บทที่5 ‘ทำข้อตกลง’
หลายนาทีต่อมา...
“พี่คิม ทำไมถึงมีคนรู้ที่อยู่นายอะ”
[น้องนายขา~ พี่ขอโทษนะคะ คือเลขาคุณกองทัพเขาคะยั้นคะยอพี่มากเลยอะค่ะ อีกอย่างเขาก็อยากให้น้องนายไปร่วมงานกับเขาจริง ๆ นะคะ เนี่ยมีอีกบริษัทหนึ่งที่โทรมาจองตัวน้องนายเหมือนกัน แต่ของคุณกองทัพเขาให้ค่าตัวสูงมากกว่าพี่เลยปฏิเสธไป น้องนายพิจารณาหน่อยน้า]
“พี่คิม ตอนนี้ที่นายอยากรู้คือเขามาคอนโดนายถูกได้ไง”
[แง่ง~ น้องนาย~ พี่ผิดไปแล้วง่า]
“สรุปพี่เป็นคนบอกสินะ”
[น้องนาย~]
ติ๊ด.
ฉันกลอกตามองบนอย่างเบื่อหน่ายทันทีหลังจากกดวางสายพี่คิมมี่เสร็จ คือให้ที่อยู่ฉันกับคนอื่นได้ไง โมโหเลยอะ
“คุยกับผู้จัดการเสร็จหรือยัง”
เสียงทุ้มของตาบ้านั้นดังขึ้นด้านหลังฉัน ฉันจึงหมุนตัวหันไปเผชิญหน้ากับเขาด้วยสีหน้าที่รำคาญสุดๆ
คือหลังจากที่ฉันเปิดประตูเมื่อกี้สรุปคนที่มาหาฉันก็คือตาบ้านั่นแหละ แล้วมันวันซวยอะไรของฉันนักหนาไม่รู้ที่ต้องเจอหมอนี้วนเวียนใกล้ตัวตั้งสองรอบ แล้วที่สำคัญยังกล้ามาคุยคะยั้นคะยอให้ฉันรับงานบริษัทเขาถึงคอนโดอีก แล้วมาเร็วด้วยนะประเด็น อารมณ์เหมือนตอนไลน์มาหาฉันคือกำลังนั่งรถมาหาแล้ว
เหอะพูดแล้วก็อยากหัวเราะให้ปอดโยก เจอกันที่ร้านกาแฟก็ขอให้ฉันช่วยจ่ายค่ากาแฟให้ก่อน ผ่านไปไม่กี่ชั่วโมงก็ดิ่งตรงมาขอให้ฉันทำงานด้วยอีก ต้องเรียกว่าอะไรอะ พรหมลิขิตชักพาให้มาเจอกันเหรอ พยายามไม่อยากเห็นหน้าก็เจอกันอยู่นั้นแหละ
“ยังไงๆ ฉันก็ไม่รับ คุณกลับไปเถอะ” ฉันบอกเขาก่อนจะเดินผ่านมาแถวโซฟาห้องนั่งเล่น
“เธอต้องรับ เพราะฉันต้องการให้เธอรับ” แต่เขาก็ยังเดินตามฉันไม่เลิกแถมยังพูดจาเอาแต่ใจอีก จนฉันต้องหันขวับไปขึ้นเสียงใส่
“นี่!! คุณพูดไม่รู้เรื่องเหรอ!อย่าให้ฉันต้องโมโหนะ” ฉันจ้องตาเขาอย่างเอาเรื่องฉันพูดจริงทำจริงนะจะบอกให้ คนยิ่งโมโหเรื่องที่รู้ที่อยู่ฉันอยู่ เดี๋ยวเถอะ เดี๋ยวเจอแม่ฟาด
“หึ ตัวเล็กแค่นี้ทำไมเสียงดังจังว่ะ”
“ก็คุณมันน่ารำคาญไง เซ้าซี้อยู่ได้ ฉันบอกว่าไม่รับก็คือไม่รับ!”
