ตอนที่ 3 (1)
พลั่ก!
“โอ๊ย” ฉันร้องออกมาอย่างจุก เมื่อถูกผลักเข้ามาในลิฟต์อย่างไม่ปรานี ไอ้บ้าพวกนี้นี่ ฉันหันไปทำตาเขียวใส่พวกมันอย่างแค้นเคือง
“ไปทำให้คุณธรรศโกรธแบบนั้นเธอได้เห็นนรกทั้งเป็นแน่” คนหนึ่งพูดขึ้นมาระหว่างรอลิฟต์ลงไปชั้นล่าง ไม่สินี่มันชั้นห้า!? ฉันมองปุ่มที่พวกนั้นกดอย่างใจคอไม่ดี
“เป็นของคุณธรรศคนเดียวไม่ชอบ อยากได้หลายคนก็ไม่บอกตั้งแต่แรก” อีกคนพูดขึ้นมาอย่างคะนองปาก
ฉันรู้ตัวทันทีว่าที่ที่กำลังจะถูกพาไปเป็นที่แบบไหน ให้มันได้อย่างนี้สิ
ติ้ง! ประตูลิฟต์เปิด.. ฉันรู้ว่าชีวิตต้องจบสิ้นลงตรงนี้แน่ๆ ถ้าหากยอมออกไปกับพวกมัน ฉันรวบรวมแรงเฮือกสุดท้ายฉวยโอกาสตอนที่พวกมันผลักฉันออกมาจากลิฟต์ สลัดตัวให้หลุดจากการจับกุมแล้ววิ่งมาที่บันไดหนีไฟอย่างไม่คิดชีวิต
“เฮ้ย! หยุดเดี๋ยวนี้นะ” เสียงร้องตะโกนไล่หลังมาติดๆ
บ้าเอ๊ย พวกบ้านั่นวิ่งเร็วชะมัด แป๊บเดียวก็จะตามฉันทันแล้ว ฉันถลกปลายกระโปรงชุดราตรีที่ยาวกรอมข้อเท้าขึ้นวิ่งลงบันไดอย่างทุลักทุเล
“หยุดนะ!”
“ว้าย!” ข้อมือข้างหนึ่งของฉันถูกคว้าเอาไว้ ฉันร้องเสียงหลงสะบัดมือดิ้นรนอย่างอุตลุด จนมือหลุดฉันก็รีบวิ่งต่ออย่างไม่สนใจอะไรทั้งนั้น พวกนั้นยังคงตามมาอย่างกัดไม่ปล่อย เสียงฝีเท้าและเสียงตะโกนดังสะนั่นไม่หยุดจนกระทั่งถึงทางออก บันไดหนีไฟพาฉันมาโผล่ด้านนอกโรงแรมซึ่งติดกับลานจอดรถ
ฉันเหยียบเท้าลงบนพื้นซีเมนต์เย็นเยียบ วิ่งโล่ออกมาอย่างหน้าตาตื่น หัวใจเต้นแรงไม่หยุด ทั้งดีใจที่หนีออกมาได้ ทั้งผวาว่าจะถูกคว้าตัวเอาไว้ได้อีก ระหว่างที่ฉันกำลังตั้งหน้าตั้งตาวิ่งหนีคนที่ตามมาอย่างไม่รู้เหนือรู้ใต้ แสงไฟหน้ารถคันหนึ่งก็ส่องสว่างวาบเข้ามาแยงตาพร้อมกับเสียงบีบแตร์ดังลั่น
ปี๊บบบบบบบบ!!!!
“กรี๊ด!” ฉันร้องออกมาเสียงหลง ยกมือขึ้นป้องหน้าตัวเองอย่างขวัญกระเจิง หัวใจเต้นไม่เป็นส่ำ
“เฮ้ย!” สองคนที่วิ่งตามมาชะงักเท้าเมื่อเห็นภาพที่ฉันเกือบจะถูกรถชน จังหวะที่พวกนั้นกำลังอึ้ง สายตาฉันก็ประสานเข้ากับสายตาของคนขับรถที่อยู่ข้างในนั้นเข้าโดยบังเอิญ
หัวใจฉันพองโตขึ้นมาทันที ตะโกนเรียกชื่อเขาออกมาอย่างกับได้เกิดใหม่
“ธิษณ์!”
