ทลายหัวใจ - 1
@Hongkong เขต Kwai Tsing
แฮ่ก แฮ่ก~
ตึก ตึก ตึก
“คุณหนูครับ ไหวมั้ยครับ”
เสียงใคร? เหมือนฉันได้ยินเสียงคนพูดอยู่ข้างๆ หูฉันได้ยิน สมองฉันรับรู้ แต่ทำไมจิตใจฉันมันถึงได้เลื่อนลอยแบบนี้กัน
“เดี๋ยวเรือลำนี้จะพาเราไปที่ท่าเรือประเทศไทย พอถึงที่นั่นผมรับรองคุณหนูต้องปลอดภัย” ปลอดภัยเหรอ? เขาหมายถึงอะไร ปลอดภัยจากอะไร
สองตาที่เลื่อนลอยของตัวเอง หันไปจ้องมองผู้ชายที่เรียกฉันว่าคุณหนูที่กำลังนั่งพื้นที่กำลังโคลงเคลง “คุณเป็นใคร?” ฉันเอ่ยถามคนที่นั่งข้างกาย คนได้ฟังถึงกับเบิกตากว้าง คิ้วขมวดเข้าหากันแลดูยุ่งเหยิง
“คุณหนูจำผมไม่ได้เหรอครับ ผมฉิงเฉา ลูกน้องคนสนิทคุณพ่อคุณหนูไง”
ฉิงเฉา? เหมือนจะคุ้น แต่ก็ไม่เห็นจะจำได้ เมื่อพยายามครุ่นคิดอยู่นานสองนาน แต่กลับไม่พบชื่อนี้ในหัวเลยแม้แต่น้อยจึงได้แต่ส่ายหัวไปมาตอบเขาไป
“ซวยแล้ว!” ฉิงเฉาทำหน้าแตกตื่น เหงื่อแตกพลั่กพร้อมกับสบถออกมาเสียงเบาหวิว “คุณหนูชื่ออะไรจำได้ไหมครับ”
ชื่อฉันเหรอ? ทำไมแม้แต่ชื่อตัวเองฉันก็ต้องคิดมากขนาดนี้นะ
“โอ๊ย! ไม่รู้ ปวดหัว” ฉันใช้สองมือกุมขมับทั้งสองข้าง ก้มหน้างุด วางหน้าผากมนไว้บนเข่าทั้งสองข้าง พร้อมกับส่ายหัวไปมาบนเข่าบางนั้น
“ใจเย็นๆ ครับคุณหนู ไม่ต้องคิดแล้ว เดี๋ยวผมบอกเอง”
ฉิงเฉารีบดึงมือทั้งสองข้างของฉันออก เขาเลื่อนมือหนาใหญ่มาจับไหล่ทั้งสองข้างของฉันเพื่อที่จะหยุดอาการดิ้นให้หยุดลง
“ฉัน ชื่อฉันล่ะ” ปากเอ่ยถามเสียงแหบแห้ง เพราะกลั้นก้อนสะอื้นจากอาการปวดหัวก่อนหน้านี้ สองตาพล่ามัวปรือตามองหน้าคนที่เรียกตัวเองว่าคุณหนูเขม็ง
“คุณหนูชื่อ หลัน ไฉ่หง อายุย่าง 21 พ่อคุณหนูเป็นคนฮ่องกง ส่วนคุณแม่เป็นคนไทย และพวกท่านเป็นคนดี คุณหนูจำไว้เท่านี้ก็พอแล้วครับ”
