ตอนที่ 3 (2)
อึก! เจ็บนะ
“..อีกอย่าง คุณไม่ใช่คนจ่ายเงินเดือนผม เพราะงั้นอย่าหลงตัวเองไปหน่อยเลย”
กรี๊ด แต่ฉันก็เป็นลูกสาวของคนที่จ่ายเงินเดือนนายไม่ใช่หรอไง ฉันจ้องหน้าหมอนั่นอย่างเจ็บแค้นในอก
ธิษณ์นัยน์ตาไหวติงชั่วแวบสั้นๆ ก่อนจะหรี่ตาลง ..เพ่งมองที่แก้มด้านหนึ่งของฉันอย่างสงสัย
“นั่นรอยอะไร?”
ฉันสะดุ้ง รีบถอยออกห่างหมอนั่นทันควัน
“ไม่มีอะไร”
“โกหก มีอะไรเกิดขึ้นกับคุณใช่ไหม” ธิษณ์จ้องฉันด้วยสายตาคาดคั้น
“จะสนใจฉันทำไม ฉันไม่ใช่เจ้านายของนาย ไม่ใช่คนที่นายต้องปกป้อง จะเกิดอะไรขึ้นก็ช่างฉันเถอะน่า” ฉันหันข้างให้ธิษณ์อย่างขุ่นเคือง พูดแล้วก็โมโห
ธิษณ์จับท่อนแขนฉันแล้วกระชากให้หันกลับไปเผชิญหน้าแต่ว่าเพราะหมอนั่นออกแรงมากไปหรือฉันเหนื่อยล้าก็ไม่รู้ทำให้ร่างฉันเซเสียศูนย์ล้มลงบนเตียงโดยเกี่ยวร่างของธิษณ์ลงมาด้วย
พลั่ก
“กรี๊ด”
ไม่นะ.. หัวใจฉันกระตุกวูบ เมื่อรับรู้ได้ถึงร่างกายที่แนบทับลงมาของธิษณ์
“นี่! ลุกออกไปนะไอ้บ้า” ฉันโวยวายลั่นห้องพลางยกมือขึ้นดันตัวหมอนั่นอย่างร้อนรน ธิษณ์ขยับตัวเว้นระยะห่างระหว่างร่างกายของเราแต่ก็ไม่ยอมลุกออกไป หมอนั่นจับข้อมือทั้งสองข้างของฉันกดเอาไว้ข้างหัวไหล่ คร่อมร่างฉันเอาไว้ด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง
ตึกๆ ตึกๆ จู่ๆ หัวใจก็เต้นแรงขึ้นมา
“....”
อย่ามาทำเข้มใส่ฉันนะ ฉันจ้องธิษณ์ด้วยสายตารังเกียจ ชิงชัง รับไม่ได้อย่างแรงที่ตกอยู่ใต้ร่างของคนรับใช้แบบนี้ อี๋! ขยะแขยงนายจะแย่อยู่แล้วนะ
“เอาร่างกายต่ำๆ ของนายออกไปให้ห่างฉันนะไอ้คนรับใช้บ้า”
“ถ้าไม่อยากให้ผมทำอะไรต่ำๆ กับคุณละก็เลิกโวยวายแล้วก็ตอบคำถามผมมาตามตรง”
“นายกล้าเหรอ ลองทำอะไรฉันดูสินายได้เจอดี.. อุ๊บอื้อ” คำพูดของฉันถูกกลืนหายไปในลำคอเมื่อถูกริมฝีปากของธิษณ์ประกบ อึก.. นี่นาย หัวใจฉันร้อนเป็นไฟขึ้นมาทันที ริมฝีปากของธิษณ์ที่เคล้าคลึงอยู่บนเรียวปากของฉันสร้างความหวิวไหวจนเผลอเปิดริมฝีปากโดยไม่รู้ตัว
“อะ..อื้อ!~” ฉันเบิกตากว้างเมื่อรู้สึกได้ถึงปลายลิ้นร้อนแฉะที่สอดไซ้เข้ามาข้างใน หัวใจฉันกระตุกไหว ดวงตาปริ่มน้ำ รู้สึกอดสูและโกรธตัวเองที่เผลอไผลไปกับสัมผัสป่าเถื่อนของพวกขี้ข้า มันทำให้ฉันรังเกียจแต่ก็รู้สึกดีในเวลาเดียวกัน นี่มันบ้ากันอะไร..
