เจอกัน 2/4
“ทำอะไรคะ” แก้มใสหันมาถามด้วยความตกใจพร้อมกับพุ่งตัวมาที่ประตู ผมจึงยืนขว้างเอาไว้ทำให้แก้มใสไม่สามารถเปิดประตูได้
“กันผู้ต้องหาหนี” ผมตอบแก้มใสด้วยใบหน้าที่เรียบเฉย
“ใครผู้ต้องหาคะ” แก้มใสถามกลับด้วยใบหน้างงงวย
“ก็น้องไง” ผมเลิกคิ้วให้หนึ่งทีอย่างกวนๆ
“แก้มแค่จะเข้ามาเอาอุปกรณ์ไปทำความสะอาด ไม่ได้เข้ามาขโมยอะไรสักหน่อย” แก้มใสพยายามอธิบาย
“อุปกรณ์ทำความสะอาดก็อยู่ห้องเก็บของสิ จะมาอยู่อะไรในห้องคณะล่ะ” แก้มใสถึงกลับเหวอเล็กน้อย
“งั้นก็... ขอทางด้วยค่ะ แก้มจะได้ออกไปห้องเก็บของ” แก้มใสพยายามจะเดินมาที่ประตูอีกครั้ง แต่ผมก็ไม่หลับทางให้ เมื่อเห็นดังนั้นแก้มใสจึงยื่นมือบางมาผลักผมออก
“ว๊าย!”
ผมอาศัยจังหวะที่แก้มใสไม่ทันระวังตัวรีบคว้าเอวบางเข้ามาสวมกอด
“ปล่อยแก้มนะ!” แก้มใสขึงตาใส่ผมพร้อมกับดิ้นไปมาอย่างรุนแรง
“ไม่ปล่อย”
“ถ้าไม่ปล่อย แก้มจะตะโกนให้คนช่วยจริงๆ ด้วย”
“ทำไม! ถ้าเป็นไอ้โต้ง เธอก็คงจะยิ้มหน้าระรื่นสินะ”
“ใช่ค่ะ ถ้าเป็นพี่โต้ง แก้มยินดี...” แก้มใสตอบพร้อมยกยิ้มอย่างเย้ยหยัน
ผมถึงกับชะงักค้างกลางอากาศเมื่อได้ยินประโยคนั้นจากปากของคนที่ผมชอบ แก้มใสอาศัยจังหวะที่ผมเผลอรีบพุ่งตัวไปที่ประตูอีกครั้งหวังจะออกจากห้องนี้ไปให้ได้ ผมจึงคว้าเอวบางแล้วกระชากตัวแก้มใสกลับมาอย่างแรงก่อนจะจับร่างบางกดลงกับโต๊ะตัวยาวในห้องทำให้กระโปรงทรงพีทเลิกขึ้นสูงจนเห็นขาอ่อนที่มีซับในที่ดำปกปิดอยู่
“จะทำอะไรน่ะ ปล่อย!” แก้มใสพยายามขัดขืนแต่มีเหรอที่คนตัวเล็กอย่างเธอจะสู้แรงผมได้
“ชอบมันมากเหรอ ฮะ!” ผมเผลอตะคอกเสียงดังลั่นด้วยความโมโห
“จะให้แก้มตอบกี่ครั้ง คำตอบมันก็คือ ใช่!”
