ทลายหัวใจ - 2
“เฮ้! ดูสิพวกเราเจออะไร”
“สวยซะด้วย หุ่นแม่งน่ากินฉิบหาย”
‘หยาบคาย’ ฉันกร่นด่าให้กับผู้ชายสองคนตรงหน้าหลังจากได้ฟังคำพูดนั้น สองเท้าน้อยๆ ค่อยๆ ก้าวถอยหลังออกมาทีละก้าว ทีละ...
“ว๊าย! ปล่อยนะ” เร็วเกินไปแล้ว!!
ผู้ชายร่างสูง หน้าบากๆ ผอมแห้งเหมือนพวกติดยา ตรงมาคว้าหมับเข้าที่สองมือเรียวเล็กของฉัน จับไพล่หลังไว้เหมือนตำรวจจับกุมผู้ร้าย
“จะทำอะไร ปล่อยฉันเถอะนะ ฉันแค่มาตามหาสามี” ฉันรีบเอ่ยปากร้องขอด้วยน้ำเสียงสั่นกลัว
“อ้าว! มีผัวแล้วว่ะไอ้แห้ง” เสียงผู้ชายผอมๆ ที่จับฉันอยู่ร้องบอกเพื่อนอีกคนที่กำลังเดินตรงดิ่งเข้ามาหาฉัน ชื่อแห้ง แต่ทำไมตัวถึงได้อ้วน แผลเป็นเต็มตัว น่าเกลียดน่ากลัวยิ่งนัก
“ก็ดีสิ จะได้ไม่ต้องสอน ลีลาคงดี”
ฉันสั่นหัวไปมา ดีดดิ้นเพื่อให้หลุดพ้นจากพันธนาการที่กำมือฉันแน่น แต่ยิ่งดิ้น เหมือนคนพันธนาการยิ่งเพิ่มแรงบีบและกดจิกเล็บลงมาแรงกว่าเดิม
“งั้นกูให้มึงก่อน กูชอบแบบลื่นๆ”
พวกนี้คุยอะไรกัน คิดว่าฉันจะยอมให้เขากระทำป่าเถื่อนกับร่างกายฉันง่ายๆ เหรอ ใครก็ได้ช่วยฉันที
“ชะ ช่ว... อุ้บ”
จุก! กำลังจะตะโกนให้คนช่วย แต่ไอ้อ้วนที่ชื่อแห้งต่อยเข้าที่ท้องฉันหนึ่งที ให้ความรู้สึกจุกมากกว่าเจ็บสะอีก
“ไม่ร้องสิจ๊ะคนสวย เปลี่ยนจากเสียงร้องเป็นเสียงครางให้พวกพี่ฟังดีกว่า หน้าสวยๆ หุ่นแซ่บๆ แบบนี้ เสียงครางจะหวานโดนใจขนาดไหนน้า~”
หยาบคาย สถุล ฉันไม่รู้จะด่าคนพวกนี้ด้วยคำไหนแล้ว
พ่อคะ แม่คะ ใครก็ได้ช่วยหงส์ที
ในใจกู่ร้องอ้อนวอนถึงสิ่งที่สมองน้อยๆ ของตัวเองคิดออก ถ้าฉันยังพอมีบุญวาสนาเหลืออยู่ พระเจ้าโปรดส่งใครก็ได้มาช่วยฉันที แล้วฉันจะตอบแทนพระคุณของคนผู้นั้นแม้แต่ชีวิตนี้ก็ยอม
“มามะ มาให้พี่กินซะดีๆ”
“กรี้ด!!!”
ฉันรีบหลับตาปี๋ หลังจากที่ไอ้อ้วนพุ่งร่างน่าเกลียดของมันตรงมาจะฉีกกระชากเสื้อผ้าของฉันออก มันจะจบลงตรงนี้งั้นเหรอ? ร่างกายที่บริสุทธิ์ของฉันจะตกอยู่ในเงื้อมมือพวกสัตว์เดรัจฉานสองคนนี้จริงๆ ใช่ไหม
ตุ้บ ผลั้วะ อัก
“อ๊าก!!!”
