บทที่3 ‘ความบังเอิญที่แสนวุ่นวาย’
บทที่3
‘ความบังเอิญที่แสนวุ่นวาย’
ฉันคืออึ้งทันทีที่ผู้ชายร่างสูงตรงหน้าพูดออกมาพร้อมกับถอดแว่นตาออก เผยให้เห็นแววตาทอประกายขี้เล่นของเขาเหมือนเช้าวันนั้น แถมตอนนี้ยังยิ้มให้ฉันอีก
ใช่! ก็นี่มันไอ้บ้าที่พรากเวอร์จิ้นฉันไง เพิ่งด่าไปเมื่อกี้ว่าถ้าเจอจะฟาดส้นสูงให้ แล้วพูดว่าอะไรนะผัวคนแรกของฉันงั้นเหรอ เหอะ! โชคเข้าข้างชะมัด จะได้ถอดรองเท้าไปฟาดปากสักหน่อย
พรึบ! ฉันสะบัดแขนออกจากมือเขาทันทีอย่างขึงขังแล้วเปลี่ยนมายืนกอดอกจ้องหน้าเขาแทน
“ใครสั่งให้นายพูดว่าเป็นผัวคนแรกของฉันไม่ทราบ อย่ามาพูดจาพล่อยๆนะ เดี๋ยวเจอส้นกระแทกปาก” เหอะ! ครั้งเดียวทำมานับว่าเป็นผัว ป่านนี้คงได้เป็นผัวคนอื่นไปทั้งประเทศแล้วแหละดูจากทรงแล้วอะ
“หึ ดุสะด้วย... เฮ้อ~ก็ไม่รู้ใครแหละที่เป็นผัวคนแรกของเธอ แต่ที่รู้ๆคราบเลือดที่ติดบนผ้าปูที่นอนฉันยังซักไม่ออกเลยว่ะ สงสัยต้องให้เจ้าของเลือดไปซักให้แล้วมั้ง”
หน่อย ยังกล้ามาพูดเรื่องนั้นกับฉันอีกหรือไง ที่ฉันไม่แจ้งความเอาผิดก็บุญแค่ไหนแล้ว ถึงจะเมาและไปอ่อยก่อนก็ควรที่จะมีความเป็นสุภาพบุรุษหน่อยไหม
“เหรอ...ดูหน้าก็ไม่น่าโง่นะ ไฮเตอร์อะรู้จักปะ ถ้ารู้จักก็ไปซื้อมาใช้สะ!” ฉันพูดพร้อมทำหน้ายียวนกลับ แต่ดูเหมือนเขาจะไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ที่ฉันพูดแบบนั้น เพราะฉันเห็นเขาเริ่มดุนลิ้นที่กระพุ้งแก้มพร้อมกับสะบัดเสื้อสูทไปด้านหลังก่อนจะเท้าเอวข้างหนึ่งขยับเท้าเข้าหาฉันอย่างวางอำนาจ
แล้วไงฉันต้องกลัวว่างั้น
“หึ เธอนี่มันฝีปากดีจริง ๆเลยนะ ตอนเมาอีกอย่างแต่พอสร่างเมานี่ปากจัดใช่ย่อย” เขาว่าฉัน
“หว่า~ ฉันจะถือว่าเป็นคำชมละกันนะ เพราะยังไม่มีใครเคยว่าฉันปากจัดสักคนเดียว ที่ผ่านมาหนุ่มๆมักบอกว่าฉันปากหวานอะ” ฉันเอียงคอเล็กน้อยพูดด้วยท่าทางยกยิ้มยียวน ก่อนจะขยับเข้าใกล้เขาแล้วพูดว่า “ขอบพระคุณมากนะคะที่ชม ^^”
“มอคค่าสองแก้วของคุณผู้ชายได้แล้วค่ะ”
“เท่าไหร่ครับ” ทันทีที่พนักงานขัดจังหวะ เขาก็ละสายตาจากฉันหันไปหาพนักงานทันทีพร้อมหยิบกระเป๋าตังค์ขึ้นมาเตรียมจ่ายค่ากาแฟ ฉันจึงเลิกสนใจเขาแล้วเตรียมตัวหันหลังเดินไปที่โต๊ะแทน แต่หูก็ได้ยินแว่วๆที่เขาคุยกับพนักงาน
“แป๊บหนึ่งนะครับ”
“เธอ”
หมับ!
