ตอนที่ 1 (2)
“แก้ม..” มิกซ์มองหน้าฉันด้วยสายตาอ้อนวอน “มิกซ์ไม่อยากให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นแก้มก็รู้ มิกซ์.. มิกซ์โดนพวกมันโกง! พวกมันวางกับดักมิกซ์นะแก้ม” มิกซ์ครวญครางด้วยท่าทางจะเป็นจะตาย ฉันกลั้นอารมณ์โกรธเอาไว้ถามออกไปอย่างอดทน
“แล้วบัตรของแก้มล่ะ อย่าบอกนะว่าใช้เงินในนั้นไปหมดแล้ว”
มิกซ์ไม่ตอบ มองสบตาฉันด้วยแววตากระอักกระอ่วนใจ ไม่ต้องพูดฉันก็รู้อยู่แล้ว
“มิกซ์!”
ฉันตะโกนเสียงแหลมอย่างเหลืออด
“ทำไมมิกซ์ทำแบบนี้ นั่นมันเงินที่แก้มหามาด้วยหยาดเหงื่อล้วนๆ นะ แล้วมิกซ์มีสิทธิ์อะไรมาเอาของแก้มไปใช้ตามอำเถอะใจ มิกซ์มีสิทธิ์อะไร” ฉันตะคอก เสียงสั่นด้วยความโกรธ หายใจเหนื่อยหอบหลังตะโกนเสร็จ
มิกซ์นิ่งเงียบ ใบหน้าเรียบตึงด้วยท่าทางไม่พอใจก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองฉันแล้วตวาดกลับมา
“แก้มพูดแบบนี้กับมิกซ์ได้ยังไง เราเป็นแฟนกันไม่ใช่เหรอ หรือแก้มเห็นเงินเห็นสมบัตินอกกายพวกนั้นสำคัญกว่ามิกซ์ ได้ ถ้าแก้มไม่คิดว่ามิกซ์เป็นแฟนมิกซ์จะไปเอาทุกอย่างกลับมาคืนให้แก้มเอง แล้วก็ให้พวกมันตัดอวัยวะของมิกซ์ไปขายแทนอย่างที่แก้มต้องการไงล่ะ” มิกซ์จ้องหน้าฉันด้วยสายตาดุดันและเอาจริง ก่อนจะหันหน้าก้าวยาวๆ ไปที่ประตู
ฉันตกใจรีบตรงเข้าไปคว้าแขนของเขาเอาไว้ทันควัน
“เดี๋ยวสิมิกซ์! แก้มไม่เคยต้องการแบบนั้นเลยนะ” ฉันมองเข้าไปในดวงตาที่สะท้อนความน้อยเนื้อต่ำใจของมิกซ์อย่างรู้สึกผิด ถึงฉันจะโกรธเขามากแค่ไหนแต่ก็ไม่เคยอยากให้เขาทำร้ายตัวเองแบบนั้น
“แล้วแก้มจะเอายังไงกับมิกซ์! แค่นี้มิกซ์ก็รู้สึกผิดมากพออยู่แล้ว..” มิกซ์ปัดมือฉันออก นัยน์ตาคมกริบแดงก่ำเหมือนจะร้องไห้ ทำเอาหัวใจฉันไหววูบตามไปด้วย
“..อย่างที่แก้มพูด มิกซ์ทำไม่ถูกที่ขโมยสมบัติของแก้มไปขายใช้หนี้ อย่างที่คิดมิกซ์ต้องไปเอามันคืนมาแล้วชดใช้ด้วยชีวิตของตัวเองแทน” มิกซ์พูดเสียงหนักแน่น แววตาไหววูบอย่างเอาจริงเอาจังก่อนจะหันหน้ากลับไปที่ประตู
“ไม่มิกซ์อย่าทำแบบนั้น!” ฉันรีบเข้าไปขวางทางห้ามเขาเอาไว้ มองหน้ามิกซ์แววตาสั่น
“ถอยไปแก้ม อย่าห้ามมิกซ์!”