พริบตาที่ฉันเรียกชื่อนั้นออกมา ประตูรถก็ถูกเปิดออกแล้วกระแทกปิดเสียงดังปึก ทำให้ไอ้สองตัวนั่นได้สติแล้วรีบเข้ามารวบตัวฉันเอาไว้ก่อนที่ธิษณ์จะมาถึง
“ธิษณ์ช่วยด้วย”
“เฮ้! มันเรื่องอะไรกัน” หมอนั่นเหลือบมองไอ้สองตัวที่หิ้วแขนฉันคนละข้างด้วยสายตาสงสัย
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับแก อย่ายุ่ง”
“เอาตัวไปได้แล้ว” อีกคนเอ่ยขึ้นมา
“โทษทีว่ะ ผู้หญิงคนนี้เป็นหนึ่งในสมบัติที่ฉันต้องปกป้องคงจะไม่ยุ่งไม่ได้” ธิษณ์เดินเข้ามาขวาง เขาผลักหน้าอกไอ้ตัวที่เกาะแขนซ้ายฉันอยู่ด้วยสีหน้าเอาเรื่อง
ฉันอึ้งไปชั่วครู่กับคำว่า ‘สมบัติที่ต้องปกป้อง’ ของธิษณ์
“เฮ้ย! อยากมีเรื่องหรือไง” อีกคนรีบสวนขึ้นมาทันควัน
“มัวทำอะไรอยู่ รีบๆ จัดการพวกมันแล้วช่วยฉันสักทีสิ นายเป็นบอดี้การ์ดไม่ใช่หรือไง” ฉันตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด โกรธที่ตานั่นมัวแต่ยึกยักหยั่งเชิงกันอยู่นั่นแหละ พวกนี้เป็นศัตรูของฉันมองปราดเดียวก็น่าจะรู้แล้วไม่ใช่หรือไง อย่าทำเป็นโง่หน่อยเลย
“บอดี้การ์ด” ไอ้คนที่ถูกธิษณ์ผลักอกเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ
“ชิ นั่นเป็นคำพูดที่คุณใช้ขอความช่วยเหลือจากคนอื่นหรือไง” ธิษณ์สบถอย่างไม่พอใจก่อนจะปล่อยหมัดตรงเข้าที่หน้าไอ้คนทางซ้ายของฉันไปเต็มรัก
“อั่ก แก..” มันเซถอยหลังไปหลายก้าว ก่อนจะตั้งหลักได้แล้วจ้องธิษณ์เขม็ง เมื่อแขนข้างหนึ่งเป็นอิสระฉันก็รีบอาละวาด ตบ หยิก ข่วนอีกคนที่ล็อกแขนขวาฉันอยู่ทันทีโดยไม่ปล่อยให้พวกมันได้ตั้งตัว
“โอ๊ย ยัยบ้านี่” ไอ้หมอนั่นเงื้อมือขึ้นจะตบฉันเสียงเยือกเย็นของธิษณ์ก็ดังขึ้น
“เฮ้ย คู่ต่อสู้ของมึงคือกู” สิ้นเสียงนั่นพื้นรองเท้าหนาๆ ของธิษณ์ก็เสิร์ฟเข้าที่ลำตัวของไอ้คนที่คิดจะตบหน้าฉันทันที
“อุก” แรงถีบส่งตัวของมันให้ลอยหวือไปในอากาศแล้วกระแทกลงบนพื้นอย่างแรง
“แก ไอ้เวร” อีกคนที่ตั้งตัวได้แล้วรีบสวนเข้ามาโจมตีธิษณ์ทีเผลอ แต่ธิษณ์ก็หลบได้อย่างไม่ยากเย็นก่อนจะสวนหมัดเข้าที่ท้องของมัน ตามด้วยหมัดอีกข้างเข้าที่หน้า แล้วหมุนตัวหลบการโจมตีที่สวนมา จากนั้นก็กระทุ้งศอกเข้าที่ท้ายทอยของมันเต็มๆ เล่นเอาไอ้บ้านั่นซวนเซยืนไม่อยู่กระทั่งล้มลงหมดสภาพบนพื้น
“แก..” อีกคนที่ถูกถีบไปลุกขึ้นยืน มองเพื่อนถูกเล่นงานด้วยสายตาลุกวาว
“เข้ามาเลย” ธิษณ์กระดิกนิ้วเรียก ขยับคอสองทีเกิดเสียงกระดูกลั่นเปี๊ยะๆ เข้าสู่โหมดพร้อมต่อสู้
ธิษณ์ฝึกการต่อสู้เพื่อที่จะเป็นบอดี้การ์ดให้ยัยแยมมาตั้งแต่เด็ก ฉันไม่เคยสงสัยในฝีมือของเขาเลย
ลูกน้องของธรรศมีท่าทีลังเล ตวัดสายตามองมาที่ฉันอย่างโมโห ก่อนจะสบถออกมาแล้วเข้าไปพยุงร่างของเพื่อนที่นอนพะงาบๆ อยู่บนพื้นขึ้นยืน
“ฝากไว้ก่อนเถอะแก.. อย่าคิดว่าเรื่องมันจะจบลงแค่นี้” หมอนั่นหันมาเตือนฉันในประโยคสุดท้ายก่อนจะจากไป
“....” ฉันกัดริมฝีปากอย่างรู้สึกหวาดหวั่น กำมือแน่น..
