BAD ENG' : 06
[? จะมีสักวันไหม...? ที่ได้ชีวิตอย่างสงบสุข]
-----------------
BAD ENG' : 06
-Special Part : Baicha-
หลังปลีกตัวออกมาได้สำเร็จ ฉันรีบลงบันไดไปยังจุดหมายซึ่งเพ่งเล็งไว้ตั้งแต่แรก ความจริงที่ตอบรับคำเชิญของรุ่นพี่ใช่ว่าต้องการสานสัมพันธไมตรีเพียงอย่างเดียว เพราะเอสเอเอ็ม เป็นไนต์คลับระดับพรีเมียมใจกลางเมืองที่เด็กเซเนเซนท์ชนชั้นล่างถึงกลางใช้ความพยายามและกระเสือกกระสนขั้นสุดในการเข้าเรียนแบบฉัน ลือกันให้แซดว่าที่แห่งนี้คือแหล่งทำเงินชั้นยอด
และฉันก็หวังว่าจะได้งานพาร์ทไทม์ติดไม้ติดมือกลับไปด้วย เป็นการลงทุนเสียเวลาให้คุ้มค่าในคราเดียว เพราะเวลาใช้เงินคนอื่นที่ไม่รู้เลยว่าจุดประสงค์แอบแฝงคืออะไรหรือแม้แต่หน้าตาก็ไม่มีวันได้เห็น มันค่อนข้างหนักใจเอาเรื่อง
เฮ้อ...แต่ก็นั่นแหละ บางทีชีวิตก็ไม่ได้มีทางเลือกมากนัก และฉันก็ตั้งใจจะตอบแทนบุญเขาคืนอยู่แล้ว ไม่เคยจะรับน้ำใจใครไว้ฟรีๆ
“พี่คะ…” ฉันหันไปหาบาร์เทรนเดอร์ชายที่กำลังผสมคอกเทลอยู่ด้านในเคาน์เตอร์บาร์ หลังเดินมาถึงแล้วพบว่ากลุ่มสาวสวยที่คาดว่าจะเป็นเด็กเชียร์สลายม็อบหมดแล้ว ไม่เหลือใครให้สอบถามเลยสักคน!
“ครับ” เขาวางขวดเช็คเกอร์สเตนเลสในมือลงแล้วให้ความสนใจกับการสนทนาของเราอย่างจริงจังตามวิสัยของพนักงานบริการ
“ถ้าฉันอยากมาทำพาร์ทไทม์ที่นี่ ต้องติดต่อใครเหรอคะ” เจตจำนงอันแรงกล้าถูกกล่าวออกไปแบบไม่อ้อมค้อม
“แป๊บหนึ่งนะ…” เขาหยุดไว้แค่นั้นแล้วเอื้อมไปหยิบโน้ตแผ่นเล็กกับปากกามาตวัดจดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยื่นมาให้ “ติดต่อเบอร์นี้ครับ”
“ขอบคุณค่ะ” กล่าวด้วยยิ้มบางขณะรับกระดาษใบนั้นมาดู ปรากฏว่ามันเป็นเบอร์โทรของใครสักคน
เลขสิบหลักนี่มันคุ้นมากเลยนะ...เหมือนเคยเห็นที่ไหน แต่ความแปลกมันอยู่ตรงไม่มีชื่อกำกับ โดยปกติการจะให้คอนแท็กต์ติดต่อ ชื่อควรเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สิ!?
แต่ยังไม่ทันได้สอบถาม ก็มีคนเข้ามาขัดจังหวะซะก่อน! กระดาษใบสำคัญถูกดึงไปต่อหน้าต่อตาอย่างไร้มารยาท
“…จิ๊!” ฉันจิกมองอย่างไม่พอใจ เมื่อพบว่าคนนิสัยไม่ดีคนนั้นคือรุ่นพี่วิศวะปากเสีย เขาหลุบมองข้อความแวบหนึ่งแล้วช้อนขึ้นสบตากันพร้อมกับใช้ลิ้นดุนดันกระพุ้งแก้มอาการคล้ายไม่สบอารมณ์
เดี๋ยวนะ...ไอ้ท่าทางแบบนั้นมันควรเป็นฉันรึเปล่าที่ทำ! ฉันนี่ต้องหงุดหงิด!
“แอบมาขอเบอร์ผู้ชาย?” เจ้าของใบหน้าวอนบาทาเบื้องล่างเอียงคอมองจับผิด ราวกับเป็นบุคคลสำคัญในชีวิตฉันยังไงยังงั้น
“อย่ามายุ่ง...เอาคืนมา!” แผดเสียงใส่อย่างเหลืออด ด้วยความที่เก็บกดมาตลอดทั้งสัปดาห์ เพราะเขาถือสิทธิ์เป็นคู่อริพี่ชายแล้วคอยตามติดก่อกวนประหนึ่งเจ้ากรรมนายเวรตั้งแต่ชาติปางก่อน จนถึงตอนนี้แม้แต่เรื่องส่วนตัวก็ไม่เว้น แบบนี้มันล้ำเส้นเกินไปแล้ว ระหว่างนั้นฉันก็พยายามจะคว้ากระดาษคืน แต่เพศตรงข้ามที่ได้เปรียบเรื่องความสูงยืดมันขึ้นจนสุดแขน
สิ่งนี้ทำให้ฉันหยุดการยื้อแย่งแล้วถอยกลับมายืนอยู่ตำแหน่งเดิม การเข้าใกล้คนอันตรายอย่างนายภูตะวันเกินความจำเป็นไม่ใช่เรื่องที่ดี ฉันทำได้แค่สูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อข่มอารมณ์ที่กำลังพลุ่งพล่าน
“เข้าใจผิดแล้วครับ น้องเขาแค่มาถามเรื่อง งะ…งาน-”
บุคคลที่สามซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงรีบแก้ต่างเมื่อเห็นว่าสถานการณ์เริ่มเข้าขั้นวิกฤติ แต่ก็ต้องปิดปากเงียบทั้งที่ประโยคยังไม่สมบูรณ์ดี เพราะถูกคาดโทษด้วยสายตาเกรี้ยวกราดจากหนุ่มวิศวะเลือดร้อน เขาจงใจตวัดมองแรง และฉันสัมผัสได้นะว่าเขากำลังพ่นคำด่าผ่านหน้าต่างของความคิดคู่นั้น จนผู้ได้รับสารจำต้องละความสนใจไปจดจ่อกับหน้าที่ของตัวเองต่อ
“จะมาทำงานที่นี่...?!” คราวนี้เป็นฉันแล้วสินะ...ต้องยอมรับก่อนเลยว่า แอบสะดุ้งเล็กน้อย เวลาเขาร้อนก็เทียบเท่าดวงอาทิตย์สมชื่อจริงๆ นั่นแหละ
...ว่าแต่มันมีผลต่ออารมณ์ของเขาขนาดนั้นเลยเหรอ?