“ไม่! ถ้าต้องเสียมิกซ์ไปสู้ให้แก้มหมดตัวซะยังจะดีกว่า” ฉันตะโกนออกไปสุดเสียง มันคือความรู้สึกที่ออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ
ฉันรักมิกซ์.. ต่อให้เขาล้างผลาญสมบัติของฉันไปมากแค่ไหนฉันก็ยังรักเขา เพราะมิกซ์คือคนที่คอยอยู่เคียงข้างฉันมาตลอดในตอนที่ไม่มีใครต้องการฉัน
“แก้ม..” มิกซ์เรียกชื่อฉันเสียงเบาโหวง มองฉันด้วยแววตาตื้นตัน
“มิกซ์อย่าไปเลยนะ แก้มกำลังโกรธก็เลยอาจจะพูดอะไรไม่คิดออกไป ขอโทษ” ฉันเดินเข้าไปกอดมิกซ์ แนบหน้าลงบนแผ่นอกที่เคยมอบความอบอุ่นให้หลายต่อหลายครั้ง
“แก้ม..” มิกซ์มีท่าทีเก้ๆ กังๆ ยกมือค้างอย่างไม่แน่ใจ “แก้มจะให้อภัยมิกซ์จริงๆ น่ะเหรอ”
“อืม..” ฉันพยักหน้าอย่างไม่ลังเล ความเสียดายในเงินทองหายไปทันทีเมื่อรู้ว่าอาจต้องเสียมิกซ์ไปตลอดกาล
“แก้ม ขอบคุณ มิกซ์รักแก้มมากรู้ไหม” มิกซ์พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ผ่อนคลายลงเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก เขาโอบกอดฉันตอบ ก้มลงจูบเส้นผมฉันอย่างแผ่วเบา
“แก้มก็รักมิกซ์เหมือนกัน”
“พี่แก้ม!”
ฉันสะดุ้งโหยงเมื่อถูกเรียกชื่อขณะกำลังเดินเหินอยู่ในบ้านตัวเอง
“ยัยแยม” ฉันเรียกชื่อน้องสาวที่กำลังจ้องฉันเขม็งอยู่ในขณะนี้
“แยมนึกว่าพี่แก้มจะย้ายสำมโนครัวออกจากบ้านไปแล้วซะอีก แล้วนี่กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมไม่เห็นรถพี่แก้มจอดอยู่ที่ลานจอดรถเลยล่ะ?” ยัยน้องสาวยื่นหน้าเข้ามาใกล้ด้วยท่าทีสงสัย
ฉันเหลือบมองยัยนั่นที่อยู่ในเครื่องแบบนักเรียนเต็มยศ รู้เลยว่าเพิ่งกลับมาจากโรงเรียน ชิ! ฉันน่าจะรอบคอบเรื่องเวลาให้มากกว่านี้จะได้ไม่เจอยัยนี่ แต่จะมาเสียใจเอาตอนนี้ก็คงไม่ทันแล้วล่ะ
“ถ้าเอารถมาฉันก็ขับอีกคันกลับไปไม่ได้น่ะสิ” ฉันพูดอย่างไม่ใส่ใจและกำลังจะเดินขึ้นห้อง เสียงสงสัยของยัยน้องสาวจอมจุ้นก็ดังขึ้นมา
“พี่แก้มจะเอารถคันเก่าไปใช้เหรอ? แล้วจากัวร์ที่คุณป๊าซื้อให้ล่ะ”
“มันถูกชน ตอนนี้อยู่ที่อู่” ฉันตะคอกออกไปอย่างรำคาญ จะถามอะไรนักหนา
“อ่า.. ถามแค่นี้ทำไมต้องอารมณ์เสียด้วย” ยัยแยมทำหน้างอก่อนจะเชิดหน้าใส่ฉันแล้วเดินลงส้นขึ้นบันไดไป ฮึ่ม! ยัยน้องสาวตัวดีนี่ไม่เคยคิดจะทำตัวดีๆ กับฉันบ้างเลยหรือไง อยากจะบ้า