“ก็ได้ ถ้าไม่รับฉันก็จะอยู่ในห้องเธอไม่ไปไหน จนกว่าเธอจะตกลงทำงานกับฉัน มาดูกันว่าฉันมีเวลาว่างสำหรับเธอแค่ไหน” เขาเท้าเอวขยับตัวเข้าใกล้ฉันด้วยสีหน้าจริงจัง แต่ฉันก็ไม่ขยับหนีหรอกนะ ยืนมันอยู่ที่เดิมนี่แหละ ไม่กลัวหรอก
“ก็ฉันบอกแล้วว่าไม่อยากรับก็คือไม่อยากรับไง ไปหาพริตตี้คนอื่นก็ได้ปะ” ทำไมต้องเป็นฉันด้วย ช่วงนี้ฉันยิ่งไม่อยากออกงานอยู่
“ก็ฉันอยากได้เธอ” เขาเถียงกลับมาทันควัน เหอะ!! น่ารำคาญจริง ๆ
ไลน์ๆ ~
แต่ในขณะที่ฉันกำลังยืนจ้องหน้ากับตาบ้าดื้อด้านอยู่ จู่ ๆ ก็มีเสียงไลน์แจ้งเตือนดังอีกครั้ง ฉันจึงละสายตาจากเขามองไปที่โทรศัพท์ในมือที่กำลังสั่นไม่หยุดแทน
Line::
Kimmy: น้องนาย อย่าโกรธพี่เลยนะคะพลีส?
(นี่ก็อีกคน ทำอะไรเคยคิดที่จะปรึกษาฉันก่อนบ้างปะ)
Kimmy: น้องนายจะเลิกรับงาน หรือรับน้อยลงกว่าเดิมก็ได้ แต่พี่ขอเถอะนะ ของานนี้งานหนึ่งนะคะ? งานใหญ่เงินเยอะขนาดนั้นไม่ได้มีมาบ่อย ๆ นะคะ
Kimmy: ตอบตกลงคุณกองทัพเถอะนะคะ
(ฉันอ่านข้อความเชิงอ้อนวอนของพี่คิมมี่ที่ส่งมาให้ฉันรัวๆ สลับกับมองหน้านายกองทัพที่ยืนจ้องหน้าคาดคั้นฉันตอนนี้ไปมาอย่างเบื่อหน่าย คือสองคนนี้เขาไปดิวอะไรกันมาหรือเปล่า ทำไมต้องมาอะไรกับฉันขนาดนี้ด้วย รำคาญอะ รำคาญทั้งผู้จัดการและตาบ้านี้ด้วย)
K.N: ไม่ค่ะ!