“มึงเป็นใครวะ แส่ไม่เข้าเรื่อง”
ตอนที่ฉันกำลังถอดใจว่าครั้งนี้คงไม่รอดเงื้อมมือสองคนนี้แน่ๆ ก็ได้ยินเสียงดัง ตุบ ตับ คล้ายเนื้อกระทบเนื้อดังขึ้นเบื้องหน้า
เสียงนั้นดังอยู่ไม่ถึงสองนาทีก็เงียบไป รับรู้ได้ว่าร่างกายตัวเองหลุดพ้นจากพันธนาการก่อนหน้านี้แล้ว เลยรีบหอบอากาศหายใจเข้าออกแรงๆ เปลือกตาน้อยๆ ค่อยๆ เบิกขึ้นเพื่อมองสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้า
ภาพที่เห็นหลังจากที่ปรับสายตาให้เข้ากับความสลัวๆ ในตรอกนี้ได้คือร่างของสองคนที่กำลังจะข่มขืนฉันนอนสลบเหมือดอยู่บนพื้น สภาพดูเหมือนยังมีชีวิตแต่ก็เละเหมือนกับไม่หายใจ พอละสายตาจากร่างสองร่างที่นอนแน่นิ่ง ฉันก็เห็นกับคนที่จัดการสองคนนี้ที่กำลังจะเดินจากไป
“ดะ เดี๋ยวสิคะ!” ฉันรีบร้องตะโกนออกไปจนสุดเสียง
เมื่อภาพชายร่างสูงโปร่ง สวมเสื้อแจ็คเก็ตหนังสีดำ ผมสีชมพู กำลังจะเดินพ้นซอยนี้ คนที่เพิ่งช่วยฉันเมื่อครู่ชะงักเท้ากึกตามเสียงเรียก พร้อมกับเอี้ยวใบหน้ามามองฉันเพียงแค่ครู่เดียว
ทำให้ฉันสบเข้ากับแววตาแสนเย็นชานั้นที่มองมาแบบเยือกเย็นไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ ร่างกายค้างนิ่งไปชั่ววิฯ เมื่อตั้งสติหาเสียงตัวเองเจอ กำลังจะเอ่ยคำขอบคุณก็ไม่ทัน ผู้มีพระคุณคนนั้นได้เดินออกไปจากตรอกแคบๆ นี้แล้ว
“ขอบคุณนะคะ” แต่ถึงกระนั้น ฉันก็ยังคงเอ่ยขอบคุณเขาตามหลังไป แม้รู้เขาคงไม่ได้ยินเสียงเล็กๆ ของตัวเองก็ตาม
‘หงส์ต้องรู้จักคุณคนนะลูก ใครดีกับเรา เราต้องตอบแทนเขา’
‘ชีวิตแลกชีวิตเหรอคะ’
‘ฮ่าๆ อันนั้นมันใช้กับการแก้แค้นนะลูก’
‘ต้องใช้คำว่า บุญคุณต้องทดแทน แบบนี้เหมาะกว่านะ’
เสียงสองเสียงดังก้องอยู่ในหัว แต่ฉันกลับไม่รู้ว่าใครเป็นคนพูดประโยคพวกนั้นกับตัวเอง แต่อย่างน้อย ฉันก็จำคำสั่งสอนนั้นติดตัวมาและกำลังจะเริ่มการทดแทนบุญคุณผู้ชายคนนี้ให้จงได้
“ฉันจะต้องตามหาคุณให้เจอ ผู้มีพระคุณของฉัน”
หลังจากวันที่ฉันเกือบถูกข่มขืนในตรอกวันนั้น และมีผู้ชายใจดีมาช่วยไว้ทัน ฉันก็เริ่มออกตามหาเขาโดยการใช้เงินที่มีอยู่ จ้างคนที่มีฝีมือทางด้านวาดรูปที่เจอเขาเปิดรับวาดอยู่ที่ตลาดนัดแห่งหนึ่ง
ด้วยความจำที่ค่อนข้างดีของฉันบวกกับฝีมือของนักวาดคนนั้น ทำให้ฉันได้ภาพวาดของผู้มีพระคุณรวมทั้งภาพวาดลูกน้องคนสนิทของป๊าอย่างฉิงเฉา
ฉันเริ่มออกตามหาพวกเขาไปทั่วทุกซอกทุกมุมภายในละแวกนั้น แต่นี่ก็ผ่านมาเป็นสัปดาห์แล้วฉันยังหาพวกเขาไม่เจอเลย
“ขอโทษนะคะ พอรู้จักผู้ชายในภาพนี้หรือเปล่า” ฉันถามลุงที่น่าจะอายุประมาณห้าสิบปลายๆ ที่กำลังเดินสวนทางกับฉัน เขารับกระดาษแผ่นนั้นไปดูสักพักก็ส่ายหัวกลับมา
ไม่ใช่แค่คุณลุงท่านนี้หรอกนะ หลายๆ คนที่ฉันขอให้พวกเขาดูภาพวาดสองแผ่นในมือตัวเอง ต่างก็บอกเป็นเสียงเดียวกันว่า ‘ไม่เคยเห็น’ หรือ ‘ไม่คุ้นหน้า’ ทั้งสองคนนี้ “อย่าเพิ่งท้อสิไฉ่หง เธอต้องหาพวกเขาเจอ”
ฉันรวบรวมความฮึดอีกครั้งออกเดินตามหาพวกเขาไปเรื่อยๆ ค่ำไหนฉันก็นอนนั่น เพราะเงินติดตัวเหลือไม่กี่บาท ทำให้ต้องประหยัดเงินไว้ก่อน แต่ยังถือว่าเป็นโชคดีของตัวเอง ที่หลังจากวันนั้นก็ไม่มีเหตุการณ์เหมือนในตรอกนั้นเกิดขึ้นกับฉันอีกเลย
ผลัก!!