ฉันส่ายหน้าอย่างอารมณ์เสีย เดินขึ้นบันไดเข้าห้องของตัวเองแล้วหยิบกุญแจรถคันเก่าใส่กระเป๋า ก่อนจะชะงักเท้า มองไปที่ห้องแต่งตัวอย่างสองจิตสองใจ ตอนนี้เงินสดที่มีก็ใกล้จะหมดกระเป๋าแล้วด้วย เงินในบัญชีไม่ต้องพูดถึง มีเท่าไหร่ประเคนให้มิกซ์ไปใช้หนี้หมด แถมเช็คถ่ายโฆษณาชิ้นล่าสุดก็ยังไม่ออก ทั้งกระเป๋า นาฬิกา แว่นตาแบรนด์เนมก็ขายยังชีพจนจะไม่เหลืออะไรใส่อยู่แล้ว ตอนนี้ฉันถังแตกสุดๆ เลยจะบอกให้ เฮ้อ!~ ฉันกล้ำกลืนเดินมาห้องแต่งตัวหัวใจสั่น หยิบสร้อยข้อมือเพชรฝังทับทิมที่มี๊ให้เป็นของขวัญวันเกิดคู่กับ Jaguar XK ของคุณป๊าขึ้นมาดูอย่างลังเล
เฮ้อ! นี่ฉันกำลังทำอะไรอยู่เนี่ย ไม่ได้ๆ ฉันรีบวางกล่องสร้อยข้อมือลงที่เดิมแล้วหันหลังกลับ แต่แล้วก็นึกขึ้นได้ว่ามะรืนนี้มีปาร์ตี้วันเกิดของนายแบบคนหนึ่งในสังกัดเจ๊ซินดี้และฉันก็ได้บัตรเชิญมาแล้วด้วย.. ฉันหันกลับมาหยิบกล่องสร้อยข้อมือใส่กระเป๋าทันที รีบเดินออกจากห้องอย่างรวดเร็ว
แล้วทำไมฉันต้องรู้สึกกลัวและหัวใจสั่นแบบนี้ด้วยเนี่ย ยังไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย..
ปี๊บๆ
ฉันกดรีโมทปลดล็อกรถฮอนด้าแอคคอร์ดที่ไม่ได้ขับมานาน กำลังจะดึงประตูเปิดเสียงวิ่งกระเซ่าอย่างรีบร้อนก็ตรงเข้ามาแล้วกระโจนใส่หน้าฉันทันที
“โฮ่ง!”
“กรี๊ด!” ฉันถูกสุนัขพันธุ์บอร์ซอยแสนรักของคุณป๊าตะครุบเต็มรักจนล้มลงไปนอนหงายอยู่บนพื้น
“แฮ่กๆ โฮ่งๆ” แบงกี้ส่งเสียงครางหงิงๆ อย่างดีใจที่ได้เจอฉัน แลบลิ้นเลียฉันแผล่บๆ ฉันพยายามบ่ายหน้าหลบสุดกำลังเพราะไม่อยากให้น้ำลายเหนียวๆ นั่นเลอะหน้า
“แบงกี้มานี่!”
ระหว่างที่ฉันกำลังปกป้องหน้าสวยๆ ของตัวเองอย่างเอาเป็นเอาตาย เสียงทุ้มเข้มของใครบางคนก็ดังขึ้น ทำให้แบงกี้ยอมผละออกจากฉันแล้วกระโดดไปตะกุยตะกายขากางเกงของหมอนั่นแทน ฉันลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล จัดเสื้อผ้าหน้าผมให้หายยุ่งก่อนจะตวัดสายตาไปมองเจ้าของเสียงอย่างขุ่นเคือง
ธิษณ์...
ฉันรู้ตั้งแต่ได้ยินเสียงแล้วว่าต้องเป็นหมอนั่น บอดี้การ์ดสุดที่รักของยัยแยม เด็กที่คุณป๊าเก็บมาเลี้ยงและเป็นคนที่ฉันเกลียดขี้หน้ามากที่สุด!
