5.1 คิดถึง
หลายวันต่อมา...
@มหาวิทยาลัย
“โอเคไหมแก” ของขวัญถามอย่างเป็นห่วงเมื่อเห็นสภาพหมดอาลัยตายอยากของเพื่อนรักที่แม้จะมาเข้าเรียน แต่เหมือนจะลืมเอาวิญญาณมาด้วย
“แกคิดว่าไงล่ะ” เกวรินหันไปคุยด้วยช้าๆ เบะปากเตรียมจะร้องไห้ แต่โดนชี้นิ้วห้ามไว้เสียก่อน
“หยุดค่ะ! ไม่ต้องร้องแล้ว!”
“อึก...ไม่ได้ร้อง~”
“เฮ้อออ...มานี่เลยแก อายชาวบ้านเขา”
ว่าแล้วก็ดึงข้อมือเล็กของเกวรินให้เดินตามไปที่ศาลาใต้ร่มไม้ใหญ่แห่งหนึ่งนอกอาคาร ซึ่งบริเวณนี้ค่อนข้างเงียบสงบ คนไม่พลุกพล่านเหมือนตอนอยู่ในโรงอาหารเมื่อครู่
“เอาเลย ทีนี้อยากร้องก็ร้องเลย”
“อึก...บอกแล้วไงว่าไม่ได้ร้อง” เธอตอบกลับไปเสียงอ้อมแอ้ม ยกหลังมือขึ้นปาดน้ำตาลวกๆ ทีหนึ่ง แล้วสูดน้ำมูกกลับคืนแรงๆ ราวกับเด็กน้อยก็ไม่ปาน
หลังจากเกิดเรื่องคืนนั้น ตอนเช้าเขาแค่มาส่งที่คอนโดแล้วก็กลับไป เธอรู้ว่าเขาโกรธ แต่เธอก็น้อยใจเขาเหมือนกัน เลยไม่ได้โทรไปง้อหรือคุยกับเขาเลยสักคำจนตอนนี้ก็ผ่านมาหลายวันแล้ว...
“จ้ะ ไม่ร้องเลย”
“ฮึก...แกว่าเฮียภีมเขารังเกียจฉันไหม”
“ฉันว่าไม่นะ”
“แต่เฮียไม่ให้ฉันไปหาที่ห้องแล้วนะ...”
“เดี๋ยวก็หายโกรธเองแหละน่า แกอย่ากังวลไปเลย ฉันไม่เคยเห็นเฮียภีมของแกใจแข็งได้สักที”
“รอบนี้ดูโกรธมากเลยนะแก...บางทีฉันอาจจะรุกแรงเกินไป” เกวรินเอ่ยเสียงเบา ใบหน้าหวานดูเศร้าลงอย่างเห็นได้ชัดจนของขวัญรู้สึกเห็นใจ แต่เรื่องความรู้สึกก็ไม่มีใครบอกแทนกันได้นอกจากเจ้าตัว
“งั้นก็ไปง้อซะสิ...คิดถึงก็ไปง้อ อย่าทำให้มันยาก”
“ไม่รู้ดิ...ฉันไม่กล้า...”
“ทำไมไม่กล้า สู้เขาหน่อยสิแก มัวแต่นั่งนอยด์ทั้งวันแบบนี้จะได้คืนดีกันไหม” ของขวัญพยายามพูดให้กำลังใจ เกวรินรู้ดีว่าเพื่อนเป็นห่วง อยากให้ปรับความเข้าใจกันให้เร็วที่สุด
แต่มันติดอยู่เรื่องหนึ่งที่ทำให้เธอไม่กล้า...
“ฉันอาย...” เธอเอ่ยเสียงเบา เขี่ยปลายเท้ากับพื้นไม้ของศาลาหลังเล็กไปมาอย่างคิดไม่ตก ไม่รู้จะแบกหน้าไปง้อเขาได้ยังไงหลังจากที่ใจกล้าทำเรื่องนั้นไปแล้วโดนปฏิเสธเข้าอย่างจัง
“เฮ้อ...แกเนี่ยน้า~”
“ฉันกลัวมองหน้าเฮียไม่ติดอะ...ตอนนั้นตั้งใจพลีกายถวายตัวให้เฮียเต็มที่ แต่โดนจับทุ่มใส่เตียงแล้วสั่งเสียงแข็งว่าไม่ให้ไปหาซะขนาดนั้น เป็นแก แกยังจะกล้าไปเจอหน้าเฮียไหมล่ะ”
“ก็จริงแฮะ...แต่สำหรับฉันนะ ฉันว่าเฮียไม่ได้รังเกียจอะไรแกหรอก รู้จักกันมาตั้งกี่ปีแล้ว ถ้าไม่ชอบจริงๆ ที่ผ่านมาคงไม่วนเวียนอยู่ใกล้ๆ แกแบบนี้หรอกมั้ง”
“เฮียอาจจะคิดแค่น้องหรือเปล่าอะ...ฉันเดาใจเฮียไม่ถูกเลย บางทีก็ดูเหมือนจะมีใจให้ฉัน แต่บางทีก็ไล่กันง่ายๆ เหมือนไม่แคร์ฉันเลย” ดวงตากลมโตหม่นแสงลงอย่างนึกเศร้าใจ
“อยากรู้ไหมล่ะว่าเฮียเขาคิดยังไงกับแก?”
