ตอนที่ 2 (2)
“อยากได้อีตัวก็ไปหาเอาที่อื่น อย่ามาทำให้งานวันเกิดของรุ่นน้องร่วมอาชีพฉันต้องเสียเพราะความบ้ากามของนาย”
“บ้ากาม? แปลว่าอะไร” ศิวัชเลิกคิ้วขึ้นอย่างกวนๆ
ฉันชะงัก อ่านไม่ออกว่าเขาไม่รู้จริงหรือแกล้งซื่อ แต่ว่ามาจากฮ่องกงงั้นเรอะ เหอะ.. หน้าก็ไทยอย่ามาทำกระแดะฟังไม่ออกหน่อยเลย
ฮึ่ย! อยู่กับหมอนี่แล้วเสียอารมณ์ชะมัด
ฉันมองเข้าไปในดวงตาใสซื่อของศิวัชอย่างหงุดหงิด สบถลมหายใจออกมาแล้วเบือนหน้าหลบเพื่อตัดรำคาญ กำลังจะเดินเลี่ยงออกมาหมอนั่นก็เข้ามาขวางทางฉันเอาไว้ทันที
“ยังไม่ตอบเลยนะ บ้ากามแปลว่าอะไร”
“นี่!” ฉันขึ้นเสียง จ้องหน้าเขานัยน์ตาลุกวาว
ศิวัชเหยียดยิ้มกวนอารมณ์ ดวงตาฉายแววเจ้าเล่ห์ออกมาอย่างไม่ปิดบัง
“หึ.. ผมล้อเล่นน่า แค่อยากเห็นคนสวยอย่างเธอทำหน้างอเท่านั้นเอง แต่ผมว่าหน้าตอนยิ้มสวยและมีเสน่ห์กว่า ว่าแล้วเชียว เธอต้องดูยั่วยวนมากแน่ๆ ตอนอยู่บนเตียง”
“นี่นายจะหาเรื่องใช่ไหม!” ฉันตะโกนออกไปเสียงดังลั่นอย่างลืมตัวทำให้คนในงานหันมามองเป็นตาเดียว
อึก! แย่ละสิ นี่ฉันทำอะไรลงไปเนี่ย ฉันหน้าเจื่อนลง รู้สึกร้อนรนกับสายตาของคนรอบข้างที่มองมาอย่างสนใจ บ้าเอ๊ย เพราะนายคนเดียวเลย
ฉันเหลือบมองศิวัชด้วยสายตาโมโห
“บ้าเอ๊ย!”
ฉันสบถเสียงลอดไรฟัน เดินออกจากงานมาด้วยอารมณ์คุกรุ่น
ถึงจะเรื่องเล็กน้อยแต่ฉันก็ไม่อยากทำให้ชื่อเสียงหรือฐานะในวงการต้องสั่นคลอนเพราะมันเป็นแหล่งทำมาหากินของฉันเพียงที่เดียวที่เหลืออยู่
“เฮ้! เดี๋ยวสิจะโกรธอะไรขนาดนั้นล่ะ” ข้อมือฉันถูกคว้าเอาไว้หลังจากเดินพ้นประตูห้องจัดงานเลี้ยงออกมา
หมับ
“เฮ้ย! ปล่อยนะ อย่ามาจับ!” ฉันตวาดลั่น ยังจะตามมาอีก โรคจิตหรือเปล่าเนี่ย
รู้สึกหัวเสียที่ถูกหมอนั่นแตะเนื้อต้องตัว แต่ศิวัชก็ไม่ยอมปล่อย ฉันเลยสะบัดไปแรงๆ ทีหนึ่ง ทำให้มือหมอนั่นหลุดออกไปฉันรีบฉวยโอกาสนั้นสาวเท้าออกมาจากที่หน้าประตูอย่างรวดเร็ว
ให้ตายสิ.. ทำไมพักนี้ถึงเจอแต่เรื่องไม่สบอารมณ์อยู่เรื่อย
ฉันเปิดประตูเข้ามานั่งในรถแล้วถอนหายใจออกมาก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเช็ก Line จากมิกซ์ ตอนนั้นเองที่ฉันเพิ่งจะรู้สึกตัวว่าสร้อยข้อมือที่สวมมาตลอดหายไป
..ตั้งแต่เมื่อไหร่!?
ฉันมองข้อมือที่ว่างเปล่าของตัวเองอย่างใจหาย ก้มหน้ามองหาในรถอย่างกระวนกระวายแต่ก็ไม่มีวี่แววว่าจะเจอ
บ้าเอ๊ย! ซวยอะไรอย่างนี้เนี่ย
ฉันลงจากรถแล้วมองตามทางที่เพิ่งเดินผ่านมาหัวใจหวิวโหวง ยกมือขึ้นดันหน้าผากตัวเองอย่างเจ็บใจ
ต้องให้ของหายอีกกี่ชิ้นถึงจะพอใจวะ ทำไมถึงโง่แล้วก็โง่แบบนี้เนี่ย โธ่เอ๊ย!
