ตอนที่ 4
“อะไร” พวกผมเอ่ยถามขึ้นพร้อมกัน พอได้ยินอะไรแบบนี้พวกผมก็หูผึ่งกันขึ้นมาทันที
“เกมเดิมพัน” อิงค์พูดออกมาสั้นๆ ขณะที่มุมปากของเธอก็ยังยกยิ้มไม่หยุด
“น่าสนใจว่ะ” นาวินพูดออกมาอย่างสนอกสนใจ ซึ่งพวกผมทุกคนก็รู้สึกกันอย่างนั้น ไม่ว่าอะไรก็ตามที่เกี่ยวกับการเดิมพันพวกผมจะชอบกันเสมอ ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเดิมพันเกี่ยวกับชีวิตคน พวกผมก็ไม่คิดจะสนใจ ขอแค่ได้สิ่งมีค่าที่นำมาเป็นแรงจูงใจพวกผมก็พอใจกันแล้ว
“ครั้งนี้เดิมพันเกี่ยวกับอะไร” เคสเอ่ยถามออกมาอย่างสงสัย พวกผมทุกคนก็ต่างหันไปมองที่อิงค์เป็นตาเดียว
“เกี่ยวกับผู้หญิง” อิงค์ตอบกลับมา ก่อนที่เธอจะอธิบายกติกาและวิธีเล่นของเกมนี้ทั้งหมด
โดยเธอบอกเอาไว้ว่าถ้าหากพวกผมคนใดคนหนึ่งที่เล่นเกม จะต้องทำให้ผู้หญิงที่เป็นเหยื่อในครั้งนี้หลงรักและยอมมอบสิ่งที่มีค่าที่สุดสำหรับผู้หญิงให้ จากนั้นก็ฟันแล้วทิ้ง แค่นี้ก็จะชนะในการเดิมพันครั้งนี้แล้ว
“เดี๋ยวครั้งนี้กูเล่นเอง” ผมเสนอตัวเองขึ้นมาทันที เพราะเรื่องแบบนี้ผมค่อนข้างที่จะถนัดอยู่แล้ว เล่ห์เลี่ยมของผมมันค่อนข้างที่จะเยอะผมมั่นใจว่าผมต้องได้
“งั้นวางเดิมพันกันเลย กูให้แสนหนึ่งถ้ามึงทำได้ แต่ถ้าไม่ได้มึงก็ต้องเป็นคนจ่ายคืนกูสองเท่า” ภูผาพูดเสนอขึ้นมาเป็นคนแรก
“คนอย่างกูไม่มีทางที่จะทำไม่ได้ เตรียมเงินของพวกมึงไว้แต่เนิ่นๆ เลย ไม่เกินหนึ่งเดือนกูได้แน่” ผมพูดออกมาอย่างมั่นอกมั่นใจในฝีมือของตัวเอง เพื่อนของผมก็ต่างโห่แซวออกมา ก่อนที่จะพากันเริ่มวางเดิมพัน จากจำนวนน้อยๆ ก็เริ่มไต่ขึ้นสูงเรื่อยๆ จนถึงหลักล้าน พอเห็นตัวเงินแล้วมันก็ยิ่งจูงใจให้ผมอยากจะทำให้สำเร็จเร็วๆ
“แล้วเหยื่อคือใคร” ผมหันไปถามอิงค์พร้อมกับเลิกคิ้วขึ้น เกมจะจบเร็วหรือไม่มันก็ขึ้นอยู่กับเหยื่อที่จะใช้นี่แหละ
“ใครดี” อิงค์หันไปถามนับดาวเพื่อนสาวที่นั่งด้านข้างเธอ นับดาวทำท่าครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนรอยยิ้มร้ายจะเผยบนใบหน้าช้าๆ เธอก็คงจะเลือกเหยื่อที่ยากที่สุดเพื่อให้ผมแพ้แน่ๆ
“โฟกัสไง”
.:END KARN PART:.
