บทที่ 8 ต่อมหวงกำเริบ
ม่านมัสลินไล่มองพราวตะวันตั้งแต่หัวจรดเท้า หล่อนไม่ค่อยได้เจอพราวตะวันบ่อยนัก แต่ก็พอจะรู้อยู่บ้างว่าเด็กคนนี้ไม่ใช่น้องสาวแท้ๆของดานิเอล
จู่ๆต่อมหึงหวงก็กำเริบ
ยิ่งโตก็ยิ่งฉายแววสวย
พราวตะวันเป็นผู้หญิงตัวเล็ก รูปร่างบอบบางแต่ดูเซ็กซี่ ใบหน้ารูปไข่เนียนสวยรับกับจมูกที่ไม่ได้โด่งมาก ริมฝีปากบางสีแดงระเรื่อน่าสัมผัส ผิวพรรณของเธอนั้นขาวผุดผ่องจนรู้สึกกลัวใจ ในเมื่อพราวตะวันไม่ใช่น้องสาวแท้ๆ เป็นแค่เด็กที่คุณเอดิสันเก็บมาเลี้ยง แถมดานิเอลก็ไม่เคยบอกด้วยว่าเธอเป็นน้องสาว มีวูบหนึ่งที่หล่อนเริ่มหวงแฟนหนุ่ม
แต่ก็แค่วูบหนึ่งเท่านั้น เพราะหล่อนกับดานิเอลรักกันดี
พราวตะวันเดินผ่านม่านมัสลินไปอย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัว ยิ่งเห็นหน้าแฟนสาวของเขาก็ยิ่งรู้สึกผิดกับสิ่งที่ทำ รู้ถึงไหนคงอายถึงนั่น เพราะเธอกำลังทำร้ายหัวอกลูกผู้หญิงด้วยกัน ถ้าม่านมัสลินรู้...หล่อนจะเสียใจแค่ไหน เรื่องพวกนี้มันไม่ควรเกิดขึ้นเลยด้วยซ้ำเพราะเขามีคนของใจอยู่แล้ว
พราวตะวันนั่งหลบมุม มองภาพที่ม่านมัสลินกำลังเอนกายซบผู้ชายที่นอนกอดเธอทั้งคืน พออยู่กับคนที่ใช่เขาก็กลายเป็นผู้ชายอ่อนโยนขึ้นมาทันที ต่างจากตอนที่อยู่กับเธอ เขาทั้งร้ายและสุดแสนเอาแต่ใจ เหมือนปีศาจในร่างกายออกมาขู่ฟ่อๆอยู่ตลอดเวลา แต่เธอก็ยังเลือกที่จะปกป้องเขาเพียงเพราะหัวใจไม่กล้าทำร้ายผู้ชายคนนี้
เธอทำร้ายเขาไม่ลงจริงๆ
“คืองี้ค่ะพี่แดน เมื่อเช้าพนักงานบอกว่าไอ้ลูคัสมันไปป้วนเปี้ยนอยู่ที่หน้าบริษัท เดียร์น่าคิดว่าไอ้หมอนี่กำลังทำตัวน่าสงสัย” เดียร์น่าพูดด้วยสีหน้าตรึงเครียด
'ลูคัส' คือศัตรูตัวฉกาจของดานิเอล เพราะทางฝั่งของลูกคัสก็มีบริษัทลงทุนในด้านอสังหาริมทรัพย์เหมือนกัน เลยไปขัดคอฝั่งนั้นเข้า ลูคัสจึงพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อเอาชนะดานิเอล
ปัญหาพวกนี้มันเรื้อรังมานานแล้ว
“ไอ้ลูคัสนี่มันกัดไม่ปล่อยจริงๆ เห็นทีจะปล่อยไว้ไม่ได้ซะแล้ว”
“เดียร์น่าว่าเราควรจัดการจริงๆจังๆนะคะ ไอ้ลูคัสมันเป็นบุคคลที่อันตรายต่อบริษัท ไม่รู้ว่ามันแอบจ้างหนอนบ่อนไส้มาทำลายบริษัทของเราหรือเปล่าก็ไม่รู้”
“…” ดานิเอลใช้ลิ้นดันกระพุ้งแก้มไปมา สีหน้าเริ่มฉายแววเคร่งเครียดขึ้นเรื่อยๆ เพราะปกติลูคัสจะไม่มาป้วนเปี้ยนที่หน้าบริษัทของเขา “ไอ้ลูคัสมันเป็นคนเจ้าเล่ห์ สงสัยมันอยากได้ข้อมูลของบริษัทเรา”
