ตอนที่ 3 (3)
ฉันเปิดประตูลงจากรถเงียบๆ กำลังจะเดินขึ้นบันไดที่ทอดตัวสู่ประตูบานใหญ่ของคฤหาสน์ ร่างบางของน้องสาวก็วิ่งสวนออกมาอย่างไวว่อง
“พี่แก้ม..” ยัยแยมชะงักเมื่อเห็นฉัน แต่ก็เพียงชั่วครู่เดียวเท่านั้น เมื่อธิษณ์ก้าวออกมาจากรถยัยแยมละความสนใจจากฉัน รีบวิ่งหน้าตั้งเข้าไปหาหมอนั่นทันที
“ธิษณ์.. ขอบใจนะที่มา ว่าแต่นายกับพี่แก้มมาด้วยกันเหรอ”
นี่เดี๋ยวนะ.. ธิษณ์ตั้งใจจะมาที่บ้านใหญ่นี่เพราะยัยแยมตั้งแต่แรกแล้วงั้นเหรอ เหอะ มิน่าล่ะตอนฉันบอกให้มาส่งนี่ถึงไม่ปริปากพูดอะไรสักคำ
ฉันหันไปส่งสายตาขุ่นเคืองให้ธิษณ์ก่อนจะเดินเข้าบ้านอย่างไม่สนใจอะไรอีก สำหรับหมอนั่นไม่ว่าอะไรก็จะยกให้ยัยแยมเป็นที่หนึ่ง ทำตัวเป็นบอดี้การ์ดที่แสนดีและอบอุ่นผิดกับที่ทำกับฉันลิบลับ เหอะ เนื้อแท้แล้วคงกำลังหาโอกาสรวบหัวรวบหางยัยแยมอยู่ละสิ คิดว่าฉันไม่รู้ทันนายเหรอ
“แก้ม” ทันทีที่ฉันเดินผ่านห้องโถงบ้านมาเพื่อจะเดินขึ้นบันไดสู่ชั้นสอง เสียงทุ้มเรียกชื่อฉันก็ดังขึ้น
“คุณป๊า..” ฉันกลืนน้ำลายอึก ทันทีที่เห็นหน้าคุณป๊าน้ำตาฉันก็พานจะไหล ความบอบช้ำมากมายอัดอั้นอยู่ในอกอยากจะโผเข้าไปกอดท่านให้หายหวาดหวั่นแต่.. ฉันก็หยุดตัวเองไม่ให้ทำแบบนั้น ได้แต่จดจ้องหน้าคุณป๊านิ่งอยู่ที่เดิม
ถ้าฉันแสดงความอ่อนแอให้คุณป๊าเห็น.. หรือทำให้คุณป๊าระแคะระคายเรื่องที่เกิดขึ้นกับฉันล่ะก็ ฉันกลัวว่าคุณป๊าจะไม่เอามิกซ์ไว้และจับฉันใส่กรงขังเพื่อตอกย้ำความอ่อนหัดของฉันเสียมากกว่า
พอขัดขืนใจตัวเองไม่ให้ทำตามที่ต้องการแล้วหน้าอกฉันก็จุกแน่นขึ้นมา
“แก้มไปทำอะไรมา ทำไมสภาพถึงเป็นแบบนั้น” คุณป๊าเอียงคอมองด้วยสายตาจับผิด ฉันรู้สึกใจหาย เพราะแทบจะไม่มีอะไรเล็ดลอดจากสายตาของคุณป๊าไปได้
“แก้ม..” ฉันอึกอักเมื่อถูกสายตาของคุณป๊าเพ่งเอาคำตอบ
“พวงกุญแจนี่เป็นไง ถ้ามีคนให้ของแบบนี้กับธิษณ์ ธิษณ์จะคิดยังไงเหรอ” ระหว่างนั้นเสียงคุยสดใสของยัยแยมก็ดังขึ้นมาจากทางประตู
“ผมคงจะโยนทิ้งลงถังขยะอย่างไม่ลังเลเลยล่ะครับคุณหนู”
“โหดร้าย”
ฉันเหลือบไปมองสองคนนั่น รู้สึกมีพื้นที่ให้หายใจเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อยเพราะพวกเขาสามารถเรียกร้องความสนใจจากคุณป๊าได้
“อุ่ย...” ยัยแยมชะงักกึกเมื่อสังเกตเห็นความตึงเครียดที่ไหลเวียนผ่านรอบๆ ตัวฉันกับคุณป๊า และกำลังจะเดินหลบไปทางอื่น ธิษณ์ที่เดินขนาบข้างยัยนั่นอยู่ก็สาวเท้าตรงเข้ามาหาฉันกับคุณป๊าทันควัน
“ธิษณ์” ยัยแยมมองตามด้วยสายตาแปลกใจ
ฉันมองร่างสูงโปร่งที่ก้าวเข้ามาด้วยสีหน้าราบเรียบนั่นอย่างหวาดหวั่น เขาคงไม่ได้คิดจะแฉฉันหรอกนะ
“ธิษณ์” คุณป๊าหรี่ตาลง เรียกชื่อคนตรงหน้าออกมาอย่างสงสัย
“เป็นความผิดของผมเองครับ” จู่ๆ หมอนั่นก็เอ่ยขึ้นมา
“นายพูดเรื่องอะไร” คุณป๊าชักสีหน้าไม่เข้าใจ
ฉันมองหน้าธิษณ์เลิ่กลั่ก กังวลว่าเขากำลังจะพูดอะไรกันแน่ สมองรีดเค้นหาคำพูดแก้ต่างมากมายหากธิษณ์คิดจะโจมตีฉัน
“เพราะผมไปรับคุณแก้มช้าก็เลยห้ามเอาไว้ไม่ทัน” ธิษณ์ก้มหน้าลงอย่างลุแก่โทษ
“หมายความว่ายังไง” คุณป๊าถามเสียงเข้ม เพราะธิษณ์ยึกยักไม่ยอมพูดออกมาให้มันจบๆ
“คุณแก้ม..” ธิษณ์อึกอักอย่างลำบากใจ “เธอมีเรื่องเข้าใจผิดกับเพื่อนที่งานเลี้ยงครับ ก็เลยลงไม้ลงมือกันขึ้นอย่างที่ท่านเห็นสภาพของเธอในตอนนี้..”