Kimmy: พลีสนะคะน้องนาย~ เจ้อยากให้น้องนายรับงานนี้จริงๆ
K.N: แล้วอีกบริษัทหนึ่งละคะ เขาให้เงินน้อยกว่าเหรอคะ พี่ถึงดูไม่เชียร์ฝั่งนั้น
(ฉันถามเพราะรู้สึกแปลกใจที่พี่คิมไม่เชียร์ฝั่งนู่นเลย คือมาออกนอกหน้ากับบริษัทของตาบ้านี้คนเดียว)
Kimmy: ฝั่งนั้นพยายามอัพเหมือนกันค่ะ แต่น้องนายบริษัทคุณกองทัพหน้าตาชื่อเสียงดีกว่าหลายเท่าเลยนะคะ คุณกองทัพเองก็ดี๊ดีด้วยค่ะ
K.N: สรุปเพราะพี่ชอบสินะถึงได้เชียร์ขนาดนี้ แล้วได้ค่าสินบนมาจากเขาเท่าไหร่แล้วละ
(ถ้ามาแนวนี้รับรองงานใต้โต๊ะต้องมาแล้วละไม่งั้นจะเชียร์ออกนอกหน้าขนาดนี้เหรอ)
Kimmy: น้องนาย~ มันไม่เยอะหรอกค่ะ แค่พอจ่ายค่างวดบ้านใหม่พี่เอง
(เฮ้อ~ ฉันกลอกตามองบนเลยอะ คือฉันเข้าใจว่าพี่คิมกำลังเร่งหาเงินจ่ายค่างวดบ้านที่เพิ่งซื้อใหม่อยู่ แต่มาทำแบบนี้ฉันก็ไม่ค่อยโอเคไง คุยก่อนที่จะมาบอกฉันให้รู้แถมยังรับเงินเขามาแล้วด้วย แล้วยังให้ที่อยู่ฉันกับคนแปลกหน้าอีก)
K.N: งั้นนายขอรับงานกับอีกบริษัทหนึ่งละกันนะคะ เพราะไม่อยากร่วมงานกับคุณกองทัพของพี่ แล้วหลังจากจบงานนายมอบเงินค่าตัวนายให้พี่ไปจ่ายหนี้ให้หมดเลยค่ะ
(ฉันตอบส่วนทางกลับไป)
Kimmy: น้องนาย~
K.N: ไม่ต้องดีใจขนาดนั้นก็ได้ค่ะ ถือว่านายช่วยพี่เป็นครั้งสุดท้าย เพราะหลังจากนี้นายจะงดรับงานพริตตี้ค่ะ จะรับเฉพาะงานพรีเซนเตอร์เท่านั้น
Kimmy: คือไม่ใช่ค่ะน้องนาย พี่ไม่ได้ดีใจเรื่องนั้น งื้อ เอาไงดี คือพี่อยากให้น้องนายพิจารณาบริษัทคุณกองทัพเขา นะคะ ๆ ถือว่าพี่ขอเป็นครั้งสุดท้ายเหมือนกัน ?
Kimmy: พลีส ? พี่ไม่เคยขออะไรน้องนายเลยนะ ครั้งนี้ครั้งเดียวและครั้งสุดท้ายนะคะคนดีของพี่คิม
Kimmy: พี่กราบท่าเบญจางคประดิษฐ์เลยค่ะคนดี ? รับเถอะนะคะ ?
พอ จบ ฉันจะไม่อ่านไลน์ผู้จัดการตัวเองอีกแล้ว คือมาขออะไรกับฉันในเรื่องนี้ละ เข้าใจอารมณ์ไม่อยากร่วมงานกับคนที่เคยมีซัมติงกันมาก่อนไหม คือถ้าเป็นไปได้ฉันอยากอยู่ห่างๆ ไง หายไปจากวงจรชีวิตฉันเลยก็ดีแต่นี่อะไรวันนี้ฉันเจอหมอนี้ตั้งสองรอบแล้วอะ แล้วมันเรื่องบ้าอะไรที่ต้องมาคะยั้นคะยอฉันให้ร่วมงานกับตัวเอง ดูไม่ออกเหรอว่ารังเกียจอะ
แล้วฉันโคตรเกลียดความอวยของพี่คิมมี่มากด้วย ที่บอกว่าบริษัทตาบ้านี้ดีอย่างนู้นดีอย่างนี้ หารู้ไม่ว่าไอ้เจ้าของมันเนี่ยมันเป็นคนยังไง ไม่อวดรวยก็เป็นภาระมีดีอยู่แค่อย่างเดียวคือหน้าตา
“คุณ...”
