EP.1 Sixth sense
EP.1 Sixth sense
@University graduation party
"ดื่มสักวันน่า...นาน ๆ ทีเองนะ ยัยต้องมนตร์" เสียงของยายเกี๊ยวเพื่อนสนิทร่วมคณะของฉันพูดขึ้น พลางยื่นแก้วแอลกอฮอล์มาทางฉัน ในงานปาร์ตี้ฉลองวันสำเร็จการศึกษาของฉันและเพื่อน ๆ ร่วมคณะ
"ไม่เอา ๆ" ฉันส่ายหน้าปฏิเสธไป เพราะว่าฉันค่อนข้างคออ่อน ถึงอ่อนมาก ๆ
ถ้าดื่มก็คง...
"เรียนจบทั้งทีนะ ยัยแม่ชี!" เพื่อน ๆ ที่รักเริ่มส่งเสียงเชียร์เป็นพัก ๆ
"ไม่ได้ขอให้ดื่มฉลองกันทุกวันซะหน่อย" เพื่อนอีกคนก็พูดขึ้นและยื่นแก้วเข้ามาเพื่อรอชนกับฉัน
ก่อนที่พวกเพื่อน ๆ ทั้งคณะจะกรูกันเข้ามาเพื่อร่วมชนแก้วกับฉัน พอมาคิดดูมันก็เหมือนถูกบังคับไปโดยปริยายเลยแฮะ
"โอเค ๆ" ฉันพยักหน้า แล้วยกมือไหว้ขอขมากับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ล่วงหน้า ก่อนที่จะทำผิดศีล 5 ด้วยการดื่มสุราเมรัยแก้วนี้เข้าไป แน่นอนว่าฉันต้องเคร่งครัดเรื่องรักษาศีล ก็เพราะว่า…
ฉันนั้นเกิดมาพิเศษมากกว่าคนอื่น ๆ แบบที่คุณปู่เคยบอกไว้
แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าฉันจะใช้ชีวิตแบบวัยรุ่นปกติไม่ได้หรอกนะ แค่ต้องมีลิมิตและรู้จักผิดชอบชั่วดี เดินบนทางสายกลาง
"สาธุ..." ทุกคนเปล่งเสียงขึ้นพร้อม ๆ กัน ก่อนที่ฉันจะหยิบแก้วจากยายเกี๊ยวมาชนกับพวกเพื่อนในแก๊ง
"หมดแก้วนะ" เพื่อนผู้ชายคนหนึ่งพูดขึ้น ก่อนที่ทุกคนจะยกกระดกดื่มรวดเดียวหมดแก้ว และนั่นก็...รวมถึงฉันด้วยเช่นกัน
แสงไฟระยิบระยับในงานเฉลิมฉลอง เสียงเพลง เสียงดนตรีที่เปิดอย่างครึกครื้น เพื่อย้ำเตือนว่าเราได้จบการศึกษาระดับปริญญาแล้วจริง ๆ หลังจากการตรากตรำเรียนกันมานานถึง 4 ปี บัณฑิตทั้งหลายต่างยินดีกับความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ในก้าวแรกของชีวิต
"ฉันจะได้งานที่เพิ่งไปสัมภาษณ์มาเมื่อวานไหม" เสียงของเพื่อนเกย์บุคลิกดี ยื่นมือมาเพื่อที่จะสัมผัสกับฝ่ามือของฉัน ซึ่งฉันที่กรึ่ม ๆ ไปกับเหล้าแก้วนั้น ก็จับมือของเธอและหลับตาเพ่งจิตทันที
ยิ่งมึน ๆ เมา ๆ เนี่ยยิ่งเห็นภาพได้ชัดเจนมากขึ้น
"ฉันเห็นแกใส่ชุดสจ๊วตสีแดงแปร๊ดเลยนะ" ฉันหลับตาและพูดออกไปตามที่เห็น
"แกน่ะ ชีพจรลงเท้าน่าดู เดินทางไปต่างประเทศแทบทุกวัน" ฉันเอ่ยบอกไปด้วยรอยยิ้มเมื่อเห็นว่าเพื่อนคนนี้ไปได้ไกล
"ว้าย! กรี๊ดมาก ขนลุกอะลูกสาว" เพื่อนเกย์กรี๊ดเสียงแตกสาวทันทีที่ฉันพูดออกไป
"แล้วก็จะได้เนื้อคู่เจอคู่แท้ในปีนี้ แต่ฉันไม่แนะนำให้แอบไปกิ๊กกับกัปตันบนเครื่องนะ กลัวว่าเครื่องจะตกเดือดร้อนผู้โดยสารเอา!" ฉันแกล้งว่าแซวไปอย่างขำขัน
