ตอนที่ 4
แต่...ช่างเรื่องในอดีตของฉันเถอะ ตอนนี้ฉันควรจะหาของที่ฉันลืมเอาไว้ก่อนดีกว่า ไม่รู้เหมือนกันว่าเอาไปวางไว้ตรงไหน
ดวงตากลมโตของฉันกวาดมองไปรอบๆ บริเวณห้องนอน ก่อนที่หางตาจะสะดุดเข้ากับสิ่งที่ตามหา
มือบางของฉันเอื้อมไปหยิบสมุดไดอารี่ที่วางอยู่หน้าโต๊ะคอม ฉันบันทึกความทรงจำทุกอย่างเอาไว้ในนี้มากมาย มีทั้งความทรงจำที่ดีและไม่ดี สิ่งสำคัญที่สุดก็คือในไอดารี่เล่มนี้มันมีข้อมูลเกี่ยวกับตัวบอมส์ทุกอย่าง
ฉันได้บันทึกเอาไว้ว่าเขาชอบหรือไม่ชอบอะไร แต่ก่อนฉันเขียนมันเอาไว้เพื่อตอกย้ำให้ตัวเองไม่ทำในสิ่งที่เขาไม่ชอบ แต่...ต่อจากนี้ไปอะไรที่เขาไม่ชอบฉันจะทำมันให้หมด ฉันจะทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม ถ้าถามหาเหตุผลก็คงจะเป็นเพราะว่าฉันอยากจะเอาคืนเขาล่ะมั้ง
การกระทำของเขามันทำให้ฉันรู้สึกไม่ชอบใจอยู่บ่อยครั้ง แล้วทำไมฉันต้องยอมให้เขาทำแบบนั้นอยู่ฝ่ายเดียวด้วย
ในเมื่อเขาไม่แคร์ความรู้สึกของฉัน งั้นฉันก็จะไม่แคร์ความรู้สึกเขาเหมือนกัน
ฉันหยิบสมุดไดอารี่ใส่กระเป๋าตัวเองเอาไว้ ก่อนจะเดินออกมาจากห้องแล้วเดินลงไปยังชั้นล่าง ซึ่งพี่พอร์ชก็กำลังนั่งดูหนังอยู่หน้าโทรทัศน์ เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า พี่พอร์ชก็กันมามองฉันเล็กน้อย
“พ้อยท์กลับแล้วนะ”
“ให้พี่ไปส่งหรือเปล่า” ฉันส่ายหัวปฏิเสธไปมาอย่างช้าๆ ถ้าพี่พอร์ชรู้ว่าฉันจะไปที่ไหนมีหวังโดนลากไปขังบนห้องแน่ๆ
“อ๋อ พี่ฝุ่นบอกว่าจะมาหาพี่พอร์ชตอนดึกๆ นะคะ”
“มันโทรมาบอกพี่แล้วล่ะ” ฉันพยักหน้ารับ จริงๆ พี่ฝุ่นก็โทรบอกพี่พอร์ชเองได้นี่หน่า ให้ฉันให้ฝากบอกทำไมก็ไม่รู้ เกือบลืมไปแล้วด้วยซ้ำเมื่อกี้นี้ ดีนะที่นึกขึ้นได้พอดี
ฉันกอดล่ำลากับพี่พอร์ช และพูดคุยกันอีกเล็กน้อยตามประสา ก่อนจะเดินออกจากบ้านมา ขณะกำลังเดินไปรอรถที่ป้ายรถเมล์หน้าปากซอยบ้านฉันก็หยิบมือถือขึ้นมาเพื่อกดโทรหาใครบางคน ซึ่งคนนั้นก็คือเพื่อนสนิทของฉันเอง เป็นเพื่อนที่เรียนอยู่ต่างคณะ และเป็นเพื่อนที่ไม่เคยสวมเขาให้กับฉันเหมือนอย่างที่แอลทำ
ภาพบนหน้าจอมือถือมันแสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่า บอมส์ไม่เคยเป็นห่วงฉัน มีที่ไหนบ้างล่ะที่คนเป็นแฟนกันจะไม่โทรติดต่อหากันเลย ตั้งแต่เลิกเรียนจนถึงตอนนี้บนหน้าจอมันก็ยังคงว่างเปล่า ไม่มีสายเรียกเข้าที่เป็นเบอร์ของเขาทั้งสิ้น
