ตอนที่ 5
“หน้าพี่มันไม่น่ามองขนาดนั้นเลยเหรอ” ทันทีที่พี่กรานต์พูดออกมา ฉันก็รีบเงยหน้าขึ้นพร้อมกับโบกมือปฏิเสธทันที เพราะกลัวว่าพี่กรานต์จะเข้าใจผิด
“ปะ...เปล่าค่ะไม่ใช่แบบนั้น” ฉันพูดด้วยน้ำเสียงที่ติดขัด พอได้มองสบตากับพี่กรานต์ตรงๆ หัวใจของฉันมันก็เต้นแรงไม่เป็นส่ำ เต้นแรงจนฉันนึกกลัวว่ามันจะหลุดออกมา หรือไม่ก็กลัวว่าตัวเองจะหัวใจวายตรงนี้ซะก่อน
“พี่แค่แซวเล่นน่ะ ทานข้าวต่อเถอะ” รอยยิ้มของเขาที่ส่งมาให้กับฉันมันช่างอบอุ่น และแทบจะทำให้ฉันทานอะไรไม่ลง
“เดี๋ยวฉันกับนับดาวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ เธอนั่งคุยกับพี่ชายฉันไปก่อนก็ได้” ไม่ต้องรอให้ฉันตอบรับอะไร อิงค์กับนับดาวก็พากันลุกขึ้นยืน แล้วเดินออกไปจากโต๊ะที่พวกเรานั่งกันอยู่ทันที
ฉันเองก็ได้แต่มองตามหลังพวกเธอไป โดยที่ไม่กล้าลุกวิ่งตามไปด้วย
“พี่ขอเบอร์โฟกัสได้หรือเปล่า” อยู่ๆ พี่กรานต์ก็พูดขึ้นมา ฉันรีบหันไปมองหน้าเขาทันทีอย่างไม่เข้าใจ
“คะ?” ฉันเลิกคิ้วขึ้นพร้อมกับถามย้ำ เพราะกลัวว่าตัวเองจะฟังอะไรผิดเพี้ยนไป คนอย่างเขาน่ะเหรอ จะมาขอเบอร์คนอย่างฉัน
“เบอร์โฟกัส พี่ขอหน่อย” พี่กรานต์ไม่พูดเปล่า แต่เขากลับหยิบมือถือออกมาแล้วยื่นให้กับฉัน
ฉันนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ ขณะที่มือก็รับมันมาถือเอาไว้ ก่อนจะพิมพ์เบอร์ของตัวเองไปให้ ทั้งที่ไม่เข้าใจว่าเขาจะเอาไปทำไมก็ตาม
“ขอบคุณครับ” พี่กรานต์รับมือถือคืนไปตามเดิม ก่อนจะพูดออกมาพร้อมกับรอยยิ้ม ดูๆ แล้วเขาก็เหมือนจะเป็นผู้ชายที่อบอุ่นคนหนึ่ง ถ้าหากฉันไม่ดูเขาผิดไปน่ะนะ
“วันนี้โฟกัสรีบไปไหนหรือเปล่า” พี่กรานต์เอ่ยถามออกมาอีกครั้ง
“ถ้าเลิกกิจกรรมแล้วก็ต้องกลับบ้านเลยน่ะค่ะ พอดีพี่ชายมารับ” ฉันส่งยิ้มให้เขากลับไปเพื่อไม่ให้บรรยากาศระหว่างเราสองคนอึดอัดจนเกินไป บางทีอาจจะเป็นฉันคนเดียวก็ได้ที่อึดอัด แต่มันไม่ใช่ความอึดอัดที่ว่าฉันไม่ชอบเขาหรืออะไรหรอกนะ มันอึดอัดเพราะหัวใจที่เต้นแรงของฉันเองนี่แหละ
“ว้า~ เสียดายจัง พี่ว่าจะชวนโฟกัสไปเดินตลาดนัดข้างมอหน่อยน่ะ” แววตาของพี่กรานต์มันแสดงออกถึงความเสียดาย แต่เพียงเวลาไม่นานดวงตาคมของเขามันก็ปรับเป็นปกติ
“ไว้วันหลังละกันเนอะ ถ้าโฟกัสไม่สะดวก” พี่กรานต์ยังคงพูดออกมาพร้อมรอยยิ้มเสมอ จากที่ฉันเป็นคนไม่ชอบยิ้มและไม่ชอบคุยอะไรกับใครมากมาย พอได้อยู่กับพี่เค้าฉันก็รู้สึกว่าตัวเองพูดเยอะขึ้น อาจจะเป็นเพราะเขาคุยสนุกด้วยล่ะมั้ง