“ให้เดียร์น่าแจ้งตำรวจไว้เลยไหมคะ ถ้ามันมาที่บริษัทของเราอีก ก็ให้ตำรวจจับเลย”
“ดะ...เดี๋ยวสิก่อนเดียร์น่า พี่ไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไหร่กับเรื่องแจ้งตำรวจ บางทีคนที่พนักงานเห็นอาจจะไม่ใช่นายลูคัสก็ได้” ม่านมัสลินรีบแย้งขึ้น พร้อมออกความคิดเห็น
“ทำไมจะไม่ใช่คะพี่ม่าน เดียร์น่าไปดูกล้องวงจรปิดแล้ว เป็นไอ้ลูคัสจริงๆ”
“ตะ...แต่ถึงนายลูคัสมาที่หน้าบริษัทก็ทำอะไรไม่ได้อยู่แล้วนิ พี่ว่าอย่าเพิ่งไปปรักปรำเขาเลยดีกว่า ถ้านายลูคัสไม่ได้มาเพื่อทำลายบริษัทจริงๆ เดี๋ยวจะถูกฟ้องกลับนะ พี่เป็นห่วงภาพลักษณ์ของบริษัท”
“ก็ถูกของม่านนะเดียร์น่า พี่ว่าเรื่องนี้เราอย่าเพิ่งถึงตำรวจเลยดีกว่า ถ้ามันไม่ใช่อยากที่คิด เดี๋ยวจะไปกระทบกับภาพลักษณ์ของบริษัท”
“ก็ได้ค่ะ ครั้งนี้เดียร์น่าจะไม่แจ้งตำรวจ แต่ถ้ามันเข้ามาถึงบริทของเราเมื่อไหร่ เดียร์น่าไม่ปล่อยมันไว้แน่!”
จบประโยคนั้นใบหน้าของม่านมัสลินก็ฉายแววเคร่งเครียดขึ้นมาทันที หล่อนแอบกำมือแน่นแต่ไม่มีใครเห็น ไม่มีใครรู้ว่าหล่อนกำลังคิดอะไรอยู่ เพราะภายใต้ใบหน้าอันสวยสดงดงามนั้น กำลังเก็บงำเรื่องราวบางอย่างเอาไว้
“วันนี้ม่านคงไปทานข้าวกับแดนไม่ได้แล้วนะคะ พอดีว่าที่บ้านของม่านมีงานด่วน”
“อ่าว แต่ม่านบอกว่าวันนี้ว่างไม่ใช่หรอ ผมจองโต๊ะไว้แล้วนะ”
“มันเป็นงานด่วนมากๆค่ะ พ่อม่านเพิ่งไลน์มาบอกเมื่อกี้นี่เอง”
“ก็ได้ครับ วันนี้ม่านไม่ว่างก็ไม่เป็นไร แต่ผมว่างสำหรับม่านเสมอ” ชายหนุ่มคลี่ยิ้มหวานละมุนก่อนจะเคลื่อนหน้าเข้าไปจุ๊บหน้าผากของแฟนสาว
ราวกับเข็มนับพันทิ่มแทงใจของพราวตะวัน เธอรีบเบือนหน้าหนีเพราะไม่อยากเห็นภาพนั้น ในอกรู้สึกเหมือนถูกบดขยี้อย่างรุนแรงซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“ถ้างั้นเดียร์น่ากลับกับพี่นะคะ ขี้เกียจโทรบอกคนขับรถมารับ”
“อืม ได้สิ...” จบประโยคเขาหันหน้ามาทางพราวตะวันแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเหมือนเบื่อหน่าย “ว่าแต่เธอจะกลับพร้อมฉันหรือจะเดินกลับ”
“ตามใจคุณดานิเอลเลยค่ะ ถ้าคุณไม่สะดวก เดี๋ยวพราวนั่งสองแถวกลับก็ได้”
“นั่งสองแถวกลับเดี๋ยวคุณพ่อก็มาบ่นให้ฉันอีก ว่าพาเธอมาด้วยแล้วไม่พากลับ เธอมันก็เป็นลูกรักของท่านอยู่แล้วนี่”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เดี๋ยวพราวจะบอกว่าไปบ้านเพื่อน เลยกลับทีหลัง”
