทองเนียนไม่เห็นรอยต่อเลย รับรองไม่มีขาดให้ต้องเสียค่ากำเหน็จเพิ่ม”
“จริงอย่างที่น้องพิงก์ว่า อืม...ตกลงเอาเส้นนี้ก็แล้วกัน ลดราคาให้ผมหน่อยซิ”
“ได้ค่ะเสี่ย เดี๋ยวพิงก์ลดราคาให้เป็นกรณีพิเศษสำหรับลูกค้าใหม่เลย”
ฉันกดเครื่องคิดเลข คิดคำนวณค่าใช้จ่ายทั้งหมด จริง ๆ ก็รู้อยู่แล้วว่าต้องขายเท่าไหร่ แค่ทำเป็นฟอร์มเหมือนจะลดให้เสี่ยก็เท่านั้น กดเลขห้าหลักเรียบร้อยก็หันเครื่องคิดเลขไปให้เสี่ย
“นี่ค่ะ พิงก์ลดราคาให้สุด ๆ แล้ว”
“ไม่ลดอีกหน่อยเหรอ”
“เสี่ยอย่าต่อพิงก์เลยนะคะ พิงก์ลดสุด ๆ แล้วจริง ๆ” ฉันทำเสียงอ้อน กระพริบตาปริบ ๆ ให้เขา
“ก็ได้ ๆ ตกลงผมเอาตามนั้น”
“ขอบคุณค่ะเสี่ย”
“ถ้าไม่ได้น้องพิงก์แนะนำ ผมคงไม่ซื้อหรอก”
“เสี่ยน่ารักที่สุดค่ะ เสียดายมีคนรักซะแล้ว ไม่งั้นพิงก์จะสมัครเป็นคนรักของเสี่ยอีกคน”
“แหม ๆ ไว้ผมเบื่อน้องคนใหม่แล้ว มาหาน้องพิงก์ได้ไหม”
“ได้สิคะ มาบ่อย ๆ นะคะพิงก์จะรอ”
เสี่ยหยิบเงินสดในกระเป๋าที่หนีบอยู่ใต้รักแร้ออกมานับ แล้วส่งเงินมาให้ ส่วนฉันก็ให้เขาตรวจเช็คกำไลอีกครั้ง ก่อนจะใส่ถุงกำมะหยี่สีแดงให้ เมื่อซื้อขายเสร็จเรียบร้อย ก็ยกสองมือไหว้เขาสวย ๆ
“ขอบพระคุณมากนะคะเสี่ยที่อุดหนุนพิงก์”
“แหม ๆ คนขายน่ารักแบบนี้ผมจะมาบ่อย ๆ ก็แล้วกัน”
“ยินดีต้อนรับเสี่ยเสมอค่ะ”
เสี่ยยกยิ้มให้ ก่อนจะเดินออกจากร้านไป พอพ้นสายตา ทั้งนุ่นทั้งออมก็รีบปรี่เข้ามาหาฉัน
“โหเจ๊...โคตรเก่งเลยอะ”
“นุ่นขายตั้งนานเสี่ยไม่สนสักเส้น แต่พอเจ๊มาดันซื้อตั้งแต่เส้นแรก เจ๊เก่งสุด ๆ ไปเลย”
“ธรรมดาจ๊ะ” ฉันเอ่ยตอบพร้อมกับสะบัดผมอย่างมั่นใจหนึ่งครั้ง
“แต่เจ๊ไปอ่อยแบบนั้นจะดีเหรอ”
“ใช่ ๆ ถ้าไอ้เสี่ยนั่นมาหาเจ๊จริง ๆ ล่ะจะทำไง”
“มาก็ดีซิ ฉันจะได้หลอกให้มันซื้อสร้อยอีกหลาย ๆ เส้น”
“เจ๊ร้ายว่ะ”
“เรื่องอ่อย ฉันสู้เจ๊ไม่ได้จริง ๆ”
“อ่อยที่ไหนกัน เขาเรียกว่าเอาใจลูกค้าหรอก ไป ๆ ใกล้จะเย็นแล้ว ไปเก็บทองได้แล้ว จะได้ปิดร้านกลับบ้านกันสักที”
“ค่ะ ๆ”
ทองในร้านที่หนักตั้งแต่1บาทขึ้นไป ฉันจะเก็บรวบรวมขนไปไว้ในตู้เซฟชั้นสาม ซึ่งมีแต่ฉันและป๊าม๊าเท่านั้นที่รู้รหัส ส่วนแผงไหนที่หนักแค่ไม่กี่สลึงก็จะใส่ไว้ในตู้เซฟด้านล่าง ที่มีซี่กรงเหล็กอีกชั้นล็อคไว้
หลังจากที่พวกเราโดนปล้นเมื่อครั้งนั้น ความปลอดภัยในร้านก็มีมากขึ้น ทำทั้งระบบป้องกันสแกนนิ้วมือ ติดกล้องวงจรปิดเพิ่มขึ้น ถึงขนาดจ้างยามมาเฝ้าหน้าร้านทั้งกลางวันกลางคืน ให้ตำรวจสายตรวจมาตรวจทุกสี่ชั่วโมง นับตั้งแต่นั้นก็ไม่มีเรื่องปล้นเข้ามากวนใจอีกเลย