ฉันสบถหัวเสียก่อนจะเดินหาสร้อยข้อมือจนมาถึงหน้าประตูงานเลี้ยง แต่ก็ไม่เจอ ถามใครก็ไม่มีใครเห็น จนฉันเริ่มท้อ ถ้ามีคนเก็บได้ก็คงไม่คิดจะคืนหรอกดูท่า สมัยนี้ยิ่งมีแต่คนใจดำเห็นแก่ตัวกันทั้งนั้น ฉันเดินกลับมาที่รถอย่างจิตตก
Line~~~
เสียงเตือน Line ดังขึ้นระหว่างที่ฉันออกจากลิฟต์และกำลังจะเดินกลับมาที่ห้อง ต้องเป็นมิกซ์แน่เลย.. ฉันหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาดู ..ปรากฏว่าไม่ใช่
เฮ้อ! ฉันถอนหายใจก่อนจะมองชื่อคนส่งและข้อความที่สะท้อนอยู่บนหน้าจอ
Cindy : มีงานมาให้ช่วยจ้ะคนสวย
ฉันเลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัย นึกว่าจะต่อว่าเรื่องที่ฉันชิ่งกลับมาก่อนซะอีก ฉันคิดพลางพิมพ์ตอบกลับไป
แก้ม :???
Cindy : งานถ่าย MV ของวง Phantom Kiss
แก้ม : หืม?
Cindy : ก็น้องสาวเธอ หนูแยมกับน้องเรียวน่ะ ไปเตะตาโปรดิวเซอร์เข้าน่ะสิ เขาอยากได้สองคนนี้มาเล่นคู่กัน หล่อนพอจะช่วยคุยกับสองคนนั้นได้ใช่ไหม
ฉันอึ้งไปครู่หนึ่ง นึกว่าตัวเองจะได้เล่น แล้วไหงกลายเป็นยัยแยมล่ะ
มันอ่านทวนข้อความของเจ๊ซินดี้จนแน่ใจแล้วว่าเข้าใจไม่ผิด ใช้เวลาสงบสติอารมณ์ครู่หนึ่งก็ตอบกลับไปเรียบๆ
แก้ม : ไม่มีปัญหาค่ะ
ฉันส่งสติ๊กเกอร์รับทราบกลับไปก็พอดีกับที่เดินมาถึงประตูห้อง เจ๊ซินดี้ไม่ได้ตอบอะไรมาอีก ฉันจึงเก็บโทรศัพท์มือถือใส่กระเป๋าแล้วค้นกุญแจออกมาแทน
ไม่เห็นพูดถึงอิตาศิวัชอะไรนั่นเลยแฮะ อ๊ะ.. ฉันชะงักเมื่อนึกขึ้นได้ หรือว่าสร้อยข้อมือจะหลุดตอนที่หมอนั่นจับมือฉัน กึก! ฉันกัดฟันกรอด รู้สึกเจ็บใจขึ้นมาทันควัน
แกร๊ก! แอ๊ด..
หืม!?!
ยังไม่ทันจะสงบใจกับเรื่องสร้อยข้อมือที่หายไป วินาทีนี้ก็มีเรื่องที่ทำให้ฉันแปลกใจยิ่งกว่า ฉันยืนนิ่งงัน กับภาพที่เห็นตรงหน้า ภายในห้องสูทสุดหรูว่างเปล่า โล่งเตียนไปหมด ไม่มีแม้แต่เฟอร์นิเจอร์สักชิ้น
“....” นี่มันเรื่องบ้าอะไรอีกเนี่ย
ฉันเดินเข้าออกห้องทุกห้องอย่างร้อนรน เกิดอาการสติแตก สมองปวดตุบๆ จนแทบระเบิดออกมา แม้แต่เตียงในห้องนอนทั้งสองห้อง ตู้ ชั้น หนังสือ ภาพวาด นาฬิกาแขวนผนัง ทุกอย่างหายไปหมด เกลี้ยง!
เสื้อผ้าฉันยังไม่เหลือสักชิ้น บ้าเอ๊ย ใครมันทำกับฉันอย่างนี้เนี่ย
มิกซ์!
ไม่หรอก ไม่จริงใช่ไหม...
ฉันไม่ได้โดนแฟนตัวเองยกเค้าหรอกใช่ไหม?
ฉันทรุดตัวลงนั่งบนพื้นอย่างอ่อนแรง ทันทีที่ชื่อนั้นผุดขึ้นมาในหัว ทำไมล่ะมิกซ์.. หัวใจฉันสั่นรวน ดวงตาทั้งสองข้างปริ่มน้ำ เมื่อพยายามคิดหาเหตุผลมาลบล้างสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า
ฉันเคยพูดว่ายอมหมดตัวดีกว่าเสียเขาไป แต่ว่านี่มันมากเกินไปแล้วนะ!