ตั้งแต่คบกันมาคงจะเป็นฉันมากกว่าที่เป็นฝ่ายโทรหาเขาอยู่ตลอด อาการของฉันเหมือนผู้หญิงที่วิ่งตามผู้ชายแล้วเขาดันไม่สนใจ แค่คิดก็สมเพชตัวเองแล้ว
สมัยนี้เมียน้อยมาเหนือเหรอ? เดี๋ยวจะโค่นให้ดูเป็นขวัญตา
ถ้าเมียหลวงไม่มีสิทธิ์ บางทีเมียน้อยก็ไม่ควรสะเออะ
บอกไว้ก่อนว่าฉันไม่เคยมีอะไรกับบอมส์ แต่ถึงอย่างนั้นสถานะของฉันก็ใกล้เคียงกับเมียหลวง บันดากิ๊กของเขาก็เปรียบเหมือนเมียน้อยที่จ้องจะงาบของคนอื่นไปกิน
หยุดเรื่องบันดาเมียน้อยของเขาเอาไว้เท่านี้ดีกว่า ยิ่งคิดฉันก็ยิ่งขึ้น
ฉันปาดนิ้วเลื่อนผ่านเบอร์ของบอมส์อย่างไม่แยแส แล้วจิ้มเบอร์เพื่อนของตัวเองเพื่อโทรออก
(“ว่าไงพ้อยท์”) เสียงเล็กๆ กรอกมาจากปลายสายหลังจากที่เสียงสัญญาณดังขึ้นเพียงไม่นาน
“เธอว่างหรือเปล่าข้าวหอม” ข้าวหอม คือชื่อเพื่อนของฉันเองแหละ เธอเรียนอยู่คณะพยาบาล นิสัยของเธอก็ถือว่าไม่ค่อยเรียบร้อยเท่าไหร่ เป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ แซ่บๆ คนหนึ่งที่ลุยและรุกผู้ชายได้ทุกสถานการณ์ แต่ไม่ว่าจะรุกเก่งแค่ไหนเธอก็ไม่เคยยุ่งวุ่นวายกับคนของเพื่อน
(“ว่างๆ ทำไมเหรอ จะชวนฉันไปเที่ยวหรือไง”)
“เปล่า ว่าจะให้เธอพาไปร้านพี่แบล็คหน่อยน่ะ”
(“ไปทำไม เธอก็รู้ว่าฉันไม่ถูกกับพี่แบล็ค จะให้ฉันไปพังร้านพี่เค้าเหรอ”) ฉันรู้ว่าสองคนนี้ไม่ถูกกัน เจอหน้ากันทีไรเป็นต้องปะทะฝีปากกันทุกที ตีกันมากๆ แบบนี้ถ้าได้คบกันลูกคงเต็มบ้านแน่ๆ
“ฉันว่าจะไปสักน่ะ” สิ่งๆ นี้แหละที่บอมส์ไม่ชอบมันที่สุด แต่คนรอบตัวเขากลับสักแทบทุกคน ฉันเคยขอบอมส์สักก่อนหน้านี้นานแล้วแต่เขาก็ไม่ยอม ตัวตนจริงๆ ฉันไม่ใช่ผู้หญิงหวาน ออกจะดาร์กและฺฮาร์ดคอร์ด้วยซ้ำ
แล้วมันผิดอะไรถ้าหากฉันจะทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ
(“เอาจริงดิ บอมส์ไม่ชอบไม่ใช่เหรอ”) ข้าวหอมย้อนถามกลับ เธอเองก็พอจะรู้เรื่องนี้มาบ้างเพราะฉันเคยเล่าให้ฟัง
แต่แล้วไง...ใครแคร์
“นั่นมันก็เรื่องของเขา นี่ตัวฉันจะทำยังไงก็ได้” ฉันไม่ได้จะตอบกวนประสาท แค่พูดตามที่หัวใจมันเรียกร้อง
(“ฉันชอบที่เธอเด็ดขาดแบบนี้นะ มีแผนอยู่ในหัวใช่มั้ยล่ะ”) ข้าวหอมพูดออกมาอย่างรู้ใจ ฉันหัวเราะอยู่ในลำคอเมื่อเห็นว่าไม่สามารถปิดบังอะไรเธอได้อีกแล้ว
“มันผิดหรือไงที่ฉันจะเอาคืนเขาบ้างน่ะ”
(“ไม่ผิดหรอก จัดหนักๆ เลยยิ่งดี ผู้ชายพันธ์นั้นเอาให้สาบสูญไปเลยก็ได้”)