วันต่อมา
ฉันลุกตื่นตั้งแต่เช้าตรู่เพื่อลงไปใส่บาตเหมือนกับทุกๆ วัน การดำเนินชีวิตของฉันในแต่ละวันมันค่อนข้างที่จะแตกต่างกับชีวิตของหนุ่มสาวคนอื่นๆ ในสมัยนี้ ฉันคิดมาตลอดว่าเรื่องราวแย่ๆ ที่เกิดขึ้นกับฉันมันคงจะเป็นกรรมเก่าที่ฉันสร้างเอาไว้เมื่อชาติปางก่อน ชาตินี้ฉันถึงได้ต้องกลับมาชดใช้แบบนี้
ฉันกับคุณน้าย่อตัวลงนั่งเพื่อรับพรจากหลวงตาหลังจากที่ใส่บาตกันเสร็จแล้ว
“โฟกัส” เสียงแหบๆ ของหลวงตาเอ่ยพูดขึ้นมาหลังจากที่ให้พรฉันกับคุณน้า ฉันเงยหน้าขึ้นมองหลวงตาขณะที่สองมือก็ยังคงพนมเข้าหากัน
“คะหลวงตา” ฉันพูดออกไปด้วยน้ำเสียงที่สุภาพ
“อย่าเชื่อใจใครง่ายๆ นะ จำคำของหลวงตาเอาไว้” หลวงตาพูดออกมาด้วยประโยคคำพูดแปลกๆ ฉันจึงหันไปมองหน้ากับน้าสาวของฉันที่นั่งอยู่ข้างๆ กัน
“มีอะไรหรือเปล่าคะ” น้าสาวของฉันเป็นคนเอ่ยถามออกมาด้วยความสงสัย เพราะเวลาที่หลวงตาทัก หรือพูดเตือนอะไรออกมามักจะมีเรื่องต่างๆ เกิดขึ้นตามมาเสมอ
หลวงตาไม่ตอบอะไรออกมา ท่านมองมาที่ฉันนิ่งๆ ก่อนที่ท่านจะเดินผ่านไป ขณะที่น้าสาวก็มองมาที่ฉันอย่างไม่ละสายตา
“เก็บของเข้าบ้านกันเถอะค่ะ เดี๋ยวหนูจะไปเรียนแล้ว” ฉันพูดขัดขึ้นเมื่อเห็นว่าคุณน้ายังคงมองมาทางฉันอยู่
เราสองคนลุกขึ้นยืน ก่อนจะช่วยพากันเก็บของต่างๆ เข้าไปในบ้าน เมื่อเรียบร้อยฉันก็เดินขึ้นไปหยิบกระเป๋าบนห้อง แล้วลงมาทานอาหารเช้าที่ด้านล่าง พร้อมหน้าพร้อมตาครอบครัวของคุณน้า
“โฟกัสเดี๋ยววันนี้ให้เมฆไปส่งนะ น้าต้องรีบไปประชุม” น้าเขยของฉันพูดขึ้นมา ขณะที่พวกเรากำลังนั่งทานข้าวต้มกันอยู่ที่โต๊ะ
“ไม่เป็นไรค่ะเดี๋ยวหนูไปเอง” ฉันตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่เกรงใจ
“ไม่ต้องเดี๋ยวพี่ไปส่ง” พี่เมฆพูดแทรกขึ้นมา ฉันจึงหันไปมองทางเขา เมื่อสายตาของเราสบกันฉันก็หันกลับมาก้มหน้าทานข้าวต้มต่อ
หลังจากที่ทานข้าวเสร็จฉันก็เดินตามหลังพี่เมฆเพื่อไปที่รถ ก่อนที่พี่เขาจะเอื้อมมือไปเปิดประตูให้ฉันขึ้นไปนั่ง
“ขอบคุณค่ะ” ฉันพูดออกไปอย่างเงอะงะ เพราะยังคงไม่เข้าใจกับทุกสิ่งทุกอย่างที่พี่เขาทำให้กับฉัน
เราสองคนนั่งอยู่บนรถที่กำลังขับเคลื่อนออกไป โดยที่ไม่ได้คุยกันเลยแม้นิดเดียว จนกระทั่งพี่เมฆขับรถมาจอดยังหน้าคณะของฉัน
“เดี๋ยวตอนเย็นพี่มารับนะ เลิกตอนไหนโทรมาหาพี่เลยละกัน” พี่เมฆหันมาพูดกับฉัน ขณะที่ฉันกำลังจะเปิดประตูลงจากรถ
“ไม่เป็นไรค่ะวันนี้กัสคงจะเลิกเย็น เพราะมีกิจกรรมรับน้องต่อพี่...”