“อ๊ะ!” ไอ้บ้านี่กระชากแขนฉันขนาดนี้กะจะให้แขนฉันหลุดเลยหรือไง แล้วอะไรอีกอะจะไม่จบไม่สิ้นกับฉันว่างั้น
“เดี๋ยวก่อน”
“อะไรอีกอะ” ฉันกระแทกเสียงถามอย่างไม่สบอารมณ์ ก็เล่นดึงแขนขนาดนี้ฉันไม่ถอดรองเท้าฟาดให้ก็ดีแล้วนะ
“ช่วยจ่ายให้หน่อย ฉันลืมพกเงินสดมา”
ห่ะ! นี่คิดจะแก้แค้นที่ฉันยอกย้อนเมื่อกี้เหรอ คนรู้จักก็ไม่ใช่แล้วเรื่องบ้าอะไรฉันต้องจ่ายด้วยอะ แล้วประเด็นคือทำไมไม่พกเงินสดมา นี่คิดว่าตัวเองอยู่ไหนอะถึงไม่พกเงินสดติดกระเป๋า
“มันใช่เรื่องของฉันไหม? น้ำใครสั่งคนนั้นก็จ่ายไปสิ อย่ามาทำตัวเป็นภาระคนอื่นแบบนี้นะ”
“ก็บอกแล้วไงว่าฉันลืมพกเงินสดมา ยืมก่อนเดี๋ยวค่อยคืน”
โห๊ะ! ดูพูดเข้า พูดเหมือนฉันกับเขาอยู่กินด้วยกันมาเป็นสิบปีแล้วอะ ขอกันกันง่ายๆเลย บอกเลยเพื่อนฉันสมัยอนุบาลมันยืมเงินฉันยี่สิบบาทมันยังไม่คืนจนถึงตอนนี้เลยแล้วคิดว่าคนที่เจอไม่ถึงสามครั้งอย่างหมอนี้ฉันจะให้เหรอ อีกอย่างสมัยนี้นี่คือยืมเงินคนอื่นหน้าตาเฉยกันแบบนี้เลยเหรอ มันไม่ใช่ปะ
เอาสิ ฉันไม่ให้หรอกนะ ใครจะมองก็มองไปสิ ฉันไม่แคร์อยู่แล้ว อีกอย่างฉันรู้สึกว่าเขากำลังกวนโอ๊ยฉันอยู่ ไม่ใช่ไม่มีเงินจริง ๆ หรอก
“เธอครับ ยืมก่อนเดี๋ยวค่อยคืนนะครับ ผมขี้เกียจขับรถไปกดอะ” เขาบีบมือฉันทำเสียงอ้อนปัญญาอ่อนพร้อมกับส่งสายตาปริบๆ มาให้ฉัน คิดว่าฉันจะหลงกลเหรอ
“พร้อมเพย์ไปสิ นั้นอะเขาเขียนอยู่” ฉันพยักหน้าไปที่ป้ายพร้อมเพย์ของร้านที่โชว์อยู่บนเคาน์เตอร์ร้านให้เขาดู
“ลืมพกโทรศัพท์มาด้วย” เขาดึงกระเป๋ากางเกงและกระเป๋าเสื้อออกบ่งบอกว่าลืมพกโทรศัพท์มาจริง
โอ๊ย ไอ้บ้านี่ วุ่นวายชะมัดเลย ในชีวิตนี้พกอะไรกับเขาบ้างห่ะ เงินสดไม่มี แถมไม่พกโทรศัพท์อีก เห็นหน้าฉันเป็นนักบุญหรือไง
“เธอ...”
หมับ!
!!!
0.0
ฉันตาโตตัวแข็งทื่อทันทีที่โดนไอ้บ้านี้สวมกอดอย่างอุกอาจโดยไม่ทันตั้งตัว
บ้าไปแล้วนี่มากอดฉันทำไมเนี่ย
“นี่นาย ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้เลยนะ นายมากอดฉันกลางร้านแบบนี้ได้ไงห่ะ คนมองหมดแล้วเนี่ย” ฉันว่าพร้อมดิ้นให้หลุดพ้นจากอ้อมกอดเขา
“ไม่...ถ้าเธอไม่ยอมจ่าย ฉันก็จะกอดเธอแบบนี้ไม่ปล่อย ทุกคนในร้านจะได้รู้ว่าเธอเป็นคนรู้จักที่ใจร้ายมากขนาดไหนที่ไม่ยอมออกเงินให้ฉันก่อน แค่สองร้อยบาทเอง”
จะกวนประสาทฉันมากไปแล้วนะ!