“สรุปเธอจะไปร้านพี่แบล็คกับฉันใช่มั้ย” ฉันถามเพื่อความมั่นใจอีกครั้ง ข้าวหอมดูจริงจังกับการเอาคืนในครั้งนี้มากกว่าฉันเสียอีก
(“ไปสิ พลาดได้ไง”) เมื่อข้าวหอมตอบรับฉันก็พูดคุยนัดแนะกับเธออีกเล็กน้อย ก่อนจะวางสาย หลังจากนั้นเพียงไม่นานรถโดยสารประจำทางที่ขับผ่านร้านพี่แบล็คก็ขับมาจอดเทียบป้ายฉันถึงได้เดินขึ้นไป เพราะตกลงกับข้าวหอมเอาไว้แล้วว่าให้ไปเจอกันที่นั่นเลย
ฉันยืนรอข้าวหอมที่หน้าปากซอยร้านพี่แบล็คไม่นานเธอก็มา เราสองคนเดินไปที่ร้านของพี่แบล็คที่ตั้งอยู่ไม่ไกลมากนัก
“อ้าวมาได้ไงเนี่ย” พี่แบล็คที่ยังคงสวมชุดนักศึกษาเอ่ยถามขึ้นมา พี่เค้าเป็นผู้ชายที่หน้าตาดีมาก และก็เถื่อนมากเช่นกัน พี่แบล็คเรียนและเปิดร้านสักไปด้วย ทำเป็นอาชีพเสริมอะไรแบบนี้ล่ะมั้ง ดูภายนอกพี่แบล็คก็ดูเหมือนไม่มีอะไรแหละ เป็นผู้ชายผิวขาวสะอาดสะอ้าน แต่ลองให้พี่เค้าเปิดเสื้อให้ดูแผ่นหลังสิ แล้วจะเห็นศิลปะอาร์ตๆ จากการสักเต็มแผ่นหลังกว้างไปหมด
ที่ฉันรู้ดีแบบนี้ก็เพราะเคยเห็นมันมาแล้ว พี่แบล็คเป็นคนประเภทที่เมาแล้วชอบแก้ผ้า หมายถึงแก้แค่ช่วงบนน่ะ มันก็เลยไม่แปลกที่ฉันจะได้เห็นรอยสักบนแผ่นหลังนั้น
เพราะชอบมาปรึกษาปัญหาความรักกับพี่เค้าบ่อยๆ และทุกครั้งมันก็จะจบลงด้วยการที่พี่เค้าชวนกินเหล้าย้อมใจ
สถานะระหว่างฉันกับพี่แบล็คก็เป็นแค่พี่น้องเท่านั้นไม่มีอะไร อีกอย่างพี่แบล็คก็เป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกับพี่พอร์ชด้วย ถึงแม้จะหน้าม่อไปหน่อยแต่พี่แบล็คก็ไม่เคยยุ่งกับน้องของเพื่อนตัวเอง
“นั่งรถเมล์มาไงถามได้” เสียงพึมพำเบาๆ ราวกับกระซิบของข้าวหอมดังขึ้นข้างหู
“พอดีพ้อยท์จะมาสักน่ะค่ะ” เมื่อเห็นว่าพี่แบล็คเริ่มตวัดสายตาคมไปมองที่ข้าวหอมฉันถึงได้พูดแทรกขึ้น
“อ๋อ สักคนเดียวหรือไง แล้วข้าวหอมล่ะไม่สักด้วยคนเหรอ สำหรับข้าวหอมแล้วพี่สักให้ฟรีนะ แต่...” พี่แบล็คมองข้าวหอมด้วยแววตาเจ้าเล่ห์ ดวงตาคมดุดันมองจ้องไปที่หน้าอกของเธออย่างแพรวพราว
“ต้องสักที่นมเท่านั้น”
“ไอ้พี่แบล็ค!! ทะลึ่งแล้วมึง!” มือบางยกขึ้นปิดหน้าอกตัวเองเอาไว้ พร้อมกับโวยออกมาดังลั่น
“อะไร พูดมึงกับใคร ปากดีแบบนี้อย่าเผลอนะ เดี๋ยวจะล่อให้เหยื่อพรหมจรรย์ขาดเลย”
“ไอ้!!...”
“พอๆ รักกันไว้เถอะคนไทยด้วยกัน” เมื่อเห็นว่าเรื่องเริ่มจะไปกันใหญ่ฉันถึงได้รีบห้ามออกมา