“อย่าเรื่องเยอะพราวตะวัน ฉันไม่อยากมีปัญหากับพ่อของเธอ!” พ่อของเธอที่ดานิเอลว่าก็คือคุณเอดิสัน ซึ่งเป็นคำที่ดานิเอลประชดพ่อของตัวเอง “ไปขึ้นรถได้แล้ว ยืนบื่ออยู่ได้”
พราวตะวันก้มหน้างุด หลบหนีสายตาดุจัดคู่นั้น ทำไมพอเป็นเธอเขาถึงได้โมโหร้ายอยู่เรื่อย ไม่เคยถนอมน้ำใจเลยสักครั้ง แม้เวลาจะผ่านมานานหลายปี อคติที่เขามีต่อเธอก็ไม่เคยลดลงเลย มีแต่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ในระหว่างที่กำลังนั่งรถกลับบ้านท่ามกลางสายฝนโดยมีดานิเอลเป็นคนขับ จู่ๆเดียร์น่าก็รู้สึกอยากกินไก่ย่าง แต่ร้านดันอยู่ฝั่งตรงข้าม และตอนนี้ฝนก็ตกแรงมากๆ อีกอย่างในรถก็ไม่มีร่มเลยสักคัน หล่อนจึงหันหลังไปบอกพราวตะวันที่นั่งเงียบอยู่ด้านหลังเพียงลำพัง
“พราวตะวัน ลงไปซื้อไก่ย่างให้ฉันหน่อยสิ ร้านอยู่ฝั่งตรงข้าม ฉันลงไปไม่ได้ ฝนตก”
“อ๋อ...ได้ค่ะ งั้นพราวขอร่มหน่อยค่ะ”
“ไม่มี พี่แดนไม่ชอบพกร่ม รีบลงไปสิ เดี๋ยวคุณป้าก็ปิดร้านหรอก”
“ค่ะๆ”
พราวตะวันสูดลมหายใจเข้าลึกๆแล้วก้าวเท้าลงไปจากรถ ตอนนี้ฝนตกแรงมาก เธอทำอะไรไม่ได้นอกจากใช้มือบังน้ำฝน แต่วิ่งออกมาได้แปปเดียวร่างก็เปียกปอนแล้ว
“ทำไมไม่ให้พี่วนรถกลับไปซื้อ เผื่อแม่นั่นป่วยขึ้นมาเดี๋ยวเราสองคนจะซวยเอานะ”
“มันเสียเวลาค่ะ ยูเทิร์นก็ไกลมากด้วย เปียกแค่นี้คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง”
ดานิเอลไม่ตอบ ใช้นิ้วเคาะพวงมาลัยเป็นจังหวะ หางตาคมเหลือบมองกระจกเป็นระยะๆ จนกระทั่งเห็นพราวตะวันวิ่งกลับมาในสภาพเปียกปอน
“ไก่ย่างได้แล้วค่ะ” พราวตะวันคลี่ยิ้มแล้วส่งไก่ย่างให้เดียร์น่า ก่อนจะเข้ามานั่งหลังรถเหมือนเดิม
พอร่างกายปียกปอนสัมผัสกับแอร์เย็นเฉียบ ก็รู้สึกหนาวสั่นขึ้นมาทันใด เธอไม่ได้หยิบเสื้อกันหนาวมาด้วยเพราะไม่คิดว่าจะตากฝน หญิงสาวทำอะไรไม่ได้นอกจากนั่งหนาวสั่น ใช้อ้อมแขนกอดรัดเรือนร่างของตัวเองเพื่อเพิ่มความอบอุ่น แต่มันก็แทบช่วยไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
สายตาคมกริบของดานิเอลมองผ่านกระจกหลัง เห็นพราวตะวันนั่งสั่นงกๆ เขาจึงเอื้อมมือไปปรับลดความเย็นของแอร์ลง
หนาวขนาดนี้ยังปากเก่งไม่ขอผ้าห่มจากเขาอีก เก่งเข้าไป อยากรู้เหมือนกันว่าจะทนหนาวได้นานแค่ไหนเชียว
------------