EP.2 The wedding
EP.2 The wedding
...เช้าวันต่อมา...
ขณะที่ฉันกับยายเกี๊ยวนั่งกินข้าวมือเช้าและเปิดทีวีดูไปพลาง ๆ
-ข่าวร้อนข่าวด่วนวันนี้-
‘เด็กนักเรียนช่างไม้ยกพวกตีกันด้วยไม้หน้าสาม เจ็บหนักสิบกว่าราย’
‘ซีอีโอโรงแรมอ้างยืมนาฬิกาหรูเพื่อนสนิท ไม่เกี่ยวข้องกับขบวนการแชร์ลูกโซ่ และยันไม่ได้รวยจากสิ่งผิดกฎหมาย’
‘ดาราดังหลอกขายแบรนด์เนมปลอม ลูกค้าลั่นเจอกันในชั้นศาล’
‘และปิดท้ายด้วยข่าว พิษรักแรงหึงหวงสนั่นโทลล์เวย์’
- HOT NEW-
‘เมียหลวงหึงโหด จ้างนักแม่นปืนยิงสามีและกิ๊กสาวเจ็บหนักคารถเบนซ์สีดำเปิดประทุน
ขณะขับรถเล่นกินลมชมวิวบนโทลล์เวย์
ฝ่ายสามีถูกกระสุนฝัง 6 นัด เสียชีวิตทันทีในที่เกิดเหตุ
กิ๊กสาวดวงยังไม่ถึงฆาต ถูกยิงสามนัด นัดสุดท้ายกระสุนฝังเข้าที่สร้อยพระทำให้ไม่โดนขั้วหัวใจ แต่ทางแพทย์คาด...อาการเป็นตาย 50/50’
‘ด้านเมียหลวงรอให้ปากคำตำรวจ และย้ำว่าไม่คิดหนี เพราะได้ชำระแค้นให้ตัวเองสำเร็จแล้ว’
-จบข่าวด่วนวันนี้-
"เมียน้อย ?" ยายเกี๊ยวชะงักไปทันทีที่หน้าจอขึ้นรูปของมิลิน เพื่อนร่วมคณะที่เราสองคนสนิท
"ขอให้จากร้ายกลายเป็นเบานะ" ฉันได้แต่พูดเบา ๆ อย่างสงสารเพื่อนตัวเอง
ก็ได้แต่ภาวนาให้เธอรอดจากสิ่งชั่วร้ายทั้งปวง เพราะฉันรู้มาก่อนและเห็นภาพมาแล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับมิลิน
"เรื่องนี้ใช่ไหมที่แกเห็นเมื่อคืนนี้" ยายเกี๊ยววางช้อนส้อมลงทันทีก่อนจะหันมองหน้าของฉัน
ทันทีที่รูปของยายมิลินปรากฏขึ้นที่หน้าจอทีวี ในฐานะผู้บาดเจ็บสาหัสและภรรยาน้อย
"อื้ม...แต่ฉันกลับช่วยอะไรไม่ได้เลย" ฉันพยักหน้าทั้งน้ำตาคลออย่างใจหายกับข่าวนี้
"ถ้าฉันบอกไปพวกเขาก็คงจะ..." ฉันนึกสงสารมิลินจับใจกับภาพฝันที่เธอวาดเอาไว้ แต่มันไม่ได้เป็นไปตามที่เธอใฝ่ฝัน
"ฉันรู้นะว่าแกช่วยมันที่สุดแล้วน่ะต้องมนตร์ แกอย่าคิดมากสิ" ยายเกี๊ยวจับที่ไหล่ของฉันอย่างให้กำลังใจ
ภาพเหตุการณ์ในข่าวนี้ ฉันเห็นมันก่อนที่จะเกิดขึ้นจริง ๆ ฉันเห็นว่าพวกเขากำลังร้องขอชีวิต ร้องขอต่อลมหายใจตัวเอง แต่ฉันพูดออกมาไม่ได้ เพราะโดนใครบางคนปิดปากเอาไว้ ใครบางคนที่โคตรจะน่ากลัว...
