Chapter 16 ขนมไข่ผู้น่าสงสาร
Chapter 16
ขนมไข่ผู้น่าสงสาร
ไข่หวานเมื่อกลับมาจนถึงคฤหาสน์นฤบรินทราชก็ไม่รอช้า รีบตรงไปหาโลกันต์ในทันที
วันนี้เขากลับจากการทำงานค่อนข้างเร็วจึงมานั่งเล่นอยู่ที่ห้องรับแขกพร้อมกับเปิดไอแพดดูข่าวสารบ้านเมืองไปด้วย
“พี่กันต์ขา น้องไข่คิดถึงพี่กันต์จังเลย”
สาวสวยร่างเล็กในชุดนักศึกษาที่แสนจะยั่วเย้ารีบตรงไปหาหนุ่มรุ่นพี่ที่ทำสีหน้าเคร่งเครียดอยู่ในทันที
เธอนั่งลงที่โซฟาตัวเดียวกับเขาแล้วกอดแขนกำยำของมาเฟียหนุ่มซึ่งอยู่ในชุดเสื้อเชิ๊ตสีขาวปลดกระดุมสามเม็ดแบบดูสบายๆพร้อมกับกางเกงสแล็คสีดำ
“ห่างแค่แปปเดียวก็คิดถึงพี่แล้วงั้นเหรอ หืม?”
โลกันต์ยิ้มแล้วลูบเข้าที่หัวของยัยน้องสาวข้างบ้านเบาๆ ทั้งขี้อ้อน ทั้งเอาใจเก่ง แถมยังเอาเก่ง แล้วแบบนี้โลกันต์จะไม่หลงได้ยังไงกัน
“คิดถึงแล้วสิคะ อยากจะกอดพี่เอาไว้แน่นๆ เอาไว้นานๆเลย”
คำพูดที่ดูเหมือนอ้อนเอาใจนั้น แท้จริงแล้วมันออกมาจากใจของไข่หวานจริงๆ
เธอเสียใจที่รับรู้ว่าเขายังมีผู้หญิงคนอื่นอยู่ข้างๆกาย ทั้งๆที่เธอเองก็พยายามจะเติมเต็มให้แล้ว แต่มันคงไม่พอสำหรับโลกันต์
“หึ อ้อนดีจริงๆ…”
“วันเสาร์นี้เธอมีธุระไปไหนมั้ย?”
“ไม่มีค่ะ พี่กันต์จะพาน้องไข่ไปไหนเหรอคะ”
“ประเทศเพื่อนบ้านใกล้ๆนี่แหละ พี่ว่าจะไปคุยงานสักหน่อย อยากไปเที่ยวด้วยมั้ยล่ะ?”
“ประเทศเพื่อนบ้านงั้นเหรอ อืมม ไปสิคะไปๆ ไข่อยากไปเที่ยวกับพี่กันต์อยู่แล้ว”
ไข่หวานยิ้มร่า แต่ในใจแอบกังวล หวังว่าจะไม่ใช่ประเทศเดียวกับที่ภูติณอยู่นะ ผู้ชายคนนั้นต้องการตัวเธอ
พ่อของไข่หวานส่งขนมไข่ซึ่งเป็นน้องสาวต่างมารดาไปเป็นตัวแทนแล้ว ไม่รู้ว่าตอนนี้มาเฟียที่แสนจะโหดร้ายอย่างภูติณจะรู้หรือยังว่าบ้านของเธอนั้นตบตา หากรู้ขึ้นมาเธอคงโดนเอาตัวไปแน่ๆ
โลกันต์เองก็ไม่เคยรู้เรื่องนี้ ไม่เคยทราบเลยว่าภูติณต้องการเอาตัวผู้หญิงของเขาไป รู้เพียงแค่ว่าบ้านของไข่หวานนั้นล้มละลาย...
ณ ประเทศเพื่อนบ้าน
ทางด้านของขนมไข่
ขนมไข่ทำหน้าที่แทนไข่หวานได้เป็นอย่างดี แม้จะเป็นเพียงนางบำเรอตัวแทนที่ภูติณไม่ต้องการ แต่เธอก็ทำหน้าที่ได้ไม่มีขาดตกบกพร่องเลยสักนิด
“คุณขนมคะ คุณท่านเชิญไปพบที่ห้องทำงานค่ะ”
ห้องทำงานของภูติณอยู่ภายในโรงแรมแห่งนี้ เขาเหมาชั้นเอาไว้หมดแล้ว เพื่อนและหุ้นส่วนคนสำคัญของเขาเองก็เป็นเจ้าของโรงแรมนี้ด้วยเช่นกัน
ก๊อก ก๊อก ก๊อก!