“พี่บอกว่าพี่จะมารับไง” พี่เมฆพูดขัดขึ้นมาเสียงเข้ม พร้อมกับสายตาที่แปลกไป มันเป็นสายตาที่ทำให้ฉันทั้งอึดอัดและกลัวในคราวเดียวกัน
“ก็ได้ค่ะ” ฉันตอบเสียงแผ่วเบา ก่อนจะเดินลงจากรถไป ฉันเดินเข้าคณะโดยที่ไม่หันหลังกลับไปมองพี่เขาอีก
“โฟกัส” อิงค์ตะโกนเรียกฉันพร้อมกับโบกมือให้ด้วยรอยยิ้ม ขณะที่ข้างกายเธอก็มีนับดาวเดินมาด้วย พวกเธอเดินตรงเข้ามาหาฉันที่กำลังหยุดยืนอยู่กับที่
“พวกฉันขอโทษนะที่เมื่อวานกลับก่อน พอดีพวกฉันมีปัญหานิดหน่อยน่ะ ขอโทษจริงๆ นะ” อิงค์พูดออกมาด้วยสีหน้าที่สำนึกผิด พอฉันได้ยินน้ำเสียง และสีหน้าของเธอมันก็ทำให้ฉันไม่อยากจะโกธรหรืออะไรพวกเธออีก
“ไม่เป็นไร” ฉันพยักหน้าพร้อมกับพูดด้วยรอยยิ้ม
“ถ้างั้นเราไปเรียนกันเถอะเนอะ” นับดาวพูดออกมาบ้าง พวกเราทั้งสามจึงเดินขึ้นตึกเพื่อไปเรียนตามตารางของวันนี้
หลายชั่วโมงผ่านไป
“เดี๋ยววันนี้พี่ฉันจะมานั่งกินข้าวด้วยนะ” อิงค์พูดขึ้นมาขณะที่พวกฉันกำลังเดินไปโรงอาหารของคณะ
พวกฉันเดินหาโต๊ะว่างที่จะนั่ง ก่อนจะแยกย้ายกันไปซื้อข้าวแล้วกลับมานั่งที่โต๊ะเดิม
“พี่เธอเป็นผู้หญิงใช่มั้ย” ฉันเอ่ยถามออกมาอย่างสงสัย ถ้าอิงค์มีพี่สาว พี่เธอก็คงจะสวยมากแน่ๆ แต่อิงค์ก็ส่ายหัวไปมา
“เดี๋ยวเธอก็รู้ นั่นไงพี่ฉันมาแล้ว” อิงค์พูดกับฉัน ก่อนที่สายตาของเธอจะมองผ่านฉันไปทางด้านหลัง เธอโบกมือเรียก สักพักฉันก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเดินเข้ามาเรื่อยๆ ก่อนจะมาหยุดที่ข้างๆ ตัวฉัน
“ขอนั่งด้วยนะ” เสียงทุ้มเข้มพูดขึ้นอยู่ข้างกาย ฉันจึงเงยหน้าขึ้นมองช้าๆ ก่อนที่สายตาของฉันจะสบเข้ากับดวงตาคม ใบหน้าหล่อเหลาก้มลงมามองฉัน พร้อมกับรอยยิ้มที่ปรากฏ ฉันเบิกตากว้างอย่างชะงักค้างเมื่อเห็นใบหน้าที่ดูดีไร้ที่ติของเขา
“พี่ขอนั่งด้วยนะโฟกัส” ร่างสูงเอ่ยพูดออกมาเสียงนุ่ม ฉันหลุดออกจากภวังค์ความคิด ก่อนจะพยักหน้ารับช้าๆ พี่เขาจึงนั่งลงข้างๆ ฉัน
ฉันขยับไปเล็กน้อย เมื่อรู้สึกว่าเราสองคนจะนั่งใกล้ชิดกันเกินไป แต่พอฉันขยับพี่เขาก็ขยับตามฉันมาอีก ฉันถึงได้หยุดนั่งนิ่งๆ ตามเดิม
“นี่พี่กรานต์พี่ชายของฉัน” อิงค์พูดแนะนำขึ้นมา ก่อนจะแนะนำฉันให้พี่กรานต์ได้รู้จักบ้าง ฉันคิดว่าเขาคงจะรู้จักฉันแล้ว เพราะไม่อย่างนั้นเขาก็คงจะไม่รู้ชื่อของฉันหรอก
“สวัสดีค่ะ” ฉันยกมือขึ้นไหว้พี่กรานต์ โดยที่ไม่กล้าสบตากับเขาเลยแม้แต่น้อย