ฉันรู้สึกหัวหมุน ภายในอกร้อนรุ่ม จิตใจว้าวุ่นและสับสน ความรู้สึกขยาดแขยงที่ผสมปนเปไปกับความหวามหวิวจากจูบต้องห้ามของธิษณ์ทำฉันอ่อนระทวยไปจนไม่เหลือแรงดิ้นรนขัดขืน หมอนี่จูบเก่ง.. ฉันรู้ในทันทีที่ร่างกายพ่ายแพ้ให้กับสัมผัสเร้าอารมณ์ของคนข้างบน แม้แต่ธรรศยังไม่ทำให้ฉันโอนอ่อนได้แบบนี้
อึก! ฉันเกลียดตัวเองชะมัด ทำไม.. ทำไมฉันต้องมีความรู้สึกกับคนใช้บ้านตัวเองด้วย
..น้ำตาฉันไหลออกมาเปียกหมอนจนรู้สึกได้
ธิษณ์ละริมฝีปากออกห่างเมื่อรู้สึกได้ถึงความแน่นิ่งไร้การป้องกันตัวของฉัน ดวงตาสีอำพันคมกริบราวกับหมาป่าจ้องลงมาที่ฉันอย่างไม่หวั่นไหว
“แค่จูบก็เป็นขนาดนี้แล้วเหรอ”
“อึก..” ใบหน้าฉันร้อนวูบกับคำพูดเสียดแทงของหมอนั่น
“อีกอย่าง ผมไม่ใช่คนรับใช้ แต่เป็นคนขับรถและบอดี้การ์ดของคุณหนูแยมจำใส่หัวสมองของคุณเอาไว้”
ไอ้ท่าทีเลือกปฏิบัติแบบนั้นมันอะไรกัน
“ฉันก็เป็นพี่สาวของยัยแยมนะ นายไม่มีสิทธิ์มาทำเรื่องถ่อยๆ กับฉันแบบนี้” ฉันจ้องหน้าธิษณ์นัยน์ตาสั่นระริกด้วยความโกรธระคนน้อยใจ
“เรื่องถ่อยๆ เหรอ ต้องให้เตือนไหมว่าใครกำลังนอนตัวสั่นอยู่ใต้ร่างของผม หืม?”
ฉันสะดุดกึก.. เมื่อได้ยินคำพูดบาดหูแสนแสบทรวงที่หลุดออกมาจากปากของธิษณ์ ในอกแทบจะลุกเป็นไฟ
“สารเลว” ฉันก่นเสียงลอดไรฟันออกมาจ้องเข้าไปในดวงตาสีอำพันคมกริบของหมอนั่นอย่างเคียดแค้นชิงชัง
ธิษณ์ทำเสียงหึในลำคอก่อนจะใช้ปลายนิ้วแข็งแกร่งดันคางฉันขึ้นจนขนานกับใบหน้าของเขา
“แต่คุณก็ยังขอให้คนสารเลวอย่างผมไปช่วยไม่ใช่เหรอ เกิดอะไรขึ้นล่ะ ทำไมถึงไม่เรียกใช้แฟนคุณแทนที่จะเป็นผม” หมอนั่นมองลงมายังฉันด้วยสายตาทิ่มแทง
“ฉันไม่อยากให้มิกซ์ต้องมาเสี่ยง” ฉันรู้สึกบีบรัดในอก เบือนหน้าไปด้านข้างอย่างขมขื่นเมื่อต้องโกหกเพื่อปกปิดบาดแผลภายในใจ
“ก็เลยเรียกผมไปแทนอย่างงั้นเหรอ” ธิษณ์บีบคางฉันแน่นขึ้นจนรู้สึกเจ็บร้าว จับหน้าฉันให้หันมาเผชิญหน้ากับเขา
“เจ็บ...”