ขนมไข่เคาะประตูเป็นมารยาท แม้ว่าจะทรมานใจไปบ้างกับการย้ายมาอยู่ที่นี่ เธอแทบไม่ได้ออกไปไหนเลย มันช่างน่าเบื่อซะเหลือเกินสำหรับสาวเมืองกรุงเช่นเธอ
มาเฟียหนุ่มหน้าแขกเหลือบมองจอมอนิเตอร์แสดงภาพกล้องวงจรปิดหน้าห้องก็พบว่าเป็นขนมไข่
“เข้ามาได้”
“สวัสดีค่ะท่าน ไม่ทราบว่าท่านเรียกขนมมามีอะไรรึเปล่าคะ?”
ขนมไข่ก้มหน้าแล้วเอ่ยถามเขาออกมาอย่างสุภาพ แม้ว่าจะตกเป็นเมียของเขามาก็หลายรอบ แต่กลับไม่ชินเลยสักนิด
“ทำตัวห่างเหินจังล่ะสาวน้อย เธอเป็นเมียฉันแล้วนะ”
ภูติณเหยียดยิม้ร้ายขึ้นเมื่อเห็นสาวน้อยไร้เดียงสาก้มหน้างุดมองแต่พื้น
“เงยหน้าแล้วมองฉัน”
เขาเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา นั่นยิ่งทำให้ขนมไข่รู้สึกกลัวและไม่กล้าสบตา
“บอกให้เงยหน้าขึ้นแล้วมอง!”
ขนมไข่สะดุ้งเฮือกเมื่อคนตรงหน้าตวาดเธอเสียงดัง
ดวงหน้าสวยเงยขึ้นสบตากับหนุ่มหน้าแขกนัยย์ตาสีเขียวหม่น หนวดและเคราน้อยๆนั่นแสดงให้เห็นถึงความหล่อ แต่ก็โหดเหี้ยม
“ทำไมต้องทำเหมือนกลัวฉันตลอดเวลา ทำไม หน้าฉันมันน่ากลัวนักรึไง!?”
เขาโมโหแล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้ทำงานของตัวเองแล้วเข้ามายืนประจันหน้า
“ไม่ใช่แบบนั้นนะคะ เพียงแค่ แค่...”
“แค่อะไร?”
“ขนมไม่อยากสบตากับคุณ ขนม ขนมอายค่ะ”
แม้จะหวาดกลัวในใจเบาๆ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเธออาย
อายมากจริงๆ
“อายอะไร?”
“ก็ เรานอนกันก็ตั้งหลายครั้ง ท่านเป็นคนแรกของขนม ขนมไม่กล้าสบตากับท่านหรอกค่ะ”
เธอพูดออกมาจากใจจริง เขาเป็นผู้ชายคนแรกของเธอ
เมื่อได้ยินแบบนั้นภูติณก็โอนอ่อนลง ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกติดใจยัยเด็กสาวคนไทย ลูกสาวคนเล็กของไอ้อภิวัฒน์ลูกหนี้ชั้นเลวนั่นนักก็ไม่รู้
“หึ พูดถูกใจฉันดีนักนี่ ไปเรียนวิชาเอาใจผู้ชายแบบนี้มาจากไหนกัน”
เขาถามแล้วยกหลังมืขึ้นลูบไล้นวลแก้มเนียนสวยใสของเด็กสาววัยสิบแปดปี
“ไม่ได้เรียนมาจากไหนนะคะ ขนมพูดตามความรู้สึก”
“แล้วเธอจะจงรักภักดีเป็นผู้หญิงของฉันตลอดไปรึเปล่าขนมไข่?”
“แน่นอนอยู่แล้ว ขนมไม่มีวันทรยศท่านค่ะ”
ชนมไข่พูดออกมาจากหัวใจจริง เธอไม่มีที่ไปแล้ว และร่างกายของเธอก็เป็นของเขาไปแล้ว จะมีหน้าไปมีใครคนใหม่ได้ล่ะ เธอตั้งใจว่าชีวิตนี้อยากจะมีสามีเพียงคนเดียว
แม้ว่าเขาจะไมได้อยู่ในสถานะสามีของเธอก็ตาม แต่ขนมไข่ก็ตกเป็นเมียทางพฤตินัยของภูติณไปแล้ว ใครจะว่าเธอหัวโบราณก็ได้ แต่เธอคิดแบบนี้จริงๆ...