‘หลัน ไฉ่หง’ ฉันทวนชื่อนี้ในใจ ชื่อเพราะดีนะ แต่ทำไมฉันถึงนึกหน้าตาพ่อแม่หรือแม้แต่เรื่องราวของพวกท่านไม่ได้เลยล่ะ
“แล้วป๊ากับแม่หงส์ล่ะ” นึกเรื่องนี้ได้เลยรีบเอ่ยถามฉิงเฉา
“เรือเทียบท่าแล้วครับ ไว้เดี๋ยวเราหาที่พักที่ไทยก่อน แล้วผมจะเล่าเรื่องคุณท่านทั้งสองให้คุณหนูฟังทีหลัง” ฉิงเฉาตอบปัด
เขาค่อยๆ พยุงตัวฉันขึ้นแล้วพาเดินลงจากเรือขนาดใหญ่ ขอเดาว่าน่าจะเป็นเรือขนส่งสินค้ามากกว่าเรือท่องเที่ยว เพราะมันมีแต่ลังตู้คอนเทนเนอร์ และกล่องไม้ขนาดใหญ่เต็มท้องเรือไปหมด
‘ทำไมภาพพวกนี้มันดูชินตาจัง’
@ประเทศไทย
“เช่าห้องเดียวสงสัยเป็นคู่ผัวเมียมาท่องเที่ยวกันสินะ”
ฉันยืนมองฉิงเฉาที่ยืนคุยกับเจ้าของห้องเช่าหลังเล็กๆ ที่อยู่ไม่ไกลจากท่าเรือที่พวกเราเพิ่งลงมาเมื่อก่อนหน้า
“ไม่ต้องยุ่ง! เท่าไหร่” ฟังจากน้ำเสียงเหมือนฉิงเฉากำลังหงุดหงิดผู้ชายร่างท้วมที่น่าจะเป็นเจ้าของที่นี่
“ได้ห้องแล้วครับคุณหนู เดี๋ยวผมพาคุณหนูไปพักก่อน แล้วจะออกไปหาอะไรมาตุนไว้ให้ เราคงต้องพักที่นี่สักพัก”
ฉันพยักหน้าให้กับฉิงเฉา เดินตามเขามายังห้องที่อยู่ชั้นสองของบ้านเช่าหลังนี้ ที่นี่มีแค่สองชั้น ชั้นละสองห้อง ด้านล่างปูด้วยปูนแต่ด้านบนเป็นไม้ธรรมดา
ฉิงเฉาทิ้งฉันไว้ที่ห้องพักประมาณเกือบครึ่งชั่วโมง เขาก็กลับมาพร้อมกับถุงสีขาวของร้านสะดวกซื้อ
“ผมมีเงินไทยติดตัวไม่เท่าไหร่ ไว้พรุ่งนี้จะลองเอาเงินไปแลกที่ธนาคารหวังว่าผมจะหาญาติของนายหญิงพบก่อนพวกมันจะมาถึง”
ฉันขมวดคิ้วกับคำพูดประโยคหลังของฉิงเฉา ‘พวกมัน’ ที่เขาพูดหมายถึงใคร ดูเหมือนเขาจะหวาดกลัวกับคนที่เขาเพิ่งเอ่ยถึงเมื่อครู่นี้มาก ดูจากหน้าที่ถอดสี ร่างกายที่สั่นเทา
‘ทำไมเขาต้องดูเกร็งและเครียดมากขนาดนั้นด้วย’
“นายหมายถึงพวกไหนเหรอ” เพราะความอยากรู้เลยเอ่ยถามเขาออกไป หวังว่าเขาคงจะบอกให้ฉันหายสงสัยบ้าง แต่ไม่เลย...