“ก็ต้องอยากสิ”
“งั้นก็ลองแบบนี้...”
ว่าแล้วก็โน้มใบหน้าเข้าไปใกล้ เอามือป้องปากซุบซิบเสียงเบาให้ได้ยินกันสองคน เล่าเสร็จก็ผละหน้าออกแล้วยกยิ้มเจ้าเล่ห์
“จะได้ผลไหมอะ”
“บอกแล้วไง ไม่ลอง ไม่รู้”
ได้ฟังวลีเด็ดจากเพื่อนรักแล้วก็พ่นลมหายใจออกมาพรืดใหญ่อย่างคิดหนัก รอบที่แล้วแผนก็ล่มไม่เป็นท่าจนโดนสั่งห้ามไม่ให้เข้าไปหาที่คอนโด ไม่รู้ว่ารอบนี้จะรอดหรือจะร่วงกันแน่
แต่ก็อย่างที่เพื่อนของเธอพูดนั่นแหละ...
ไม่ลองก็คงไม่รู้!
.
.
.
.
@บริษัท
ภายในห้องประชุมแอร์เย็นเฉียบ เสียงนำเสนอพรีเซนเตอร์เครื่องดื่มซึ่งกำลังจะเปิดตัวใหม่ในไม่ช้าได้หยุดลง ทุกคนเงียบกริบรอฟังความคิดเห็นจากท่านประธานหนุ่มไฟแรงในวัยเพียง 28 ปี ซึ่งนั่งอยู่หัวโต๊ะด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยสบอารมณ์นัก ทำให้บรรยากาศภายในห้องดูอึมครึมลงอย่างเห็นได้ชัด หลายคนคิดว่าเขาคงไม่ค่อยชอบใจกับสิ่งที่ประชุมกันไปเมื่อครู่ แต่ใครจะรู้ว่าในตอนนี้ในหัวเขาเอาแต่วนเวียนคิดถึงเด็กแสบจนแทบไม่เป็นอันทำอะไร
“เอ่อ ไม่ทราบว่า...”
“รูปแบบโฆษณาเอาเอาตามนั้นแล้วกัน แต่ว่าตัวของพรีเซนเตอร์...” ภากรเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งที่ว่าฟังดูสุขุมและมีอำนาจอย่างที่น้อยคนจะมี ก่อนจะสั่งให้เปลี่ยนคนที่จะเข้ามาเป็นพรีเซนเตอร์ใหม่ ซึ่งแม้จะดังมากในตอนนี้ แต่อายุยังน้อยเกินไป เขาต้องการให้ภาพลักษณ์ของสินค้าตัวใหม่ไร้ที่ติและไม่มีประเด็นให้ต้องกังวลหลังจากเปิดตัวไปแล้ว
แม้ว่าเขาจะเอาแต่คิดถึงเด็กดื้อทั้งวัน ทำให้ไม่ได้จดจ่อกับหัวข้อประชุมเท่าที่ควร แต่ด้วยความสามารถของเขา อาศัยเพียงการฟังและปราดมองบนหน้าจอขนาดใหญ่ที่อีกฝ่ายกำลังนำเสนอเพียงรอบเดียวก็สามารถตัดสินใจได้อย่างเฉียบขาด
“เอ่อ อะไรนะคะ?”
“ผมไม่ชอบพูดอะไรซ้ำสอง” น้ำเสียงที่กดต่ำลงทำให้หลายคนกลืนน้ำลายไปตามๆ กันอย่างนึกหวาดหวั่น เพราะทุกคนต่างก็รู้ดีว่าท่านประธานเป็นคนที่จริงจังกับการทำงานมากแค่ไหน สำหรับคนที่ไม่ตั้งใจฟังเรื่องที่เขาพูดจนต้องเอ่ยบอกเป็นรอบที่สอง เป็นคนประเภทที่เขาไม่ชอบที่สุด
แน่นอนว่าเมื่อครู่หล่อนทำพลาดเข้าอย่างจัง...