“โอ๊ย!” ฉันร้องลั่นเพราะรู้สึกเจ็บหน้าผากมน สงสัยฉันจะเดินคิดอะไรเหม่อลอยไปหน่อย
“ขอโทษครับ คุณเป็นอะไรมั้ย” เสียงทุ้มเอ่ยถาม
“ขอโทษค่ะ พอดีเหม่อนิดหน่อย” ฉันลูบหน้าผากป้อยๆ ก้มหัวขอโทษคนที่ตัวเองเป็นคนเดินชน คิดว่านะ!? ความจริงมันก็ไม่ได้เจ็บอะไรมากหรอก ที่ฉันชนเมื่อกี้น่าจะเป็นไหล่ของผู้ชายร่างสูง หน้าตาคมเข้มตรงหน้า
“นี่ของคุณครับ” เขายิ้มบางๆ พร้อมกับก้มลงไปหยิบกระดาษที่ฉันคงทำหล่นเมื่อกี้ส่งคืนให้ เสร็จแล้วก็หันหลังกำลังจะเดินจากไป
“เดี๋ยวค่ะ!” ฉันรีบตะโกนเรียกผู้ชายตัวสูงผมดำ หน้าตาดี เพื่อให้เขาหยุด
“มีอะไรเหรอครับ”
“ไม่ทราบว่า พอจะคุ้นหน้าหรือรู้จักคนในภาพนี้หรือเปล่าคะ” ฉันยื่นกระดาษแผ่นเดิมที่เขาหยิบส่งคืนให้ดูอีกครั้ง ทันทีที่คนตรงหน้าหยิบกระดาษแผ่นนั้นไปดู เขาค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองหน้าฉันช้าๆ พร้อมกับทำสีหน้าตกใจเล็กน้อย
“รู้จักเหรอคะ?” ฉันเดาเอาจากปฏิกริยาที่แตกต่างจากคนก่อนๆ
“ทำไมคุณถึงมีภาพวาดนี้” เขาถามฉันน้ำเสียงแข็งกระด้าง พร้อมกับยกแผ่นภาพวาดแค่ภาพเดียวที่เป็นรูปผู้ชายผมสีชมพูขึ้นถาม
“เอ่อ” เพราะสายตาดุดันที่จ้องมอง ทำให้ฉันเริ่มเสียงขาดหาย
“ว่าไงครับ?” เขาขมวดคิ้ว พร้อมกับยกมือที่จับกระดาษใบนั้นสูงขึ้นอยู่ระดับใบหน้าเขาเอง
“คือเขาเป็นผู้มีพระคุณของฉันน่ะค่ะ ฉันอยากจะตอบแทนบุญคุณที่ช่วยชีวิตฉันไว้ เลยจ้างคนวาดรูปนี้ขึ้นมา”
“แล้วอีกคน” ฉันที่ยังเล่าไม่จบ ผู้ชายผมดำคมเข้มตรงหน้าก็พูดแทรกขึ้น
“อีกคนเป็น ลูกพี่ลูกน้องฉัน เราพลัดหลงกันกลางทางฉันเลยออกตามหาเขาแล้วเจอกับพวกไม่ดีกำลังจะรุมทำร้าย เลยได้ผู้ชายผมสีชมพูคนนี้ช่วยไว้”
“อืม” ผู้ชายผมดำตรงหน้าพยักหน้าเหมือนเข้าใจ
“สรุปว่าคุณรู้จักคนในภาพนั้นหรือเปล่าคะ” ฉันรีบถามเขาออกไปอีกครั้งด้วยความร้อนใจ เขาไม่ตอบ ทำเพียงหลี่ตามองสแกนฉันตั้งแต่หัวจรดเท้าพร้อมกับขมวดคิ้วนิดหน่อย
ตอนนี้ฉันเริ่มรู้สึกระแวงกับสายตาที่ผู้ชายตรงหน้ามองมา เขาดูเหมือนกำลังคิดอะไรในใจ ไม่ยอมตอบคำถามหรือว่าพูดอะไรสักอย่าง เลยเอื้อมมือจะไปหยิบกระดาษแผ่นนั้นในมือเขาคืนมา
แต่ปฏิกริยาตอบกลับของผู้ชายตรงหน้าเร็วมาก เขารีบยกมันชูขึ้นเหนือหัว พร้อมกับพูดสั่งให้ฉันหยุดการกระทำของตัวเอง “เดี๋ยวดิ!” ผู้ชายคนนั้นขึ้นเสียงใส่ฉัน
“นั่นมันของฉันค่ะ เผื่อคุณจะลืม” เพราะตกใจที่จู่ๆ เขาก็เสียงดังใส่เลยยู่จมูกทำหน้าไม่พอใจ “แล้วใครบอกเธอว่าฉันไม่รู้จัก?”