"งั้นดื่มให้กับความสำเร็จของขุ่นแม่เร็ว ๆ" เพื่อนชาย...รักชาย ยกแก้วชนกับฉันอีกครั้ง พร้อมทั้งกระดกดื่มต่ออย่างเมามัน
"นี่ขนาดไม่ได้บอกนะ ว่าไปสมัครงานที่ไหนมา แม่นเวอร์ค่ะยัยชี" เพื่อนเกย์ยิ้มแฉ่งออกมาอย่างดีใจ
"ที่ดีใจนี่คือ ดีใจที่ได้งาน หรือดีใจที่จะได้ผู้กันแน่อะอิเจ๊ " ฉันหันไปแขวะเพื่อนตัวเอง เบา ๆ หลังจากกระดกดื่มหมดแก้วที่สอง
"ต้องมนตราดูให้ฉันด้วยสิ" เสียงของสาวสวยเซ็กซี่ประจำรุ่นที่เดินมาขอจับมือฉันด้วยอีกคน เธอส่งสายตาอ้อน ๆ ราวกับแมวน้อย
"อะ ๆ คิวต่อไปค่ะ เชิญลูกสาวคนสวยของขุ่นแม่" เพื่อนเกย์สาวปล่อยมือจากฉัน และหลีกทางให้กับสาวสวยเพื่อนร่วมรุ่นอีกคนหนึ่ง
ในตอนนี้ทั้งงานเปลี่ยนจากปาร์ตี้เป็นการเช็คดวงชะตากันไปแล้ว เว้นแต่พวกผู้ชายที่ยังคงเล่นสนุกเกอร์กันสนุกสนาน ส่วนพวกผู้หญิงทั้งหลายกองกันอยู่ตรงนี้ทั้งหมด
เนื่องจากเป็นงานเลี้ยงภายในคณะ แน่นอนว่าคนไม่ได้มากเท่าไรและเราทุกคนก็สนิทกันดี
ฉันก็แค่ทำนายตามที่เห็น และไม่ได้บอกให้พวกเขาเชื่อทั้งหมด ทุกสิ่งจำเป็นต้องใช้วิจารณญาณในการรับฟัง และการเชื่อต้องมีหลักเหตุและผล
กรรม คือการกระทำ แน่นอนว่าถ้าทำกรรมดีเราก็จะเจอสิ่งดี ๆ วนกลับมาตอบแทน แต่ถ้าเราทำกรรมชั่ว สิ่งเลวร้ายก็จะสนองเราเช่นกัน
ใดใดก็ตาม การรักษาศีลเอาไว้ ก็ช่วยป้องกันเราไม่ให้เผลอไปทำกรรมที่ไม่ดี ไม่ไปเบียดเบียนผู้อื่น
"ถามเรื่องความรักอีกล่ะสิ... มิลิน" ฉันยิ้มรับ ก่อนจะปล่อยมือจากเพื่อนอีกคนไปจับมือของเธอ...
"ฉันก็คิดหนักเรื่องพี่ดินคนเดียวแหละ" มิลินจีบปากพูดขึ้นอย่างน่ารัก ๆ
มิลินเป็นคนสวยและเซ็กซี่ที่สุดของคณะ แต่แล้วผู้ชายทุกคนก็ต้องอกหัก เมื่อเธอเปิดตัวแฟนหนุ่มรุ่นใหญ่ที่เพิ่งจะเริ่มคบหาดูใจกันได้สองสามเดือนที่แล้ว
เพียงแต่ว่า…
ฟุบ... พอหลับตาลง... จากความดำมืด ก็แปรเปลี่ยนเป็นสีแดง แดงจนแสบตา
ทำให้ฉันลืมตาขึ้นมองเพื่อนคนนี้อย่างตกใจ
"อยากรู้ว่าพี่ดินเขาจะขอฉันแต่งงานเมื่อไร" มิลินเอ่ยถามฉันด้วยรอยยิ้ม
"ฉัน..." ฉันมองไม่เห็นอะไรเลยในนิมิตนั้น
"ถ้าเร็ว ๆ นี้ ฉันก็จะได้เตรียมตัวเข้าคอร์สเจ้าสาวรอไว้เลย เพราะพี่ดินเขาชอบเซอร์ไพรส์ตลอด ฉันกลัวจะสวยไม่ทันงานสำคัญของตัวเอง" มิลินยื่นมือของเธอมาที่ฉันอีกครั้งด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความหวังและแน่นอนว่า เธอรักและซื่อสัตย์ต่อแฟนคนนี้มาก
มิลินคือผู้หญิงที่บูชาในความรัก แม้ว่าความรักของเธอจะเพิ่งเริ่มต้นได้ไม่นานเท่าไร
ฉันก็พยักหน้าเบา ๆ ก่อนจะดูให้เธออีกครั้ง...