ฉันสะท้านวาบเมื่อสบสายตาคมกริบของธิษณ์ที่จ้องมองมา นี่เขากำลังช่วยฉันปกปิดคุณป๊าอยู่งั้นเหรอ.. หัวใจฉันสั่นไหวแปลกๆ รู้สึกอึ้งจนพูดอะไรไม่ออก
“แก้ม! มีอะไรจะแก้ตัวไหม”
ฉันสะดุ้งเฮือกเพราะเสียงเข้มงวดของคุณป๊า พอรู้ว่าลูกสาวไปมีเรื่องกับชาวบ้าน ท่านก็ชักสีหน้าไม่พอใจขึ้นมาทันที ไม่รู้ว่าเป็นห่วงฉันหรือกังวลเรื่องชื่อเสียงกันแน่ แต่อย่างน้อยโดนดุเพราะเรื่องนี้ก็ยังดีกว่าให้คุณป๊ารู้ความจริง
“มะไม่ค่ะ แก้มไม่มีอะไรจะพูด” ฉันกระอึกกระอัก ก้มหน้าอย่างสำนึกผิด รู้สึกเหนื่อยอย่างบอกไม่ถูก
“คราวหลังก็อย่าไปมีเรื่องกับใครถึงขั้นใช้ความรุนแรงอีกล่ะ ป๊าไม่ชอบ”
“ค่ะคุณป๊า” ฉันพยักหน้ารับเบาๆ อย่างไม่มีข้อโต้แย้ง “งั้นแก้มขอตัวขึ้นห้องก่อนนะคะ”
“อืม” คุณป๊าพยักหน้าอนุญาต ฉันรีบหันขวับแล้วเดินขึ้นบันไดทันที ได้ยินเสียงคุณป๊าคุยกับธิษณ์อย่างไม่ได้ตั้งใจ
“ธิษณ์ นายมาก็ดีแล้วฉันกำลังมีเรื่องอยากจะคุยอยู่พอดี”
“อ๊ะ! คุณป๊าจะเอาธิษณ์ไปไหน ธิษณ์มาหาแยมนะ”
เสียงยัยแยมแหวขึ้นมาอย่างเอาแต่ใจ เฮ้อ! ฉันถอนหายใจให้กับน้องสาวที่ทำตัวติดหนึบกับเจ้าคนใช้นั่นอย่างออกนอกหน้าก่อนจะรีบสาวเท้าขึ้นบันไดอย่างรวดเร็ว
ไม่อยากรับรู้หรือได้ยินอะไรที่อยู่ด้านหลังอีกแล้ว
หลายวันต่อมา..
ฉันใช้ชีวิตอย่างหวาดระแวง จะไปไหนมาไหนก็ต้องคอยระวังหลังว่าจะมีใครตามมาจับตัวไปปู้ยี่ปู้ยำอีกหรือเปล่า ถึงแบบนั้นฉันก็ทิ้งความพะวงที่มีต่อมิกซ์ไปไม่ได้ หลังจากเคลียร์งานถ่ายแบบทั้งหมดเสร็จฉันก็บึ่งรถมาที่หอพักของมิกซ์อย่างร้อนใจ
ยังไม่ทันจะก้าวเข้าไปในตึก สายตาฉันก็เหลือบเห็นผู้ชายสวมสูทดำ สวมแว่นกันแดด มาดยังกับบอดี้การ์ดสองคนยืนอยู่หน้าทางเข้าตึก ทำให้ฉันนึกถึงลูกน้องสองคนของธรรศที่ไล่กรวดฉันในคืนนั้นขึ้นมา
ฉันชะงักเท้ากึกทันที ถ้านั่นเป็นคนของธรรศ ทำไมพวกนั้นถึงมาที่นี่.. ฉันครุ่นคิดอย่างสงสัย กำลังจะถอดใจถอยออกมาตั้งหลัก โทรศัพท์มือถือที่กำอยู่ในมือก็สั่นครื้ดขึ้นมาทันควัน
กรุ๊งกะริ๊ง!~ กริ๊งกะรุ๊ง!~
ฉันสะดุ้งวาบอย่างตกใจ ก่อนจะมองโทรศัพท์ในมืออย่างใจหายใจคว่ำ..