และใครบางคนที่ว่า ก็คือเจ้ากรรมนายเวรของพวกเขาเองนั่นแหละ
"แต่ก็สงสารมันนะ มันยังไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่ามันเป็นเมียน้อยของแฟนตัวเอง" ยายเกี๊ยวเองก็นั่งน้ำตาคลอและก้มหน้าอย่างนึกสงสารเพื่อนของตัวเอง
"มันฝันอยากจะแต่งงาน อยากจะสร้างครอบครัว แต่ทุกอย่างกลับไม่เป็นอย่างที่คิดเลย" ยายเกี๊ยวพูดเหมือนกับที่ฉันคิดเป๊ะ ๆ เลย
"ฉันน่าจะพูดได้มากกว่านี้...ถ้าฉันทำได้" ฉันกัดริมฝีปากของตัวเองอย่างเจ็บใจ
"ไว้เรารีบเก็บของออกจากหอให้เสร็จ วันนี้เราไปเยี่ยมมันกันนะ" ยายเกี๊ยวเองก็กอดปลอบใจฉันเช่นทุก ๆ ครั้ง
เพราะวันนี้เป็นวันที่เราสองคนต้องย้ายออกจากหอพักของมหาวิทยาลัยตามเงื่อนไขที่ทำสัญญาเอาไว้
"แกทำดีที่สุดแล้วน่า ฉันรู้ดี" ยายเกี๊ยวพยายามเรียกกำลังใจให้ฉันที่กำลังรู้สึกหดหู่
เพราะว่าทุกครั้งที่ฉันเห็นเหตุการณ์ล่วงหน้าที่ไม่ดี ๆ ของคนใกล้ตัว
ฉันไม่อยากให้มันกลายเป็นจริงเลยสักนิด
แต่ก็อย่างที่ปู่เคยพูดว่า
ไม่มีใครขวางกรรมของใครได้ และทุกกรรม ทุกการกระทำย่อมต้องได้รับการชดใช้อย่างยุติธรรมเสมอ ไม่ว่าช้าหรือเร็วก็ตาม
...แล้วเราก็ไปเยี่ยมมิลินที่โรงพยาบาล แต่ก็เปล่าประโยชน์เพราะคุณพยาบาลและแพทย์ไม่อนุญาตให้เราเข้าเยี่ยม เพราะมิลินก็ยังคงอาการสาหัสอยู่ในห้องไอซียู
เพื่อน ๆ ที่สนุกสนานในงานเมื่อวาน ต่างเดินเข้ามาในโรงพยาบาลด้วยใบหน้าที่ต่างจากในงานปาร์ตี้เมื่อวานอย่างสิ้นเชิง
ส่วนหมอก็ยังให้คำตอบเราไม่ได้ว่า มิลินจะรอดหรือไม่รอด
จนในที่สุดเราก็ต้องแยกย้ายกันกลับบ้านใครบ้านมัน
ฉันกับยายเกี๊ยวรูมเมตคนสนิทก็จำต้องแยกกันเป็นครั้งแรกเลย หลังจากที่เรียนและกินนอนด้วยกันมานานถึงสี่ปี
"ไว้นัดเจอนะ" ฉันโอบกอดเพื่อนรักของตัวเอง
"แกอย่ามาดึงดราม่าสิ แค่ย้ายออกจากหอเองนะ" เจ้าตัวคนพูดนั่นแหละที่ชิงร้องไห้ก่อนฉันเสียอีก
ทันทีที่ฉันสัมผัสกับตัวของเพื่อนรัก ด้วยฝ่ามือนั้น...