สติผมขาดผึงเมื่อแก้มใสยังยืนยันคำเดิม
ผมกระโดดขึ้นไปคร่อมตัวแก้มใสบนโต๊ะตัวยาว ก่อนจะโน้มหน้าลงไปซุกไซร์ซอกคออย่างบ้าคลั่ง แก้มใสพยายามดิ้นหนีสุดกำลัง
“อย่านะ! อุ๊บ..” ผมเลื่อนริมฝีปากประกบปิดปากแก้มใสทันที
ผมบดจูบแก้มใสอย่างป่าเถื่อนโดยที่ไม่สนว่าเธอจะรู้สึกอย่างไร ไม่สนว่าเธอจะรู้สึกดีกับรสจูบของผมหรือเปล่า การกระทำที่ขาดสติทำให้ผมเผลอทำรุนแรงกับแก้มใส
“อึก! ฮือออ” แก้มใสหยุดดิ้น เธอนอนนิ่งไม่ต่อต้านใดใด เพราะเธอกำลังร้องไห้ และนั้นก็ทำให้ผมได้สติขึ้นมาจึงหยุดการทำไว้แค่นั้น
ผมมองดูใบหน้าแสนสวยที่ตอนนี้กำลังแปดเปื้อนไปด้วยหยาดน้ำตา นี่ผมทำอะไรลงไป แก้มใสจ้องหน้าผมด้วยความโกรธเคืองอย่างไม่ปิดบัง
“พี่...” อยากจะเอ่ยขอโทษแต่ว่าปากมันกลับไม่ยอมขยับ
“พอใจแล้วใช่ไหมคะ” แก้มใสตัดพ้อด้วยสายตามันยิ่งทำให้ผมรู้สึกผิดเข้าไปใหญ่
ผมลงจากโต๊ะแล้วยื่นมือไปให้แก้มใสเพื่อเป็นหลักยึดให้เธอ แต่แก้มใสกลับปัดมือผมทิ้งก่อนจะลุกขึ้นนั่งด้วยตัวเอง
เพี๊ยะ!
มือบางฟาดห้านิ้วกับแก้มซ้ายของผมอย่างแรง ถึงจะไม่เจ็บเท่าโดนต่อย แต่มันก็ทำให้ผมรู้สึกแสบอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน
“แก้มจะบอกอะไรให้นะคะ”
ผมค่อยๆ หันกลับมามองหน้าแก้มใสอย่างช้าๆ เพราะยังรู้สึกชาที่ใบหน้าไม่หาย
“ที่แก้มชอบพี่โต้ง เพราะว่าพี่โต้งเป็นสุภาพบุรุษ พี่โต้งไม่เคยรังแกแก้ม และค่อยช่วยเหลือแก้มเสมอ คนอย่างพี่... เทียบกับพี่โต้งไม่ได้เลยสักนิด” แก้มใสผลักอกผมหนึ่งทีก่อนจะหมุนตัวไปที่ประตูแล้วรีบเดินหนีไปอย่างรวดเร็ว
ผมไม่ได้อยากทำร้ายเธอเลยสักนิด ในตอนนี้...ผมมันเหมือนคนขี้อิจฉายังไงก็ไม่รู้ ผมอิจฉาไอ้โต้งเหลือเกิน อิจฉาที่มันได้ใจแก้มใสไปเต็มๆ ทั้งที่มันก็มีพี่มิรินอยู่แล้วแท้ๆ แต่แก้มใสก็ยังไม่เลิกชอบมันอยู่ดี เหตุการณ์ในวันนี้ยิ่งทำให้แก้มใสเกลียดผมเข้าไปใหญ่ คิดอะไรไม่ออกจริงๆ
ฉันรีบเดินออกจากห้องนั้นให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ เมื่อแน่ใจแล้วว่าเขาจะไม่ตามมา ฉันจึงชะลอการเดินให้ช้าลง หันไปมองซ้ายขวาว่าแถวนี้มีคนอยู่หรือเปล่า เมื่อแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่ ฉันจึงเดินหลบไปที่หลังต้นไม้ใหญ่แล้วทรุดตัวนั่งลงกับโคนต้น ชันเข่าทั้งสองข้างขึ้นมาเพื่อเป็นที่กักเก็บน้ำตาเอาให้ไม่ให้มันไหลอาบแก้มไปมากกว่านี้