พรึ่บฉันหลับตาสนิท ก่อนจะเพ่งจิตตรงไปที่มือของเธอที่สัมผัสกันอยู่...
ภาพสีดำค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีแดง ก่อนที่จะแปรเปลี่ยนเป็น...
สีของหยดเลือด...และต่อด้วยภาพเหตุการณ์เลวร้ายในเลือดสีเข้มนั้น...
มิลินและรุ่นพี่แฟนหนุ่มคนนั้นที่เลือดอาบชโลมกายพวกเขาทั้งคู่ และยังมีเงาของใครอีกคนจาง ๆ ในภาพนั้น... รถสีดำไม่มีหลังคา... เพื่อนร่วมรุ่นคนสวยของฉันที่นอนเลือดอาบหายใจรวยริน กำลังร้องขอชีวิต
แต่สุดท้ายแล้วทุกอย่างก็ดับหายไป…
"มิลิน!" ฉันลืมตาขึ้นมาอย่างสะดุ้งสุดตัว...ก่อนที่จะบีบมือของคนตรงหน้าเอาไว้แน่น
"มีอะไรหรอ" มิลินที่รอฟังคำตอบก็ถามด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก
"คือ..._!#@$%%^&%&" (ถ้าอยากตายแทนมันก็พูดออกมา!) เสียงนั้นดังก้องขึ้นที่ข้างหู
หลังจากนั้นเสียงที่ฉันเปล่งออกไปกลับไม่มีอะไรออกมาเลยแม้แต่คำเดียว
"พูดมาสิต้องมนตร์ มีอะไรเกี่ยวกับพี่ดินงั้นหรอ" มิลินถามขึ้นอย่างเป็นห่วงเป็นใยแฟนหนุ่มก่อนตัวเองเสียด้วยซ้ำ
แต่พอฉันจะเอ่ยบอกเธอ...เสียงของฉันมันก็หายไป...มันหายไป...
"ยัยต้องมนตร์เลือดกำเดาไหล ๆ เอากระดาษมาซับที ๆ" เพื่อนเกย์คนเดิมตะโกนขึ้น เมื่อพบว่าจมูกของฉันมีเลือดไหลพรวดออกมาทั้งสองข้าง...
(ถ้าคิดจะขวางกฎแห่งกรรม มึงนั่นแหละที่จะเจอดี) เสียงนั้นยังดังวนเวียนอยู่ใกล้ ๆ กับตัวของฉัน และดังกังวานอย่างน่ากลัว จนฉันรีบปล่อยมือออกจากมิลินทันที
"เธอทำฉันกลัวเลยนะ" มิลินที่เห็นท่าทางของฉัน เธอก็ถามซ้ำ ๆ ด้วยความไม่สบายใจ รวมถึงเพื่อน ๆ คนอื่น ๆ ที่นั่งจับกลุ่มกันอยู่ใกล้ ๆ
เพียงแต่ว่าตอนนี้ริมฝีปากของฉันมันหนัก และรู้สึกเหมือนกับว่ามีใครเอามือมาปิดเอาไว้ มือที่หยาบกระด้างนั้น...