“เอ่อ!! เดี๋ยวจ่ายให้ น่ารำคาญจริง ๆ เลย”
ฉันกระแทกเสียงพร้อมผลักเขาออกอย่างอารมณ์เสีย ก่อนจะเปิดกระเป๋าตังค์หยิบแบงก์ร้อยสองใบให้พนักงาน แล้วรู้อะไรไหมคนทั้งร้านมองกันหมดอะแถมยังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ให้อีก แล้วไอ้คนที่ยืนยิ้มให้ฉันเนี่ยคือมันต้องลงทุนทำเบอร์นั้นเลยปะ
“เงินทอนค่ะคุณลูกค้า” ฉันรับเงินทอนจากพนักงานส่วนตาบ้าข้างฉันก็รับถุงกาแฟไป
“จดเลขมาเดี๋ยวโอนให้ เอาไอดีไลน์ด้วยเดี๋ยวส่งสลิปไปให้ดู” นี่เขากำลังกวนตีนหรือลอกขอไลน์ฉันอยู่รึเปล่า
“ไม่ต้อง! ถือว่าทำบุญทำทานไถ่บาปอะไรก็ว่าไป ขอแค่อย่าได้เจอกันอีกก็พอ”
ฉันกระแทกเสียงบอกเขาอีกครั้งก่อนจะหมุนตัวเดินไปนั่งที่โต๊ะตัวเอง เพราะไม่อยากยืนหายใจรดกับตาบ้านั้นแต่ไม่วายดันนั่งหันหน้าสบตากับเขาอีก ซึ่งหมอนั้นก็ยังกวนฉันโดยการส่งยิ้มให้ฉันไม่เลิก ก่อนจะขยิบตาส่งให้ฉันแล้วเดินออกจากร้านไป เหอะ คิดว่าทำแบบนั้นแล้วหล่อมากมั้ง
“อึ๊ย~ ยังไงเอ่ยพ่อหนุ่มสุดหล่ออะ มีกงมีกอด จีบกันอยู่เหรอว่ะ พวกกูไม่เห็นรู้เรื่องเลย” โมชิละสายตาจากรถหมอนั้นที่เคลื่อนตัวออกไปแล้วหันมาแซวฉัน
“จีบเจิบอะไรละ ใครกูยังไม่รู้จักเลย” ฉันบอกพวกมันสีหน้าไม่สบอารมณ์ แต่แอบเหลือบมองหลังรถของหมอนั้นที่ขับออกไปเล็กน้อย
“แหน่ะ! แม่กักว่ะ กอดขนาดนั้นยังบอกไม่รู้จักกันอีก คนไม่รู้จักที่ไหนจะกล้ากอดต่อหน้าคนทั้งร้านขนาดนั้น จริงไหมลูน”
“เออๆ แม่มึงเขินอยู่แหละชิ ดูดิหน้าแดงเชียว ฮ่า ๆ” เขินบ้าอะไร คนมันร้อนปะว่ะ
“กูไม่ได้เขิน กูร้อน แอร์เสียเหรอว่ะไม่เห็นเย็นเลย” ฉันว่าพร้อมกับสะบัดผมไปทางด้านหลังรู้สึกร้อนอึดอัดยังไงไม่รู้
“กลบเกลื่อนเก่งจ้า รู้จักกันมาก่อนก็บอกเถอะ ฮ่า ๆ” ยังไม่จบอีก
“ไม่ได้รู้จักกันย่ะ พอใจยัง แล้วพวกมึงก็ช่วยเงียบสักทีเถอะ ถ้าไม่เงียบนะกูจะปล่อยให้เดินกลับเองเลย” ฉันขู่พวกมันพร้อมจ้องตาดุอย่างเอาจริง ไม่เชื่อก็ลองดู ฉันทิ้งให้กลับเองแน่ถ้ายังไม่หยุดแซวฉัน
“ฮ่า ๆ เออๆ แต่มึงนี่มันโหดสมชื่อคุณนายจริง ๆ เลย จะดุไปไหนวะ นี่ถ้าใครได้มึงเป็นเมียนะนายกูว่าเขาต้องผวามึงวันละหลายๆ รอบอะ ฮ่า ๆ”
ผวาเหรอ? ถ้าได้ผัวไม่กวนตีนฉันก็ไม่ขู่ฟ่อหรอก แต่ถ้าได้ผัวกวนตีนนี่สิ ฉันน่าจะปวดหัวมาก ๆ
แต่สุดท้ายฉันก็นั่งเงียบไม่ตอบพวกมัน เลือกที่จะไม่สนใจแล้วทำเป็นเล่นโทรศัพท์หน้าตาเฉยต่อไป ก่อนจะแอบเหลือบมองออกไปนอกร้านอีกครั้ง