เจอกัน 3/4
“ไม่หยุดใช่ไหม ถ้าไม่หยุดเทนหอมแก้มนะ!”
ฉันถึงกลับชะงักในทันทีที่ได้ยินคำขู่ ฉันเงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างอึ้งๆ เทนเองก็ดูจะตกใจกับคำพูดของตัวเองเช่นกัน
“ฝันไปเฮอะ! ไอ้เด็กบ้า!” ฉันจึงยื่นมือขึ้นไปยี่ผมเขาเล่น ก่อนจะรีบวิ่งหนีเข้าบ้านไปเมื่อถึงหน้าบ้านของตัวเองพอดี
“ฝากไว้ก่อนเหอะ!” เสียงเทนตะโกนคาดโทษไล่หลังมา
ใช่ว่าฉันไม่รู้ ว่าเทนคิดยังไงกับฉัน แต่ว่า...ฉันไม่ได้คิดกับเทนเป็นนั้นนะสิ ฉันเห็นเขาเป็นเพียงน้องชายเท่านั้น ไม่เคยคิดเกินเลยไปกว่านี้เลย
เมื่อฉันเดินเข้ามาให้ตัวบ้าน ก็ต้องชะงักอีกครั้ง เมื่อเจอแขกที่ฉันไม่อยากเจอเลยสักนิด
“กลับมาแล้วเหรอแก้ม” เสียงผู้ชายวัยสี่สิบปลายๆ ทักขึ้น แต่ฉันก็ทำเมินเฉยไม่สนใจที่จะสนทนากับเขา
“แก้มใส...” แม่เห็นกิริยาที่ไม่เข้าท่าของฉันจึงเอ่ยชื่อฉันเสียงเข้ม
“แก้มขอตัวก่อนนะคะ” ฉันรีบเดินขึ้นบันไดไปยังห้องนอนของตัวเองที่อยู่ชั้นสองของบ้านทันที
ฉันรู้...ว่าฉันไม่สมควรแสดงกิริยาแบบนั้นกับพ่อ...ผู้ให้กำเนิด ตั้งแต่จำความได้ก็มีแต่แม่เท่านั้นที่ทำงานหาเงินเลี้ยงดูฉันเพียงลำพัง จนเมื่อฉันอายุได้เจ็ดขวบฉันได้เห็นหน้าพ่อเป็นครั้งแรก แต่เขาไม่ได้มาเพียงคนเดียว เขาพาลูกสาวตัวน้อยที่เกิดจากภรรยาคนอีกคนที่แต่งงานกันถูกต้องตามกฎหมาย เขาบอกกับฉันว่าเด็กน้อยอายุราวห้าขวบนั้นคือน้องสาวต่างมารดาของฉัน
ครอบครัวของพ่อไม่ชอบแม่ของฉัน พวกเขากีดกันทุกวิถีทางเพื่อไม่ให้แม่ฉันอยู่อย่างมีความสุข แต่แล้ว...สิ่งที่แย่ที่สุด ไม่ใช่การถูกกีดกัน แต่มันคือการที่พ่อของฉันเห็นดีเห็นงามกับคุณปู่และคุณย่า ที่พวกท่านต้องการให้พ่อแต่งงานใหม่กับคนที่เหมาะสมและคู่ควร เพราะแม่ของฉันเป็นเพียงแค่ลูกแม่ค้าที่มีอาชีพทำขนมไทยขายอยู่ในตลาด ไม่ได้มีหน้ามีตาทางสังคมอะไร ต่างจากครอบครัวของพ่อที่มีธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง และภรรยาคนใหม่ที่เป็นลูกสาวเจ้าของร้านค้าวัสดุก่อสร้าง ซึ่งพวกผู้ใหญ่ได้คำนวนเอาไว้แล้วว่ากำไรทั้งนั้น
ก๊อกๆ ๆ ๆ
“แม่เองลูก” เสียงแม่ตะโกนมาจากอีกฝั่งของบานประตู ฉันจึงเดินมาเปิดประตูให้แม่
“เขากลับหรือยังคะ” ฉันเอ่ยถามทันทีที่เปิดประตู
“กลับไปแล้วจ้ะ” แม่ตอบกลับมาด้วยรอยยิ้มพร้อมกับก้าวเดินเข้ามาในห้องของฉันแล้วนั่งลงบนเตียงนอน
“แก้มอย่าโกรธเขาเลยนะลูก” แม่พูดประโยคนี้กับฉันครั้งที่เท่าไรแล้วก็ไม่รู้ ฉันกรอกตาขึ้นมองเพดานอย่างเหนื่อยหน่ายก่อนจะเดินไปล้มตัวนอนหนุนตักแม่บนเตียง
“เขามาทำไมค่ะ” ฉันเลือกที่จะถามแม่กลับแทน
“เขามาปรึกษาเรื่องธุรกิจเขานั่นแหละ” แม่บอก
“แล้วแม่จะช่วยอะไรเขาได้ค่ะ เราก็แค่แม่ค้าขายขนมหวาน ไม่ใช่นักธุรกิจซะหน่อย” ฉันรั้งมือแม่ข้างหนึ่งมาแนบกับแก้มของตัวเอง