“นี่นายดูแลยังไงปล่อยให้มันวิ่งมากวนฉันได้เนี่ย”
“โกรธอะไรมาก็อย่าลงที่หมาสิ มันแค่ดีใจที่ได้เห็นหน้าเจ้านายที่นานๆ ทีจะกลับมาบ้านสักครั้งเท่านั้น” ใบหน้าหล่อเหลาได้รูปคมคายจนน่าโมโหมองฉันด้วยสายตาราบเรียบ ทั้งที่ฉันเป็นลูกสาวของผู้มีพระคุณ หมอนี่กลับไม่เคยแสดงความเคารพกันเลย ตีตัวเสมอไม่สิเจ้านาย ไม่สิ ชอบทำตัวข่มกันตลอด ฮึ่ย
“นี่นาย!” ฉันขึ้นเสียงอย่างไม่พอใจ จ้องมองสีหน้าเย็นชาตลอดเวลานั่นอย่างไม่สบอารมณ์
เหอะ! ช่างเถอะ ฉันไม่ควรจะมาเสียเวลากับหมอนี่สักนิด
ฉันส่ายหน้าอย่างเหนื่อยหน่ายก่อนจะหันมาเปิดประตูรถ แล้วก็ต้องชะงักเมื่อรู้ตัวว่ากระเป๋าที่คล้องแขนอยู่หายไป ฉันรีบมองหาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะพบมันหล่นอยู่บนพื้นใกล้ๆ
ฉันก้มลงไปหยิบกระเป๋าขึ้นมาเป็นจังหวะเดียวกับที่ธิษณ์เดินมาหยิบอะไรสักอย่างที่ห่างออกไปไม่ไกล ฉันหันไปมองอย่างสงสัยก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อรู้ว่ามันคือกล่องสร้อยข้อมือ คงจะกระเด็นออกจากกระเป๋าตอนร่วงแน่ๆ
“ยุ่ง!” ฉันก้าวเข้าไปฉกกล่องสร้อยข้อมือมาจากมือของธิษณ์อย่างฉุนเฉียว มองหมอนั่นตาเขียว รีบเดินกลับมาที่รถ กำลังจะก้าวเข้ามาข้างในเสียงกวนประสาทของธิษณ์ก็ดังขึ้น
“คราวหลังถ้าจะใส่กระโปรงสั้นแบบนั้นก็หัดสวมซับในด้วยนะ ใส่กางเกงในสีแปร๋นแบบนั้นไม่อายบ้างหรือไง”
“อะไรนะ” ฉันหันขวับไปมองใบหน้าเรียบนิ่งของธิษณ์อย่างเลือดขึ้นหน้า ผิวแก้มร้อนจัด “นี่นายแอบมองฉันเหรอ”
“ก็ไม่ได้อยากเห็นหรอกนะ แค่มองตามแบงกี้ไปเท่านั้น แต่ไม่ต้องห่วง ภาพไม่เจริญหูเจริญตาแบบนั้นไม่เก็บมาจำให้มันรกสมองหรอก”
“กรี๊ด ไอ้บ้า” ฉันเดินเข้าไปฟาดกระเป๋าใส่หมอนั่นอย่างโมโห อยากจะบ้า บ้านนี้เขาสั่งสอนให้คนรับใช้พูดกับเจ้านายแบบนี้หรือไง
“เฮ้! มันเจ็บนะ” ธิษณ์ยึดข้อมือฉันเอาไว้แน่น มองลงมาด้วยสายตาเย็นยะเยือก
“ก็นายมาว่าฉันก่อนทำไม” ฉันตวาดกลับไปเสียงดัง
“อะไร ก็เธออยากแต่งตัวแบบนั้นเอง ถ้าไม่อยากโชว์ให้ใครดูก็อย่าใส่สั้นตั้งแต่แรกสิ เพราะเห็นแล้วมันดูไม่แพง”
ธิษณ์ผลักฉันออกห่าง ก่อนจะหันไปดีดนิ้วเรียกแบงกี้
“แบงกี้ไปได้แล้ว”
“กรี๊ด ไอ้บ้าธิษณ์ นี่นายหาว่าฉันเป็นผู้หญิงราคาถูกเหรอ กลับมาเดี๋ยวนี้นะ คิดจะหนีหรือไง บ้าเอ๊ย” ฉันกรีดร้องออกมาจนคอแทบแตกกับคำพูดแสบทรวงของหมอนั่น ยืนชักดิ้นชักงอมองตามแผ่นหลังที่เดินห่างออกไปอย่างไม่สะทกสะท้านของธิษณ์ด้วยสายตาที่เดือดพล่าน
ฝากไว้ก่อนเถอะ ไอ้ผู้ชายปากจัด