เราสองคนนั่งคุยกันและทานข้าวไปเรื่อยๆ อย่างไม่รีบร้อน จนกระทั่งอิงค์กับนับดาวเดินกลับมา
“พี่ไปแล้วนะ” พี่กรานต์ลุกขึ้นยืน แล้วหันไปบอกกับอิงค์ จากนั้นเขาก็หันกลับมาส่งยิ้มให้ฉันพร้อมกับมือหนาที่วางลงบนศีรษะของฉันเป็นการส่งท้าย ก่อนที่เขาจะเดินจากไป
ไอความร้อนที่กำลังเห่อขึ้นบนใบหน้าของฉัน มันสามารถยอกย้ำความรู้สึกของฉันตอนนี้ได้อย่างชัดเจน
ไม่เคยมีใครทำกับฉันแบบนี้มาก่อน พอได้มาเจอมันก็ไม่แปลกที่ฉันจะอาการหนักแบบนี้
“อะแฮ่ม!” เสียงกระแอมไอของอิงค์ดังขึ้น นั่นมันจึงทำให้ฉันหลุดออกจากภวังค์ความคิด
“ตอนที่พวกฉันไม่อยู่มีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า” คิ้วเรียวสวยของอิงค์เลิกขึ้น พร้อมกับริมฝีปากที่ถูกแต่งแต้มด้วยลิปสติกสีแดงกำลังยกยิ้ม
“ไม่มีอะไรหรอก ได้เวลาเรียนแล้วเราไปกันเถอะ” ฉันปฏิเสธทันควัน ก่อนจะแสร้งทำเป็นก้มมองหน้ามองนาฬิกาตรงข้อมือแล้วพูดเปลี่ยนเรื่อง
อย่าให้ฉันต้องพูดเลย เดี๋ยวหัวใจของฉันมันได้วายตายตรงนี้พอดี...
หลายชั่วโมงผ่านไป
หลังจากที่ฉันเลิกกิจกรรมรับน้อง และได้แยกจากอิงค์กับนับดาวมาแล้ว ฉันก็เดินไปนั่งรอพี่เมฆตรงโต๊ะหินอ่อนด้านหน้าคณะของฉัน
บรรยากาศตอนนี้มันก็ถือว่าค่อนข้างจะเปลี่ยวเอาการ เพราะนักศึกษาต่างก็แยกย้ายกันกลับบ้านหมดแล้ว คงจะเหลือแต่ฉันที่ยังอยู่
วูบ...
ลมเย็นๆ ที่ปะทะเข้ามาที่ใบหน้าของฉันจนรู้สึกถึงความเยือกเย็น แวบหนึ่งฉันเกิดรู้สึกใจคอไม่ดียังไงก็ไม่รู้ ฉันหันหลังไปมองรอบๆ ที่มืดสนิทและไร้วี่แววของผู้คน
ปรี๊น!
“เฮือก!” ฉันสะดุ้งอย่างตกใจ เมื่อได้ยินเสียงแตรรถที่ดังขึ้นกึกก้องไปทั่วบริเวณ ฉันหันกลับมาตามเดิม ก่อนจะเห็นว่ารถของพี่เมฆขับมาจอดเทียบริมฟุตบาทตรงด้านหน้าคณะแล้ว
ฉันลุกขึ้นยืนแล้วเดินตรงไปที่รถ ก่อนจะเอื้อมมือไปเปิดประตูแล้วเข้าไปนั่งที่ด้านข้างคนขับ
“รอนานมั้ย” พี่เมฆเอ่ยถามออกมาทันทีหลังจากที่ฉันขึ้นมานั่ง ก่อนที่รถจะเคลื่อนตัวออกไปช้าๆ และเร็วขึ้น
“ก็นานอยู่ค่ะ จริงๆ กัสกลับเองก็ได้นะคะ พี่คงจะลำบาก เพราะมหาลัยของกัสมันก็ไกลจากที่ทำงานพี่อยู่” ฉันตัดสินใจพูดออกไปในที่สุด ฉันพยายามเลือกหาเหตุผลที่ดูเข้าหู แต่ดูเหมือนพี่เมฆจะไม่เข้าใจ แค่เห็นเพียงเสี้ยวหน้าด้านข้างของเขา มันก็ทำให้ฉันรู้แล้วว่าเขากำลังเริ่มอารมณ์ไม่ดี