“ฉันไม่กลับ”
“ฉันยังไม่ทันได้พูดเลยปะ ฟังให้จบก่อนสิ” ฉันแหวเสียงฉุนกลับไป คือแค่เรียกอย่างเดียวไงยังไม่ได้พูด
“อะไร” เขาเปลี่ยนเป็นยืนกอดอกทำเป็นมาดเข้มใส่ฉันแทน ฉันเลยเบะปากกลับก่อนจะเอ่ยถาม
“ค่าตัวฉันเท่าไหร่” ฉันถามเชิงอยากรู้เล่นๆ
“เธอตกลงใช่ไหม”
“อย่ามามั่ว ฉันแค่ถามค่าตัวเฉยๆ” นี่ก็จะเอาให้ได้อย่างเดียวเลย แค่ถามเอง เขาใจไหมว่าแค่ถามยังไม่ได้ตัดสินใจ
“ตามที่ผู้จัดการเธอขอ”
“แล้วเท่าไหร่ละ”
“สิบล้าน”
!!!!
ห้ะ! สะสิบล้าน! พี่คิมมี่กะจะรวยเลยหรือไง ถึงเรียกค่าตัวฉันสูงขนาดนั้น แล้วอย่างนี้อีกบริษัทหนึ่งจะสู้ไหวเหรอ
“ทำไมคุณยอมจ่ายเงินเยอะขนาดนั้น” ฉันถามเขาด้วยความสงสัย เริ่มสนใจนิดๆ หน่อยๆ
คือยอมจ่ายเยอะขนาดนั้นเลยอะ ปกติแล้วค่าตัวฉันไม่เกินห้าล้านต่องานแต่นี่ปาไปตั้งสิบล้านทุ้มขนาดนั้นกะให้บริษัทนั้นแย่งฉันไปไม่ได้ชัดๆ
“เพราะฉันชอบเธอ”
“หะ? คุณว่าไงนะ” พอได้ยินก็หูผึ่งเลยอะคือฉันไม่ได้หูเพี้ยนใช่ไหม
“คือฉันหมายถึงชอบการทำงานของเธอ ฉันคิดว่าเธอมีเสน่ห์ น่าจะดึงลูกค้า และดูดทรัพย์ได้ดีมั้ง”
อ้อ... เอาสะใจฉันกระตุกวูบเลยอะ จู่ ๆ มาบอกชอบ แล้วสีหน้าเขาเมื่อกี้ก็แบบเลิ่กลั่กมากด้วยนะ นี่คิดอะไรกับฉันหรือเปล่า?
“อะอ๋อ...แบบนี้นี่เองแล้วมั่นใจในตัวฉันขนาดนั้นเชียว” พอได้ฟังคำตอบก็โล่งอกไปหน่อย ฉันก็พอรู้ตัวอยู่หรอก ว่าเวลาฉันรับงานเป็นพริตตี้หรือพรีเซนเตอร์ หลาย ๆ งานมักจะมีกระแสผลตอบรับดีตลอด เมื่อก่อนฉันรับงานบ่อยแต่หลัง ๆ ฉันเริ่มเบื่อบ้าง รำคาญคนบ้างก็เลยไม่ค่อยรับไง
“ถ้าไม่ แล้วฉันจะยอมลุกออกจากโต๊ะทำงานมาหาเธอเองหรือไง ตกลงว่าไงรับหรือไม่รับ” เขาตอบฉันเสียงฉุนนิดหน่อย
“ขอคิดดูก่อนละกัน แต่นายอะจ่ายค่ากาแฟเมื่อตอนเที่ยงมาให้ฉันก่อนเลย” ฉันยื่นมือทวงค่าเครื่องดื่มเมื่อตอนเที่ยงที่เขาติดฉัน ตอนนั้นบอกไม่ต้องจ่ายแต่ตอนนี้อยากได้คืน เพราะฉันหมั่นไส้ความรวยของเขามาก ๆ ถึงมากที่สุด