“เฮ้!” เสียงธิษณ์ที่ดังขึ้นมาทำฉันสะดุ้ง
“อะไร” ฉันมองหน้าเขาอย่างหัวเสีย
“ขึ้นรถ” ธิษณ์พยักหน้าสั่งฉันเสียงแข็งก่อนจะเดินวนไปเปิดประตูรถฝั่งคนขับแล้วเข้าไปนั่งรอฉันในรถโดยไม่พูดอะไรอีก..
ฉันเงยหน้าขึ้น ไล่ความว้าวุ่นในหัวทิ้งไป เดินมาเปิดประตูรถเข้ามานั่งเบาะหลัง ถอนหายใจออกมาก่อนหลับตาลงอย่างอ่อนล้า.. ในหัวหนักอึ้งไปหมด เรื่องที่เจอมามันหนักหนาเกินกว่าจะคิดว่าเกิดขึ้นภายในวันเดียว
ฉันลืมตาขึ้นเมื่อรู้สึกได้ถึงแรงกระแทกแผ่วเบาที่หลังและสัมผัสอบอุ่นบนร่างกาย ก่อนจะเบิกตาโพลงเมื่อรู้ว่าถูกวงแขนแข็งแกร่งของธิษณ์โอบอุ้มและกำลังจะวางฉันลงบนเตียง
“นี่นาย! ปล่อยฉันนะ” ฉันดิ้นพรวดพราด ผลักหมอนั่นออกห่างทันทีที่รู้สึกตัว
ธิษณ์ทำเสียงในลำคอก่อนจะผละออกไปด้วยท่าทีรำคาญ
“ถ้าจะตื่นก็รีบตื่นให้ไวกว่านี้ไม่ได้หรือไงจะได้ไม่ต้องอุ้มขึ้นมาให้มันเหนื่อย”
“ว่าไงนะ”
ฉันรู้สึกรังเกียจขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินอะไรที่ชวนยี้แบบนั้น ก่อนจะสะดุดสายตาเข้ากับสภาพแวดล้อมภายในห้องที่ไม่คุ้นเคย
“เดี๋ยว นี่ฉันอยู่ที่ไหน.. นายคิดจะทำบ้าอะไรกับฉันธิษณ์” ฉันหันรีหันขวางอย่างกระวนกระวายใจ สิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานทำให้ฉันผวาไม่หาย
“ทำอะไร? สภาพคุณตอนนี้มันไม่น่าพิศวาสเลยสักนิด”
กรรซ์! หมอนี่.. มันจะมากไปแล้วนะ ฉันกัดฟันกรอดก่อนจะก้มลงมองตัวเองที่เสื้อผ้าเสียทรงจนยับยู่ยี่ สายเสื้อตกหลุดลุ่ย คอเสื้อหลุบลงไปจนสุดเต้าเห็นบราเซียร์เกาะอกสีดำโผล่พ้นขึ้นมาทั้งดุ้น ฉันใจหายวาบ รีบจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่ทันที ยิ่งไม่ต้องพูดถึงทรงผม ตอนนี้คงจะกระเจิงเป็นยัยเพิ้งอยู่แน่ๆ
“ใช่สิ สารรูปฉันมันไม่ดูดีเหมือนคุณหนูแยมของนายหนิ ชิ” ฉันแขวะออกไปอย่างหมั่นไส้ ธิษณ์ที่ยืนกอดอกจ้องฉันอยู่ไม่วางตาไหวตัวทันที พูดออกมาเสียงแข็ง
“แล้วเกี่ยวอะไรกับคุณหนูแยม”
ฉันทำเสียงเหอะในลำคอพลางแสยะปากล้อเลียนธิษณ์
“แล้วตกลงตอนนี้ฉันอยู่ที่ไหน นายยังไม่ตอบฉันเลยนะ” ฉันท้วงเมื่อนึกขึ้นได้ ธิษณ์พ่นลมหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายก่อนจะตอบออกมาเสียงราบเรียบ
“ห้องผมเอง”
“ว่าไงนะ” ฉันรีบเด้งตัวลุกขึ้นจากเตียงทันที อี๋! งั้นที่นอนไปเมื่อกี้ก็เตียงหมอนี่น่ะสิ แหวะ.. โคตรจะรังเกียจเลย ฉันสะบัดเนื้อตัวแสดงอาการขยะแขยงออกมาอย่างลืมตัว
“นี่” ธิษณ์ขึ้นเสียงอย่างไม่พอใจ เหอะ ฉันเชิดหน้าอย่างไม่แคร์
“แล้วใครใช้ให้นายพาฉันมาที่ห้องสกปรกแถมเล็กยังกับรูหนูนี่กัน”
“ใครสอนให้พูดกับผู้มีพระคุณแบบนี้กัน”
“นี่! อย่ามาลำเลิกกับฉันนะ มันเป็นหน้าที่ของนายที่ต้องปกป้องเจ้านายอย่างฉัน”
“ขอโทษด้วย ผมไม่มีหน้าที่ต้องปกป้องคุณ” ธิษณ์เอื้อมมือมาจับคางฉันแน่นแล้วดึงเข้าไปใกล้