มันทำให้ฉันมองเห็นอะไรบางอย่างอีกครั้ง
แต่ยายเกี๊ยวเป็นคนเดียวที่ขอร้องกับฉันว่า ไม่ว่าจะเห็นอะไร เธอไม่ต้องการให้ฉันพูดมันออกมา
ไม่ว่าจะดีหรือร้าย เพราะว่าการที่ฉันทำนายหรือมองเห็นบางสิ่งบางอย่างในอนาคต ข้อเสียของมันก็คือ ถ้ามองเห็นสิ่งไม่ดีและไปเตือนพวกเขา สิ่งไม่ดีนั้นมันก็จะเกิดกับตัวฉันเองในไม่ช้า
ฉันกอดเพื่อนสนิทตัวเอง ก่อนจะแยกย้ายกันขึ้นรถแท็กซี่ เพื่อกลับบ้านใครบ้านมัน
"เดี๋ยวแกก็ห่างฉันไปไกลแสนไกลแล้ว" ฉันมองเพื่อนรักของตัวเองแล้วได้แต่อมยิ้ม ผ่านกระจกของรถแท็กซี่ที่ค่อย ๆ เคลื่อนที่แยกกันออกไปคนละทาง
"เพราะว่าเนื้อคู่ของแก อยู่ต่างแดนและไกลโพ้น" ฉันยิ้มออกมาเมื่อนึกถึงภาพที่แอบเห็นในตอนที่จับตัวของยายเกี๊ยว และพบว่าเพื่อนของฉันกำลังจะได้เจอหนุ่มผมบลอนด์ ท่าทางผู้ดีที่จะเข้ามาเปลี่ยนชีวิตของเพื่อนฉันไปในทางที่ดี
@บ้านต้องมนตรา
"กลับมาแล้วค่า" ฉันลากกระเป๋าลงจากรถแท็กซี่เดินเข้ามาในบ้านหลังขนาดกลางของตัวเอง
แต่ก็สะดุดตาเข้ากับรถเบนซ์สีเทาสุดเรียบหรูที่จอดอยู่ใต้ชายคาบ้าน
"หรือว่าแม่จะซื้อให้เป็นของขวัญวันเรียนจบกันนะ" ฉันแอบมโนขึ้นภายในใจ และเดินวนรอบรถสุดหรูคันใหม่เอี่ยมนั้น...อย่างวาดฝัน...
ติ๊ดตื้ด! เสียงรถเบนซ์หรูนั้นดังขึ้นจากสัญญาณกดรีโมต
"น้าแหม่ม" ฉันเอ่ยทักกับคุณน้าอย่างคุ้นเคย เธอเป็นฝรั่งหน้าสวย คนที่กำลังเดินออกมาจากประตูบ้านอย่างยิ้มแย้ม และกดรีโมทมาที่รถ...รถคันใหม่ของเธอนั่นเอง...
"สวัสดีค่ะ" ฉันยกมือไหว้เธออย่างเคย
"เรียกน้าอยู่ได้ เรียกมัมสิลูก" เธอเดินเข้ามารับไหว้ก่อนจะโอบกอดฉันเดิน และพาเดินเข้ามาในบ้านที่เต็มไปด้วยของกินเต็มโต๊ะอาหารไปหมด
"อ้าว ยายต้องมนตร์ มาแล้วหรอ" เสียงของคุณแม่ดังขึ้นก่อนเดินออกมาจากห้องครัว
"วันนี้แม่กับมัม ทำอาหารไว้รอฉลองให้กับบัณฑิตคนใหม่น่ะสิ" น้าแหม่มพูดขึ้นด้วยภาษาไทยสำเนียงฝรั่ง ๆ หน่อย
ก็เธอน่ะเป็นฝรั่งแท้ ๆ รัสเซียแบบหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ว่าเธอโตและมีสามีเป็นคนไทยแท้แล้วเธอก็ยังเป็นเพื่อนสนิทของแม่ฉันอีกด้วย ทั้งที่จริงเธอมีสถานะเป็นภรรยาของเจ้านายพ่อ แต่เธอกลับไม่ถือตัวกับพวกเราเลย
บนโต๊ะอาหาร
เราเริ่มรับประทานอาหารร่วมกันอย่างครึกครื้น และพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน เพราะว่าทั้งแม่และน้าแหม่มต่างก็ใจดีกันทั้งคู่