ฉิงเฉากลับเลี่ยงการตอบคำถามฉัน เดินไปมุมห้อง แกะกระติกน้ำร้อนที่เพิ่งซื้อมา เติมน้ำล้างอยู่สองสามครั้ง จากนั้นจึงเสียบปลั๊กกับเต้าเสียบที่ติดอยู่ข้างผนังไม้ของห้อง และทิ้งตัวนั่งเหม่อลอยอยู่ข้างๆ กระติกน้ำร้อนนั้น
ความสงสัยใคร่รู้ของฉันยิ่งเพิ่มทวีคูณ ทำไมเขาไม่ยอมบอกฉันถึงพวกนั้นที่เขาหลุดปากพูดออกมา มันเกี่ยวข้องอะไรกับการที่เขาพาฉันหนีข้ามน้ำข้ามทะเลมาที่ประเทศไทยแบบนี้ด้วยหรือเปล่า
หลังจากที่ฉิงเฉาจัดการทำบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปให้ฉันทานเสร็จ เขาสั่งให้ฉันอยู่แต่ห้องนี้ เพราะตัวเองต้องออกไปทำธุระข้างนอก ซึ่งตอนนี้เวลาก็ผ่านมาเกือบสามชั่วโมงแล้วที่ฉิงเฉาทิ้งฉันไว้ที่ห้องนี้คนเดียว
ฉันก้มลงมองถุงผ้าสีแดงที่ปักด้วยตัวอักษรจีนว่า ‘หลัน ไฉ่หง’ ที่ฉิงเฉาทิ้งไว้ให้ เขาบอกให้ฉันเก็บรักษามันไว้ให้ดี เพราะนี่จะเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าฉันคือใคร
ผ่านมาสองวันแล้ว ที่ฉันเอาแต่นั่งมองบานประตูห้องเช่าแห่งนี้ หวังให้มีเงาของลูกน้องคนสนิทอย่างฉิงเฉาโผล่มาบ้าง ตั้งแต่คืนนั้นที่เขาบอกจะออกไปตามหาญาติให้ฉันเขาก็ไม่เคยกลับมาอีกเลย
ความร้อนลุ่มในอกมันเริ่มสุมมากขึ้น ไม่อยากจะคิดไปในแง่ร้ายว่าเขาจะเป็นอันตรายอะไรหรือเปล่า แต่มันก็ห้ามใจไม่ได้สักนิด
“นายจะหลงทางหรือเปล่านะ” ฉันพยายามคิดในทางบวกเข้าไว้ แต่ดูๆ แล้วฉิงเฉาไม่น่าจะเป็นอย่างที่ฉันพูดออกไปเลยสักนิด เขาพูดไทยได้ชัดเหมือนๆ กับฉัน และดูคุ้นเคยกับที่นี่มากกว่าฉันเสียอีก
‘แล้วทำไมล่ะ?’ คำถามอื่นเริ่มผุดขึ้นมาในหัว คิดยังไงก็คิดไม่ตก
หรือว่าเขาจะทิ้งฉันไปแล้ว? แต่เขาจะลงทุนพาฉันมาปล่อยไว้ที่ต่างเมืองขนาดนี้เพื่ออะไรล่ะ เขาไม่น่าจะใช่คนแบบนั้น ความรู้สึกฉันมันบอกว่าเขาเป็นคนดี
“ฉันจะต้องออกตามหาเขา ใช่แล้วหงส์ เธอจะต้องออกไปตามหาเขา”
เมื่อตัดสินใจได้ ฉันเลยเก็บข้าวของซึ่งมีเพียงกระเป๋าสะพายใบเล็กๆ สีชมพูอ่อน ที่ติดตัวมาตอนที่ฉิงเฉาลากฉันเหมือนกับวิ่งหนีอะไรสักอย่างที่ฮ่องกง ในนั้นมีเงินฮ่องกงอยู่จำนวนหนึ่ง แต่รู้สึกว่าพวกบัตรอะไรต่างๆ ของฉันจะไม่มีนะ คล้ายๆ กับของในนี้เคยถูกล้วงออกไปจนหมดเหลือไว้เพียงเศษเงิน
“อ้าวแม่หนู จะออกไปข้างนอกเหรอ” ทันทีที่เดินลงมาชั้นล่าง ลุงร่างท้วมที่เป็นเจ้าของห้องก็ทักขึ้น