แน่นอนว่าถึงฉันจะเป็นคนดูดวง หรือมีสัมผัสที่ 6 แต่ถ้าถึงขั้นที่มีใคร (ที่ไม่รู้ว่าใช่คนหรือเปล่า) มาแตะตัว ปิดปาก พูดจาสื่อสารกันได้ขนาดนี้ ฉันก็กลัวใจแทบขาดเหมือนกันนะ พูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว ตัวสั่นทำอะไรไม่ถูกเลย
ฉันหลับตาและท่องคาถาที่คุณปู่เคยสอนเอาไว้ เพียงไม่นานความรู้สึกเยือกเย็นและวังเวงรอบตัวนั้นก็หายไป...แต่ฉันยังรับรู้ถึงพลังงานบางอย่างอยู่
ฉันสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะมองตรงไปที่มิลิน
"...มิลิน" ฉันเรียกชื่อเพื่อนด้วยเสียงสั่น ๆ
"เธอต้องทำบุญกรวดน้ำให้เจ้ากรรมนายเวรบ่อย ๆ นะ" ฉันลูบมือของเพื่อนสาวคนสวยและบีบมือเธอแน่น ๆ
"เจ้ากรรมนายเวร ?" มิลินขมวดคิ้วเล็กน้อย สีหน้าเธอไม่สู้ดีเมื่อได้ยินคำเตือนจากฉัน
"จงใช้ชีวิตด้วยความไม่ประมาท"
"อย่าทำผิดศีลแม้แต่ข้อเดียว...(โดยเฉพาะข้อสาม)" ฉันย้ำและใบ้ไปให้ได้มากที่สุด ถึงจะรู้ว่ามิลินอาจจะไม่เข้าใจก็ตาม
"เธอคงบอกตรง ๆ ไม่ได้สินะ" มิลินพยักหน้าอย่างเข้าใจ แม้ว่าหน้าเธอจะเริ่มถอดสีแล้วก็ตาม
ฉันถอดสร้อยพระของตัวเองที่คอออกทันที ก่อนจะยกมือสาธุอีกครั้ง
"ฉันให้นะ ถือว่าเป็นของขวัญวันเรียนจบก็ได้" ฉันยัดมันลงใส่มือของเธอ ที่ถือว่าเพื่อนร่วมรุ่นที่สนิทคนหนึ่งเลยล่ะ...
"ขอบคุณนะยัยชี...เธอนี่ใจดีกับทุกคนเสมอเลย" มิลินฝืนยิ้มรับคำพูดของฉัน
จนถึงช่วงเวลาที่งานปาร์ตี้นั้นเลิกรา ฉันและพวกเพื่อนก็ออกมารอแท็กซี่กันด้านนอกร้าน...
"เป็นอะไรไปน่ะต้องมนตร์" ยายเกี๊ยวเดินควงแขนของฉันออกมายืนหน้าร้าน เมื่อเห็นว่าฉันซึม ไป
"เปล่า" ฉันส่ายหน้าเบา ๆ
"งั้นฉันกับยัยมนตร์กลับหอก่อนนะ ทุกคน" เกี๊ยวเอ่ยบอกลาทุกคน
"ไปก่อนน้า" ฉันก็โบกมือลาเพื่อนร่วมรุ่นอย่างยิ้ม ๆ
ซึ่งทุกคนที่เมากันจนเละเทะก็ร่ำลากันแยกย้ายกลับไปคนละทิศละทาง
ในวินาทีที่ฉันก้าวขึ้นรถแท็กซี่... ฉันก็สะดุดตาเข้ากับยายมิลินที่ขึ้นรถเบนซ์สีดำเปิดประทุนป้ายแดงคันนั้น พร้อมกับผู้ชายคนนั้น...ทั้งคู่ขับห่างออกไป จนไกลสุดสายตา...
"ขอให้เคราะห์ร้ายกลายเป็นเบานะ" ฉันนึกถึงภาพในนิมิตที่เห็นขณะที่จับมือของมิลิน
(มึง...ระวังตัวไว้เถอะ ชอบเสือกเรื่องของคนอื่น!) เสียงดำมืดนั่นดังเข้าหูของฉันอีกครั้ง ก่อนที่ขนแขนของทั้งฉันและยายเกี๊ยวจะลุกพรึ่บ
เราสองคนมองหน้ากัน ก่อนจะนิ่งไปโดยที่ไม่มีใครพูดอะไรขึ้นมาเลยสักคำ...
และแล้วบรรยากาศที่เลวร้ายของคืนนี้ก็จบลง เมื่อฉันปิดไฟแล้วเข้านอน
นั่นแหละค่ะ คือฉัน…
...นางสาวต้องมนตรา...ผู้ที่เกิดมาพร้อมกับสัมผัสที่หก หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกอีกแบบว่า SIXTH SENSE
มันเป็นพลังพิเศษที่ฉันไม่อยากจะมี แต่ปฏิเสธไม่ได้
ฉันสามารถเห็นเหตุการณ์ล่วงหน้าเพียงแค่สัมผัสมือ
ฉันได้ยินเสียงของสิ่งที่มองไม่เห็น
และคุณปู่ของฉันเคยบอกไว้ว่า พลังที่เรามีควรเอาไว้ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน และเราคือคนที่ถูกเลือกแล้ว ทำมันให้ดีที่สุด...
ช่วยให้เขาพ้นจากทุกข์และชี้ทางสว่างให้เขา
เราเกิดมาเพื่อเสียสละ เพื่อช่วยคนอื่น ๆ
และทุก ๆ พลังพิเศษที่ฉันมีจะไม่มีทางหายไปจากตัวของฉันได้...
ถ้าฉันบริสุทธิ์...