"อันนี้ของขวัญสำหรับวันเรียนจบจ้ะต้องมนตร์" น้าแหม่มส่งช่อดอกไม้ และกล่องของขวัญมาให้ฉัน
"ขอบคุณนะคะน้าแหม่ม" ฉันยกมือไหว้เธอทันที
ฟุบ... เธอดึงช่อดอกไม้คืนทันที
"บอกให้เรียกมัมไง เรียกมัม" เธอย้ำขึ้นอีกครั้งอย่างจริงจัง
"นั่นน่ะสิ ฝึกเรียกมัมให้ชินสิลูก" แม่ก็พูดย้ำฉันอีกคน
ฉันเม้มปากและก้มหน้าเล็กน้อย
"ค่ะ มัม" ฉันพูดขึ้นเบา ๆ ก่อนจะรับช่อดอกไม้และของขวัญจากน้าแหม่ม
จริง ๆ เธอไม่ได้ชื่อแหม่ม แต่ด้วยความที่เธอเป็นคุณนายหน้าฝรั่ง ทุกคนจึงเรียกเธอจนชินติดปากว่า ‘คุณนายแหม่ม’ ไปแล้ว
บ้านของฉันเดิมทีเป็นสวนผลไม้ชื่อดังในต่างจังหวัด เราขายส่งผลไม้ไปทั่วสารทิศ จนในช่วงที่เศรษฐกิจในเมืองไทยแย่ สมัยที่เรียกว่าฟองสบู่แตก...
ทำเอาธุรกิจที่บ้านของปู่ฉันก็แย่ไปด้วย...จนเกือบจะต้องขายไร่ขายสวนกันเลย...
แต่ปู่กับพ่อเล่าว่า เหมือนกับฟ้าประทานพรให้เราได้เจอกับนักลงทุนรายใหญ่ นั่นก็คือครอบครัวจีซัสนั่นเอง
เพราะธุรกิจส่งออกผลไม้เราได้น้าแหม่มกับสามียื่นมือเข้ามาช่วยวางแผนการตลาด ช่วยเป็นทุนหลักให้ ซึ่งบริษัทของสามีน้าแหม่มก็เป็นบริษัทที่ผูกขาดให้เราส่งออกผลไม้ไปถึงทวีปยุโรป และเราทั้งสองครอบครัวก็ดำเนินธุรกิจแบบนี้มาร่วมสามสิบกว่าปีแล้ว หรือตั้งแต่สมัยยุคคุณปู่เลยทีเดียว
จึงถือว่าครอบครัวของจีซัสเป็นผู้มีพระคุณต่อเรา และปู่ก็สอนฉันเสมอว่า คนที่ลืมบุญคุณคน จะไม่มีวันเจริญ
เพราะอย่างนั้นไม่ว่าครอบครัวเขาต้องการอะไร ถ้าบ้านของฉันช่วยได้ก็จะไม่รีรอที่จะเสนอตัวเข้าไปช่วย ด้วยความสัมพันธ์ที่ดีงาม และมิตรภาพที่ยาวนาน ทำให้เราสองบ้านสนิทกันมากจริง ๆ
...หลังจากที่รับประทานอาหารกันเสร็จ...
"เดี๋ยวคุยกับลูกไปนะแหม่ม เดี๋ยวฉันไปเตรียมของหวานให้" แม่ลุกจากโต๊ะและแตะที่ไหล่ของฉันเบา ๆ ก่อนจะเดินกลับไปที่ห้องครัว
"จ้ะ ๆ" น้าแหม่มพยักหน้ากับแม่อย่างรู้กัน
"จริง ๆ มัมมาคุยกับทั้งพ่อและแม่ของหนูไว้ก่อนหน้าแล้วว่า" น้าแหม่มเริ่มพูดและจ้องมองมาที่แววตาของฉัน ผ่านดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลสวย ๆ ของเธอ
เธอจับที่ฝ่ามือของฉัน และบีบอย่างเบา ๆ
"ทางมัมได้หาฤกษ์ให้หนูกับตาจีซัสแล้วนะลูก แต่มัมอยากจะถามหนูว่า หนูจะสะดวกย้ายไปอยู่บ้านของเราแล้วรึยัง" น้าแหม่มถามขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลและสายตาที่เต็มไปด้วยความเอ็นดูต่อฉัน