“ผมไม่ใช่ตัวตายตัวแทนของใคร” ดวงตาสีอำพันคมกริบลุกวาวก่อนจะสะบัดมือออกจากคางฉัน
ฉันขบฟันอย่างพูดอะไรไม่ออก.. เหลือบมองใบหน้าแข็งกร้าวของธิษณ์อย่างปวดใจ พูดออกไปด้วยน้ำเสียงอัดอั้น
“ฉันผิดเองแหละที่โทรหานาย ในเมื่อนายไม่เต็มใจจะมาช่วยฉัน.. จูบเมื่อกี้ถือว่าเป็นค่าตอบแทนก็แล้วกัน และต่อไปไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นฉันก็จะไม่รบกวนนายอีก”
ฉันใช้มือยันหน้าอกธิษณ์ออกก่อนจะลุกขึ้นปาดน้ำตาที่ไหลทิ้งแล้วเดินมึนงงมาที่ประตู ในหัวฉันตอนนี้คิดอะไรไม่ออกแล้ว ไม่รู้จะเริ่มต้นทำอะไรจากตรงไหนจังหวะนั้นเสียงธิษณ์ก็ดังขึ้น
“สภาพแบบนั้นคิดจะไปไหน”
“จะไปไหนมันก็ไม่เกี่ยวกับนาย”
“จะอวดเก่งก็หัดรู้ตัวเองซะบ้าง” ธิษณ์เอื้อมมือมาจับข้อมือฉันแล้วกระตุกดึงฉันเข้าไปใกล้
“ปล่อยนะ อย่ามาทำตัวแบบนี้กับฉันนะ” ฉันสะบัดมือธิษณ์ออกสุดแรง
ดวงตาคมกริบลุกวาวประหนึ่งมีลูกไฟสุมอยู่ข้างในนั้น ฉันเย็นสันหลังวาบ รู้สึกใจสั่นกับคำพูดไม่ยั้งคิดของตัวเอง แต่ฉันก็ไม่เคยรู้สึกอยากขอโทษเขาเลยสักนิด ในสายตาของฉันธิษณ์ก็แค่เด็กที่ถูกเก็บมาเลี้ยง เป็นแค่คนใช้ในบ้านที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงก็เท่านั้น เพราะงั้นฉันถึงได้รู้สึกเกลียดขี้หน้าหมอนี่มากไงล่ะ
“คิดว่าตัวเองสูงส่งกว่าคนอื่นนักหรือไง” ธิษณ์กระชากแขนฉันเข้าหาเต็มแรงจนตัวฉันกระแทกเข้ากับลำตัวแข็งแกร่งของเขา
ปึก!
“อึก...” ฉันกลั้นลมหายใจชั่วขณะเมื่อหน้าอกปะทะเข้ากับแผ่นอกกว้างของธิษณ์จนรู้สึกเจ็บ เลิกหาเศษหาเลยกับร่างกายฉันสักที
“คุณมันก็แค่บังเอิญโชคดีที่มาเกิดในครอบครัวร่ำรวยมีพร้อมทุกอย่าง แต่รู้อะไรไหม.. คุณค่าในตัวคุณมันเทียบไม่ได้เลยสักนิดเมื่อเทียบกับสิ่งที่บรรพบุรุษคุณสร้างมา เอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะแล้วค่อยมาดูถูกคนอื่น” ธิษณ์จ้องฉันด้วยแววตาแข็งกร้าว เขาผลักฉันออกห่างทันทีที่เทศนาจบ ก่อนจะเดินไปหยิบแจ๊คเก็ตบนเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานขึ้นมาถือแล้วเดินผ่านฉันไปที่ประตู
“เรื่องในคราวนี้ผมจะทำเป็นไม่เห็น แต่ถ้าเกิดอะไรทำนองนี้ขึ้นอีกผมจะรายงานพฤติกรรมเหลวแหลกของคุณให้คุณท่านทราบ”
“นี่นาย” ฉันสวนกลับขึ้นมาทันควัน จ้องตอบแววตาจริงจังของหมอนั่นอย่างเดือดดาล คิดจะขู่ฉันเหรอ
“รีบเดินได้แล้ว ผมจะไปส่งแล้วก็แต่งตัวให้มันเรียบร้อยด้วย”
“กรี๊ด! ไอ้บ้า” ฉันมองแผ่นหลังของธิษณ์เดินนำออกจากห้องไปด้วยสายตาเดือดพล่าน ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างเจ็บใจ
ฉันให้ธิษณ์มาส่งที่บ้าน หมอนั่นมีท่าทีแปลกใจเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้เอ่ยถามอะไรออกมาตลอดทาง ฉันพบกระเป๋าตัวเองที่วางทิ้งเอาไว้ตรงเบาะหลัง ระหว่างนั่งอยู่ในรถก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเช็กข้อความจากมิกซ์ แต่ก็ไร้วี่แวว.. หัวใจฉันวูบไหว หน้าอกปวดแปลบเมื่อคิดว่าฉันอาจจะถูกทิ้งแล้วจริงๆ
รถที่วิ่งช้าลงทำให้ฉันรู้สึกตัว ดึงสติออกจากภวังค์เศร้าตรม เหลือบมองคฤหาสน์หลังใหญ่ตรงหน้านิ่ง เป็นครั้งแรกที่ฉันรู้สึกอุ่นใจที่ได้กลับมาบ้าน ไม่มีที่ไหนปลอดภัยเท่าที่นี่อีกแล้ว
ฉันมันโง่เองที่คิดว่าตัวเองปีกกล้าขาแข็งพอจะต่อกรกับโลกภายนอกนั่นได้