ฉันปล่อยให้น้ำตาได้ไหลออกมาอย่างสุดจะกลั้น ทำไม...ฉันต้องมาเจออะไรแบบนี้ด้วย นี่มันพึ่งเปิดเทอมเองนะ ฉันเกือบจะโดนรุ่นพี่ข่มขืน แล้วทีนี้ ชีวิตในรั้วมหาลัยของฉันจะสงบสุขได้อย่างไร ถ้ายังมีคนอย่างเขาอยู่ แถมฉันยังตบหน้าเขาอีก เขาไม่ปล่อยฉันไว้แน่
เมื่อสงบสติอารมณ์ตัวเองให้กลับมาเป็นปกติได้แล้ว ฉันจึงค่อยๆ ยันตัวเองให้ลุกขึ้นยืนรีบเช็ดหน้าเช็ดหน้าให้ดูเหมือนว่าฉันไม่ได้แอบร้องไห้
“กลับบ้านดีกว่า กลับไปที่คณะต้องเจอเขาอีกแน่ๆ” เมื่อคิดได้ดังนั้น ฉันก็เดินออกมารอรถเมล์ที่หน้ามหาลัย
ระหว่างทางที่นั่งรถกลับบ้าน ในสมองฉันเอาแต่คิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ ฉันจะทำอย่างไรดี จะอยู่อย่างไรโดยที่ไม่เจอหน้าเขา แต่มันก็คงทำได้ยาก เพราะเราอยู่คณะเดียวกัน ยังไงก็ต้องเจอกันอยู่ดี
“นั่งเหม่ออะไรเนี้ย”
ฉันถึงกลับสะดุ้งสุดตัวเมื่อมีเสียงผู้ชายคนหนึ่งทักขึ้นพร้อมกับที่ร่างสูงนั่งลงที่เบาะข้างฉัน
“เทน”
เด็กหนุ่มยิ้มให้ฉันอย่างสดใสเหมือนอย่างเคย
เทน คือเพื่อนบ้านของฉันเอง เทนอายุห่างจากฉันสองปี เราโตมาด้วยกันเป็นเพื่อนเล่นกันตั้งแต่เด็กๆ ส่วนใหญ่ฉันจะเป็นพี่เลี้ยงให้เขาซะมากกว่า เพราะพ่อกับแม่ของเทนต้องเดินทางไปทำงานที่ต่างประเทศอยู่บ่อยๆ ท่านมักจะฝากเทนไว้ที่บ้านของฉันเสมอ
“ก็เทนไง ใจลอยไปถึงไหนครับ”
“เปล่าสักหน่อย” ฉันส่งยิ้มหวานกลับไปให้เทนเช่นกัน
“ที่มหาลัยเป็นไงบ้างล่ะ สนุกเปล่า” ปากถามฉันแต่สายตากลับมองไปที่วัยรุ่นชายกลุ่มหนึ่งที่นั่งถัดไปจากพวกเราไม่ไกลนัก เทนเอื้อมมือมาด้านหลังฉันก่อนจะโอบไหล่
“ทำอะไร” ฉันหันไปถามเทนพร้อมกับขมวดคิ้วเป็นปม
“ก็พวกนั้นมันมองพี่แก้มอ่ะ” เทนบอก แล้วฉันก็เข้าใจได้ทันทีถึงจุดประสงค์ที่เทนโอบไหล่ฉัน คงอยากจะทำให้พวกนั้นคิดว่าฉันเป็นแฟนเขาสินะ
“เด็กน้อยเอ่ย...” ฉันบ่นพึมพำพร้อมกับส่ายหน้าไปมาอย่างขำๆ