“เขาขาดทุนจากการรับเหมางานที่แล้วทำให้ขาดเงินทุนในการรับเหมางานต่อไป...” แม่เล่าต่อ
“แล้วไงคะ”
“เขามาขอยืมเงินนะ”
ฉันเผลอลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็วด้วยความตกใจ นี่เขายังมีหน้ามายืมเงินแม่อีกเหรอ ตลอดเวลา 19 ปี เขาไม่เคยไยดีฉันกับแม่เลยสักนิด แล้วนี่ยังกล้ามารบกวนเราอีก เขามีความละอายแกใจบ้างไหม
“แม่มีเงินเหรอคะ” ฉันมองหน้าแม่ด้วยความไม่เข้าใจ ว่าทำไมแม่ต้องใจดีกับพวกเขาด้วย
“แม่มีไม่พอนะ”
“แม่... นี่แม่คิดจะช่วยเขาเหรอ” ฉันมองหน้าแม่ด้วยความน้อยใจและเสียใจที่แม่ยอมพวกเขาอีกแล้ว ใช่แล้วล่ะ...นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่คนพวกนั้นมาขอความช่วยเหลือจากแม่ แล้วแม่ก็ไม่เคยได้อะไรคืนมาเลยสักอย่าง
“ยังไงเขาก็คือพ่อของแก้มนะลูก...” แม่พยายามปลอบฉันด้วยคำว่าพ่อมากี่ครั้งแล้ว
“แล้วเขาเคยเห็นแก้มเป็นลูกไหมคะ ไม่เคยไยดี ไม่เคยสนใจ ไม่ส่งเสียอะไรด้วยซ้ำ” ฉันเอ่ยพูดกับแม่ทั้งน้ำตาด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ
“ทุกวันนี้ เราก็เหนื่อยของเราเอง เงินทุกบาทเราก็หาใช้กันเอง เราเคยไปรบกวนเขาสักครั้งไหม ต่อให้เราลำบากแค่ไหนก็ตาม...”
“โธ่...แก้ม” แม่รั้งตัวฉันเข้าไปกอดพร้อมกับลูบหลังอย่างปลอบโยนเมื่อฉันเริ่มร้องไห้สะอื้นหนักขึ้น
“ถ้าแก้มได้รักใครสักคน แก้มจะเข้าใจในสิ่งที่แม่ทำ...” ฉันนึกค้านแม่อยู่ในใจ ฉันไม่มีวันเข้าใจหรอก เพราะฉันจะไม่รักใครจนโงหัวไม่ขึ้นมองข้ามความผิดของเขาและให้อภัยเขาได้
เช้าวันรุ่งขึ้น....
ฉันตื่นตีห้าทุกวันเพื่อมาช่วยแม่เตรียมขนมเพื่อนำไปส่งให้ลูกค้าประจำ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือร้านกาแฟที่บ้านของต้าหนิงด้วย เมื่อแพ็คขนมที่จะนำไปส่งลูกค้าในเช้านี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว ฉันจึงกลับขึ้นไปยังห้องนอนเพื่ออาบน้ำแต่งตัวไปเรียนและแวะส่งขนมให้แม่ด้วย
Rrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrr
“ว่าไง ต้า” ฉันกดรับสายทันทีที่หน้าจอโชว์ชื่อของต้าหนิง
“เป็นไรรึเปล่าแก้ม ทำไมเสียงเป็นแบบนั้น” ต้าหนิงถามกลับมาอย่างเป็นห่วง สงสัยจะได้ยินฉันหายใจแรงเพราะกำลังจัดของหน้าร้านอยู่
“ออ ไม่เป็นไรจ้า แก้มช่วยแม่เปิดร้านนะ” ฉันตอบเพื่อนกลับด้วยน้ำเสียงที่สดใสกว่าเดิม
“ไม่อยากไปมหาลัยเลยอ่ะ” ต้าหนิงบ่น
“อะไรกัน นี่พึ่งเปิดเรียนได้แค่สองวันก็เบื่อแล้วเหรอ” ฉันถามเพื่อนกลับพร้อมกับขำนิดๆ
“ไม่ได้เบื่อที่จะเรียน แค่เบื่อคน...” ต้าหนิงตอบ
“ใครกัน...” ฉันจึงถามกลับด้วยความสงสัย
“ไม่มีอะไรหรอก เจอกันที่มหาลัยนะ บ๊าย...” ต้าหนิงวางสายไปแล้วแต่ประโยคคำพูดของต้าหนิงยังวนเวียนอยู่ในหัวฉันอยู่เลย
เอาจริงๆ ฉันก็มีความรู้สึกไม่ต่างจากต้าหนิงเหมือนกัน แต่ว่าจะทำอย่างไรได้ในเมื่อแม่ส่งให้ฉันไปเรียนฉันก็ต้องตั้งใจเรียนให้สมกับที่แม่ทำงานหนักเพื่อฉัน