0900001XX
เบอร์นี่มัน.. ฉันขมวดคิ้วเมื่อเห็นเบอร์ไม่คุ้นโชว์หราอยู่บนหน้าจอ รีบเดินกลับมาที่รถแล้วเข้าไปนั่งข้างในก่อนจะทำใจให้สงบแล้วกดรับสายที่ยังกะพริบเตือนไม่หยุด
“ฮะโหล”
[รับช้าจังเลยนะ หรือเพราะรู้ว่าเป็นผมล่ะ] เสียงยียวนกวนประสาทดังตอบกลับมา ฉันชะงัก.. นิ่งงันไปครู่หนึ่งก่อนจะถามกลับไปอย่างนึกไม่ออกจริงๆ ว่าเคยรู้จักเจ้าของเสียงนี่มาก่อน
“นั่นใคร”
[จำผมไม่ได้แล้วเหรอ]
ฉันจุ๊ปากอย่างรำคาญ ก่อนจะกระแทกเสียงออกไป
“ไม่ได้ และฉันก็ไม่อยากจะจำคนบ้าอย่างนายด้วย” ฉันกำลังจะกดวาง พอดีปลายสายก็เอ่ยชื่อนั้นออกมาซะก่อน
[ศิวัช.. ไม่อยากเชื่อว่าจะลืมผมได้]
ฉันไหวตัวทันทีที่รู้ว่าเป็นเขา ศิวัช ไอ้บ้าที่พยายามจะซื้อฉันที่งานเลี้ยงวันนั้น
“นายรู้เบอร์ฉันได้ไง” ฉันถามกลับเสียงฉุน
[ใจเย็นๆ น่า.. ผมได้มาจากซินดี้น่ะสิ]
“ว่าไงนะ”
[ฟังผมพูดก่อนสิ แก้มไม่อยากได้สร้อยข้อมือคืนหรือไง]
ฉันชะงัก ..สร้อยข้อมืองั้นเหรอ อย่าบอกนะว่า... แล้วเมื่อกี้เขาเรียกชื่อฉันงั้นเหรอ ได้ทีก็รีบตีสนิทเลยนะ
“นายเก็บมันได้เหรอ” ฉันเบิกตากว้าง ถามกลับอย่างตื่นเต้น
[ใช่ มันหล่นตอนที่แก้มสะบัดมือน่ะ ..อยากได้คืนหรือเปล่า]
“อยากสิ!” ฉันตอบทันควัน
[ถ้าอยากก็มาหาผมสิ]
“....” หน้าฉันร้อนวูบกับคำพูดสองแง่สองง่ามของศิวัช หมอนั่นตั้งใจจะคืนสร้อยข้อมือฉันจริงๆ หรือเปล่าเนี่ย ฉันกรอกเสียงลงไปในสายอย่างไม่ไว้ใจ
“พอดีช่วงนี้ฉันไม่ค่อยว่าง ติดงาน ..เอางี้นายฝากให้เจ๊ซินดี้มาคืนฉันได้ไหมพอดีพวกเราเจอกันบ่อยน่ะ”
[เสียใจด้วยนะ เผอิญช่วงนี้ผมไม่ได้เจอซินดี้เลย ถ้าแก้มอยากได้คืนก็ต้องมาเอาด้วยตัวเอง ตอนนี้เลย]
“หา”
[ผมจะรออยู่ที่ล็อบบี้สวนลอยฟ้าของโรงแรมโอลิมเปียร์จนถึงทุ่มตรง]
ติ้ด!
อ้าวเฮ้ เดี๋ยวดิ.. ฉันมองโทรศัพท์ที่เพิ่งถูกตัดสายไปอย่างหัวเสีย อะไรของหมอนั่นเนี่ย
..โรงแรมโอลิมเปียร์งั้นเหรอ
ฉันยกนิ้วขึ้นกัดเล็บอย่างครุ่นคิด ไม่ไว้ใจศิวัชเลยแต่สร้อยนั่นก็สำคัญจนตัดใจทิ้งไม่ลง โอ๊ย ตกลงว่ายังไงฉันก็ต้องไปใช่ไหม? ฮึ่ย