“เอ่อ พอดีจะออกไปข้างนอกหน่อยค่ะ” ฉันตอบไม่เต็มเสียงนักให้กับเจ้าของบ้าน ไม่ชอบสายตาโลมเลียที่เขามองมาเลย มันดูไม่น่าไว้ใจยังไงไม่รู้
“ออกไปหาผัวเหรอแม่หนู” ลุงอ้วนทุ้ยคนเดิมยังคงชวนฉันคุยต่อ
“ค่ะ ขอตัวนะคะ” ฉันไม่อยากปฏิเสธว่าเขาไม่ใช่สามีของฉัน แต่บอกไปแบบนั้นน่าจะดีกว่าบอกความจริงแน่ อย่างน้อยเขาคงไม่กล้ายุ่งกับคนที่มีสามีแล้ว
หลังจากที่เดินออกมาจากบ้านเช่าหลังนั้น ฉันก็ยืนมองสี่แยกที่ตัวเองยืนอยู่ตรงกลางแบบมืดแปดด้านไปหมด ไม่รู้จะเริ่มต้นจากที่ไหนก่อน
การที่ต่างบ้านต่างเมือง แถมยังไม่รู้อีกว่าที่นี่คือที่ไหน แล้วฉิงเฉาเขาออกไปตามหาญาติของแม่ที่ไหน ชื่ออะไร มันยิ่งยากกว่างมเข็มในมหาสมุทรอีก
“เอาน่า! ลองหมุนตัวสักรอบสองรอบ หยุดทางไหนก็ไปทางนั้นแล้วกัน”
พูดเสร็จก็ยกมือให้กำลังใจตัวเอง ก้มลงทำท่าคล้ายจิ้งหรีดปั่นอยู่สองสามรอบ และผลปรากฏว่า
มึน!!
ความรู้สึกแรกหลังจากที่หยุดหมุนมันเหมือนพื้นเอียงๆ ในหัววิ้งๆ คล้ายกับในสมองมันเคลื่อนไหวได้ ฉันเลยพยายามทรงตัวให้นิ่ง ค่อยๆ ลืมตาชั้นเดียวของตัวเองทีละนิดๆ เพื่อปรับให้รับแสงสว่างจากแดดเมืองไทยที่ค่อนข้างจ้า
“ทางนี้สินะ” ฉันสูดอากาศเข้าปอดเฮือกใหญ่ หลังจากได้เส้นทางที่จะเดินไปข้างหน้าแล้ว แต่ทำไมมันค่อนข้างน่ากลัวยังไงไม่รู้สิ
ยิ่งเดินไปข้างหน้าเรื่อยๆ สภาพแวดล้อมข้างๆ มันยิ่งมีแต่ตึกสูงร้างเต็มไปหมด “นายอยู่ที่ไหนฉิงเฉา” สองมือกำสายกระเป๋าสะพายข้างตัวเองแน่น กวาดสายตามองหาบุคคลที่กำลังตามหาไปด้วย
ขอให้เจอทีๆ ฉันท่องคำนี้ตลอดก้าวย่างที่เดิน
เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าตอนนี้ฉันมาโผล่อยู่ที่ไหน รอบข้างเริ่มมืดเพราะท้องฟ้าเริ่มจะปิด แสงแดดที่เคยจ้าจัดตอนนี้มืดครึ้ม
น่ากลัว!
ความรู้สึกฉันบอกมาแบบนี้ ลางสังหรณ์บางอย่างกำลังบอกว่า...
‘อย่าก้าวเดินไปข้างหน้า’
กึก!!
แค่สองก้าวหลังจากที่รู้สึกใจสั่นไหวแปลกๆ จากลางสังหรณ์ก่อนหน้า ก็ทำให้สองเท้าน้อยๆ ที่สวมรองเท้าส้นสูงสองนิ้วหยุดชะงัก
น่ากลัว! สองคนนั้นน่ากลัวจัง!
เสียงในหัวกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง กับภาพชายสองคนที่กำลังมองตรงมาทางฉันด้วยสายตาเหมือนต้องตาเหยื่อชิ้นดี