“ก็ถึงได้บอกไงว่าถ้าไม่ระ ฮะ! เมื่อกี้คุณว่าอะไรนะคะ”
ฉันที่กำลังจะบ่นให้ผู้ชายตรงหน้าก็ตั้งสติได้ เมื่อกี้เขาบอกว่าเขารู้จักผู้ชายในภาพวาดนั้น?
“อื้ม รู้จักโคตรๆ เลยล่ะ”
หัวใจฉันพองโตขึ้นมาแบบบอกไม่ถูก เผลอยิ้มกว้างออกมาด้วยความดีใจ
“งั้นคุณก็พาฉันไปพบเขาได้ใช่มั้ย ช่วยพาฉันไปหาเขาหน่อยนะคะ นะๆ” ฉันจับหมับเข้าที่แขนที่มีกล้ามแน่นหนัดแล้วเขย่าเบาๆ เชิงขอร้อง
“ใจเย็นดิวะ!” เขาพูดเสียงดังพร้อมกับแกะมือฉันออกจากแขนเขา
“ขอโทษค่ะ ดีใจไปหน่อย” ฉันก้มหน้าขอโทษคนตรงหน้า
“เธอชื่ออะไร” ปล่อยให้เงียบไปได้สิบวิ ผู้ชายคนเดิมก็ถามขึ้น
“แล้วคุณล่ะ ชื่ออะไร ก่อนจะให้สุภาพสตรีแนะนำตัว สุภาพบุรุษน่าจะบอกชื่อตัวเองก่อนนะคะ” เรื่องอะไรจะบอกชื่อกับคนแปลกหน้า
“ฉลาดดีนะเรา” คนตรงหน้าพูดพร้อมกับยิ้มมุมปาก
“ฉันชื่อ มอม้า เป็นคนที่โครตจะรู้เรื่องผู้ชายในกระดาษแผ่นนี้เลยล่ะ”
มอม้า? แปลกทั้งชื่อทั้งคน
“หละ หงส์ ฉันชื่อหงส์” เกือบหลุดปากบอกชื่อจริงออกไปแล้วเชียว
“อืม หงส์ ชื่อเพราะดีนะ”
มอม้าบ่นอะไรไม่รู้อยู่คนเดียว เขาเอามือจับปลายคางตัวเอง มองสำรวจฉันหัวจรดเท้าอีกครั้งพร้อมกับพยักหน้าเหมือนพอใจอะไรมากมาย
“นี่! นายคิดลามกอะไรอยู่หรือเปล่า บอกเลยนะ ฉันสู้คน” ฉันยกมือตั้งการ์ดเหมือนนักมวย ก็แค่ท่าดีไปงั้นแหละ
“เฮ้ย! ฉันไม่ทำอะไรเธอหรอกระแวงเกินไปแล้ว” ถึงแม้มอม้าเขาจะพูดแบบนั้น ฉันก็ยังไม่เลิกระแวงและไม่ลดมือลงจากท่าเดิมสักนิด
“ถ้าเธอไว้ใจ ฉันจะพาไปพบคนในนี้”
มอม้าถามพร้อมกับยกภาพวาดในมือขึ้นจ่อที่หน้าฉันซึ่งเหลืออีกไม่ถึงเซนฯ กระดาษในมือเขาก็จะแนบใบหน้าฉันแล้ว