“ไม่เด็กนะครับ” เทนสวนกลับทันที ทำให้ฉันต้องหันไปมองหน้าเขา สบจังหวะที่เทนหันหน้ามาพอดีทำให้ใบหน้าเราห่างกันแค่คืบ ฉันจ้องเขาไปในดวงตาของเทน ซึ่งเขากำลังพยายามที่จะสื่อบางอย่างออกมาให้ฉันได้รับรู้
“โตกว่าพี่แค่นี้ก็อวดแล้วเหรอ” ฉันถามกลับทำให้มันเป็นเพียงแค่เรื่องตลก เทนถอนหายใจเล็กน้อยก่อนจะโอบไหล่ฉันแน่นกว่าเดิม
“หัดดื่มนมซะบ้างนะครับ จะได้โตเร็วๆ” แล้วเทนก็เปลี่ยนท่าทีมาพูดเล่นกับฉันเหมือนเดิม
“ย่ะ!” ด้วยความหมั่นไส้ ฉันจึงยกมือขึ้นไปหยิกแก้มทั้งสองข้างของเทนอย่างมันเขี้ยว
“โอ๊ย! เทนเจ็บนะ มาให้เทนหยิกคืนบ้าง” แล้วเราทั้งสองคนต่างก็หยิกแก้มหยอกล้อกันไปมา จนผู้โดยสารคนอื่นๆ ต่างก็หันมามองเป็นตาเดียว บ้างก็ยิ้มขำไปกับเรา บ้างก็รำคาญและหมั่นไส้
“พอแล้ว ถึงแล้วเนี้ย” ฉันจับมือเทนให้ออกจากแก้มของตัวเอง เมื่อรถเมล์จอดสนิทที่ป้ายรถแล้ว
ฉันมักจะเดินกลับบ้านหลังเลิกเรียนพร้อมกับเทนทุกวัน ตั้งแต่ประถมแล้วล่ะ ถึงเราจะเรียนคนละที แต่เทนก็มักจะรอฉันอยู่ที่ป้ายรถเมล์เสมอหากวันไหนเขาเลิกเรียนก่อน ตอนนี้เทนอายุ 17 ปีแล้ว เขาเรียนอยู่ที่โรงเรียนอาชีวะแห่งหนึ่ง ในสาขาช่างยนต์ ฉันก้มมองดูพื้นถนนที่สะท้อนเงาของคนร่างสูงกับคนร่างเล็กเดินเคียงคู่กัน เขาโตเป็นหนุ่มแล้วสินะ
มันทำให้ฉันนึกถึงเมื่อสมัยก่อนตอนที่เราเรียนอยู่ชั้นประถม ฉันมักจะเดินจูงมือเด็กผู้ชายที่ตัวเล็กๆ คนหนึ่งเพื่อพากลับบ้านพร้อมกันทุกวัน เด็กน้อยกำมือฉันแน่นยามที่เดินผ่านหน้าบ้านหลังหนึ่งซึ่งมีสุนัขเฝ้าบ้านอยู่สามถึงสี่ตัว พวกมันมักส่งเสียงเห่ายามที่เราสองคนเดินผ่าน ถึงแม้ว่าบ้านหลังนี้จะมีรัวกันแต่เด็กน้อยก็กลัวอยู่ดี เทนในวัยประถมมักจะร้องไห้ทุกครั้งที่สุนัขส่งเสียงเห่า จากที่กำมือฉันก็เปลี่ยนมากอดฉันแทน แล้วฉันก็เผลอขำออกมาอย่างลืมตัว
“ขำอะไรอ่ะ” เทนหันมามองด้วยสีหน้างุนงง
“เปล่า...” ฉันตอบเสียงลากยาวอย่างกลบเกลื่อน
“นี่อย่าบอกนะ ว่านึกถึงตอนที่เทนกลัวไอ้พวกหมาเวรนั้นนะ”
“คริๆ ๆ ๆ” ฉันหลุดขำออกมาไม่หยุดเมื่อมองไปเห็นบ้านหลังนั้นอีกครั้ง
“หยุดขำเลย พี่แก้ม!” เทนเดินเข้ามาล็อกคอฉันไว้ด้วยวงแขนอันแข็งแรงของเขา แต่ฉันก็หยุดขำไม่ได้
“คริๆ ๆ ๆ ๆ”
“ไม่หยุดใช่ไหม ถ้าไม่หยุดเทนหอมแก้มนะ!”
.
.
.