“หึ คิดได้แบบนี้ก็ดีแล้วสาวน้อย จำเอาไว้ อยู่กับฉันเธอจะสบายไปทั้งชีวิต”
ขนมไข่ได้ยินแบบนั้นก็หวั่นใจ หากเขาได้เจอกับไข่หวานแล้วเธอล่ะ? เขาคงจะไม่สนใจเธออีกเลยสินะ
“ขนมไม่ไปไหนหรอกค่ะ นอกจากท่านแล้ว ในตอนนี้ขนมก็ไม่เหลือใครในชีวิตอีกแล้ว...”
ได้ยินเด็กสาววัยสิบแปดปีพูดแบบนั้นแล้ว ใจของภูติณก็อ่อนลงในชั่วขณะ เสือเดียวดายอย่างเขาแน่นอนว่าเข้าใจความรู้สึกนั้นดี ความรู้สึกที่ไม่เหลือใครเลย
“อยู่แต่โรงแรมเบื่อมั้ย อยากจะออกไปเที่ยวบ้างรึเปล่า?”
เขาถามขึ้นมา หลังมือสากยังคงลูบไล้นวลแก้มเนียนไม่หยุด
“ไปได้เหรอคะ ท่านจะพาขนมไปเที่ยวเหรอคะ”
น้ำเสียงหวานเอ่ยถามขึ้นอย่างดีใจ ตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่นี่ก็ไม่ได้เดินทางไปไหนเลย
“อืม ให้เป็นพิเศษหนึ่งวัน แต่ถ้าพาไปเธอจะหนีฉันไปรึเปล่า”
“ขนมจะหนีไปไหนได้คะ ตัวของขนมเป็นของท่าน และขนมก็ไม่มีที่ไป ไม่เหลือใครแล้วค่ะ.
ขนมไข่พูดเสียงเศร้า เห็นแบบนั้นเขาก็รู้สึกเอ็นดูขึ้นมา
“งั้นก็ไปอาบน้ำแต่งตัวซะ วันนี้จะพาไปห้าง”
“เอ่อ ท่านคะ”
ขนมไข่เรียกเขานิดนึง ที่จริงมีที่ที่เธออยากจะไปมากกว่าวัด
“อะไร”
“ประเทศนี้มีที่ที่หนึ่งที่ขนมอยากจะไป ท่านพอจะพาขนมไปได้มั้ยคะ”
“ที่ไหนล่ะ?”
วันนี้เขาตามใจเธอเป็นพิเศษ เพราะรู้สึกสงสารยัยนางบำเรอตัวแทนคนนี้ขึ้นมาซะดื้อๆอย่างบอกไม่ถูก อาจจะเพราะว่าเขาเองก็เติบโตมาอย่างโดดเดี่ยว
“วัดค่ะ ขนมอยากไปวัด”
ขนมไข่ยิ้ม
“ทำไมล่ะ ทำไมอยากไปวัด”
“วัดที่ขนมอยากให้ท่านพาไป เป็นสถานที่ที่แม่ของขนมพบกับคุณพ่อค่ะ คุณแม่ของขนมเป็นไกด์จากประเทศไทยและมาทำงานอยู่ที่นี่”
ขนมไข่ทำหน้าเศร้า หากแม่ไม่จากไปเร็วแบบนี้ก็คงจะดี
“ก็ได้ ฉันจะพาเธอไป”
ภูติณไม่ว่าอะไร วันนี้จะเป็นหนึ่งวันที่เขาตามใจแม่สาวน้อยตัวจ้อยคนนี้
ทางด้านของโลกันต์
“ร้อนมากเลยนะคะวันนี้”
ไข่หวานในชุดเดรสกระโปรงยาวกรอมเข่าเอ่ยบ่นขึ้นเล็กน้อย ผิวขาวๆของเธอสะท้อนกับแสงแดด
“ไปกันเถอะ พี่จะพาเข้าไปไหว้พระ”
โลกันต์พาไข่หวานมาไหว้พระที่วัดในประเทศเพื่อนบ้าน เขาตั้งใจจะพาเธอเที่ยวก่อนแล้วค่อยเข้าไปคุยงาน เดี๋ยวจะต้องพาไข่หวานไปทิ้งที่โรงแรม
“ค่ะ”
ไข่หวานไม่ได้บ่นอะไรต่อ เธอยอมเดินตามเขาไปเงียบๆ อุตส่าห์พามาเที่ยวนี่นะ ทั้งๆที่ใจจริงไข่หวานอยากจะไปยุโรปรึญี่ปุ่นอะไรทำนองนี้มากกว่า เธอชอบอากาศเย็นๆมากกว่าร้อนแบบนี้....