“สวัสดีครับป้ากาญ” เสียงหนุ่มน้อยหน้ามนที่มีนามว่าเทน ได้ขี่รถซุปเปอร์ไบค์คันโตของเขามาจอดที่หน้าร้านของฉัน ก่อนที่เขาจะถอดหมวกกันน็อคเต็มใบออกแล้วสวัสดีแม่ฉัน
“ดีจ้า” แม่ยิ้มรับอย่างใจดี
“นั่นจะหอบไปไหนอ่ะ” เทนหันมาถามฉันที่สองมือหิ้วถุงขนมจนเต็ม
“ส่งลูกค้านะสิ” ฉันตอบ
“งั้นก็ขึ้นมาเลย เดี๋ยวเทนพาไป” เทนอาสาช่วยอีกแรง
“จะดีเหรอ เราไม่รีบไปเรียนหรือไง” ฉันเอ่ยถามอย่างเกรงใจ
“แล้วคิดว่าตัวเองจะส่งทันไหมล่ะ พี่แก้มก็ต้องรีบไปเรียนเหมือนกันนิ” เทนหยอกย้อนพร้อมกับเลิกคิ้วขึ้นสูงอย่างกวนๆ ถ้ามือฉันวางนะ จะฟาดแขนเข้าให้
“เทนช่วยก็ดีแล้วแก้ม เราจะได้ไม่ไปมหาลัยสายไง” แม่เห็นด้วยกับเทน
“แล้วพี่จะขึ้นยังไง รถเราก็สูงซะ” ฉันแอบบนเทน พร้อมกับยื่นถุงขนมส่วนหนึ่งไปให้เขาถือก่อนเพื่อที่ตัวเองจะได้ปีนขึ้นไปนั่งซ้อนท้ายเทนได้
“ก็บอกให้กินนมเยอะๆ จะได้ตัวโตกว่านี้ไง” เทนยังล้อเรื่องส่วนสูงฉันไม่เลิก
“พูดมากจริง” ฉันแอบบ่นพึมพำเมื่อขึ้นมานั่งซ้อนท้ายได้เรียบร้อยแล้ว
“เกาะแน่นๆ นะน้องนะ” เทนหันมากบอกพร้อมกับรอยยิ้มขำขัน
“คร๊า...ลูกพี่...”
ผมเดินลงจากลงสปอร์ตคู่ใจหันมาดูความเรียบร้อยของรถก่อนจะเดินไปยังคณะ และมันควรจะเป็นอย่างนั้น ถ้าผมไม่บังเอิญหันไปเห็นร่างบางของใครบางคนที่พึ่งลงจากรถซุปเปอร์ไบค์คนหนึ่ง ซึ่งผมจำรถคันนั้นได้ดีเพราะมันเป็นรถของเด็กในแก๊งรถซิ่งของผม เทน มันรู้จักกับแก้มใสด้วยเหรอ แถมยังมาส่งกันที่หน้ามหาลัยอีก แก้มใสยืนโบกมือให้กับเทนเมื่อรถเคลื่อนตัวออกสู่ถนนใหญ่
“เสน่ห์แรงจริ๊ง...” ผมรีบเดินไปดักหน้าแก้มใสเมื่อเธอเดินมาทางที่ผมยืนอยู่พอดี แก้มใสชำเลืองมามองผมแวบหนึ่งก่อนจะเดินเลี่ยงไปอีกทางอย่างไม่สนใจ
ผมจึงเดินตามแก้มใสไปติดๆ เธอรีบเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นเมื่อรู้ตัวว่าผมกำลังเดินตามเธออยู่ เมื่อเดินมาถึงช่วงเลี้ยวของมุมตึกผมจึงคว้าต้นแขนแก้มใสแล้วออกแรงรั้งมาข้างมุมตึกซึ่งเป็นที่ลับตาคน
“ปล่อย!” แก้มใสขึงตาใส่อย่างไม่พอใจที่โดนผมฉุด
“ใครมาส่ง”
“แล้วเกี่ยวอะไรกับคุณค่ะ” ผมนึกหงุดหงิดขึ้นมาเมื่อแก้มใสเรียกผมว่า คุณ แทนที่จะเรียกว่า พี่
“แก้มใส!” ผมเผลอตะคอกเธอเสียงดังอย่างลืมตัว พร้อมกับบีบต้นแขนจนแน่นทำให้แก้มใสมีสีหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บ
“แก้มเจ็บนะ!” แก้มใสพยายามแกะมือผมออกจากต้นแขนของเธอ ผมจึงกระชากตัวแก้มใสเข้ามากอดแทน
“จะทำอะไรน่ะ” แก้มใสตกใจที่ผมโอบกอดเอวบางแน่น เธอพยายามดันอกผมให้ออกห่างพร้อมกับใช้กำปั้นทุบเป็นระยะๆ
“เรียก พี่ไบค์ สิ” ผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้จนแก้มใสต้องเบือนหน้าหนีด้วยความหวาดระแวง
.
.