“หึ สมกับชื่อคุณนายจริง ๆ น่าจะขี้งกน่าดูเลยนะเธออะ เอาไป” เขาแขวะฉันพร้อมกับดึงแบงก์เทาสองใบจากกระเป๋าออกมาให้ฉันที่กำลังแบมือต่อหน้าเขา
หึ นี่มันประชดกันชัดๆ แต่ก็ดีค่ากาแฟสองแก้วไม่ถึงสองร้อยแต่ได้เงินคืนกลับมาตั้งสองพัน ดีจริง ๆ ถ้ารู้แบบนี้รอบหน้าฉันยอมออกให้ก่อนเลย กำไรเหลือเฟือขนาดนี้
“ไม่มีบริการเงินทอนนะคะคุณ” ฉันบอกเขาพร้อมกับกอดอกสะบัดแบงก์ในมือไปมาเบาๆ
“ที่เหลือให้ทิปเด็กขี้งกแบบเธอ” เหอะ! ใครขี้งก ก็ไม่ได้งกปะ บอกยืมเอง ยืมแล้วก็ต้องคืนสิ
“กลับไปได้แล้วฉันจะพักผ่อน เดี๋ยวฉันจะตอบกลับไปทีหลัง” ฉันไล่เขาให้กลับเพราะฉันจะมาสก์หน้าพักผ่อนก่อนออกไปตี้คืนนี้สักหน่อย
“ขออยู่ก่อน วันนี้ฉันทำงานทั้งวันโคตรเหนื่อยเลย”
เขาพูดจบปุ๊บก็เดินไปนั่งโซฟาพร้อมเอนหลังวางหัวไว้บนขอบโซฟาอย่างเรียบร้อยตามด้วยหลับตาลงอย่างเหนื่อยอ่อน โดยไม่สนใจเจ้าของห้องอย่างฉันที่ยืนค้ำหัวอยู่ตรงนี้เลยสักนิด
เดี๋ยว!! คือมันเกี่ยวอะไรกับห้องฉัน ทำงานเหนื่อยก็กลับไปพักผ่อนที่บ้านตัวเองสิ มาบอกฉันทำไม แล้วจะมานั่งหลับบนโซฟาฉันแบบนี้ก็ไม่ได้ปะ
“นี่นายจะมานอนห้องคนอื่นแบบนี้ไม่ได้ปะ”
“คนอื่นที่ไหน ผ่านบทรักกันมาก่อนแล้ว เขาเรียกว่าผัวเมียกันต่างหาก”
ไอ้!! >< ผัวเมียบ้าบออะไรละ! พลาดท่าตอนเมาไม่ได้ตั้งใจปะ มันเป็นเพราะความเมา แล้วอีกอย่างถ้าคืนนั้นฉันเป็นเมียเขา ป่านนี้เขาไม่มีเมียไปค่อนประเทศแล้วหรือไง
“นี่คุณ! อย่ามาพูดจาแบบนี้นะ เดี๋ยวจะโดนฉันฟาดด้วยไม้เบสบอลเข้าให้” ฉันขู่เขา
“กลัวตายแหละ ไปเอามาฟาดดิ อยากโดนเมียฟาดด้วยไม้เบสบอลจะตายอยู่แล้วครับ” เขาขยับตัวมานั่งเท้าคางเอียงคอมองหน้าฉันอย่างล้อเลียนแถมยังยักคิ้วส่งยิ้มกวนๆ มาให้ฉันอีก
จะกวนตีนเกินไปละนะ
“ไหนอะคะไม้เบสบอล เฮียรอเด็กดีตีอยู่หนา” เฮียเหรอ? โว้ย อย่ามาแทนตัวเองแบบนี้กับฉันนะ!
“โดนแน่! ฉันจะฟาดแจกันให้หัวแตกเลยล้อเลียนฉันนักนะ” ฉันหันซ้ายหันขวามองหาแจกันตามที่บอกอย่างเอาเรื่อง ก่อนจะเห็นแจกันดอกไม้วางไว้อยู่บนโต๊ะข้างๆ โซฟา
หึ!
พรึบ!
หมับ!
ตุบ!
“อ๊ะ!”
“ตัวเธอหอมจัง นุ่มด้วย”