“ไม่ใช่เรื่องของพี่”
“งั้นก็ไม่ต้องเอา” ไม่พูดเปล่า เขายังขยำเศษกระดาษในมือยัดเข้ากระเป๋าแจ็กเกตตัวเองพร้อมยกยิ้มยียวนกวนประสาทตามสไตล์
ไอ้...!
ฉันหลับตาแน่นพลางกำมือกักเก็บถ้อยคำหยาบคายที่อยากจะพ้นออกไปเหลือเกิน แต่คิดอีกทีคนอย่างเขาคงไม่รู้สึกอะไร เปลืองน้ำลายเปล่า
ไม่เอาก็ได้วะ!
“ใครสน…” ฉันแสร้งไหวไหล่ขึ้นทำเป็นไม่แยแสพร้อมกับเลื่อนปลายนิ้วชี้แตะแถวๆ ขมับขวาสองสามครั้ง “เพราะมันอยู่ในนี้แล้ว”
คิดว่าพอจะจำได้อยู่แหละ...มั่ง
ซึ่งรีแอ็กชั่นที่ได้กลับมาก็เป็นที่น่าพอใจ ฝ่ายตรงข้ามหุบยิ้มแทบไม่ทัน ริมฝีปากหยักคว่ำลงเป็นกะละมังข้าวหมาเลย กลับกลายเป็นฉันลอกเลียนแบบกิริยาของเขาในตอนแรก
ยิ้มทีหลังนี่ต่างหาก…ถึงเรียกว่าผู้ชนะ
จากนั้นฉันก็หมุนตัวกลับหลังเพื่อจะเดินไปยังทางออก หากแต่เพียงครึ่งก้าวก็ต้องหยุดจากฝ่ามือใหญ่ที่คว้าสายกระเป๋าสะพายแล้วดึงรั้งไว้
“จะไปไหน” เขาเอ่ยถามหลังฉันหันกลับไปเผชิญหน้าแบบไม่เต็มใจ
“กลับ” วลีเดียวเน้นๆ ตัดจบทุกอย่าง ฉันดึงกระเป๋าให้หลุดจากการจับกุม เบี่ยงตัวไปได้สักสี่สิบห้าองศาแล้วคิดออกว่าลืมบางอย่าง “อ้อ ฝากลาเฮียๆ กับเจ้จ้าวด้วยนะคะ”
“เดี๋ยว!”
ฉันชะงักอีกครั้งในตอนที่ช่วงขายาวยังก้าวมาขว้าง ใบหน้าหล่อเหล่าบูดบึ้งแสดงออกถึงอารมณ์ฉุนเฉียว
“ทำไมเรียกไอ้พวกเวรนั้นว่าเฮียได้เต็มปากเต็มคำขนาดนั้นวะ!”
หัวคิ้วฉันขมวดเข้าหากันด้วยความขับข้องใจ เพิ่งรู้นะชายแท้ทั้งแท่งเขาคิดหยุมหยิมกับอะไรที่โคตรไร้สาระแบบนี้ด้วย
“เพราะฉันไม่ได้อยากสนิทกับพี่ไง ดีเท่าไหร่แล้วที่ยังเรียก...พี่!” ฉันกระแทกเสียงในตอนปิดจบประโยค
“ยัย...ยัยใบกระท่อม!”
“สรรหาจริง” ฉันถลึงตาใส่จนแทบหลุดจากเบ้า ให้มันได้อย่างงี่สิ! ชื่อที่แม่ตั้งให้แสนจะน่ารัก ถูกเปลี่ยนไปทุกวัน ไม่สิ...เปลี่ยนทุกชั่วโมงโดยคนปากไม่มีหูรูด
พอทำอะไรไม่ได้ก็หาแปลกชื่อฉันไม่เรื่อย นี่มันเรียกว่าแพ้แล้วพาลได้รึเปล่านะ
“ไม่รู้แหละ ยังไงก็ห้ามมาทำงานที่นี่”
ฉันอดไม่ได้ที่จะแสยะยิ้มให้คำสั่งเด็ดขาดของเพื่อนร่วมโลก ก่อนจะขยับปากแย้ง
“พี่ไม่-” ได้แค่นั้นก็ถูกอีกฝ่ายแทรกขึ้น
“ทำไม! เงินไม่พอใช้ไง๊?” ปลายเท้ายาวเขยิบเข้าใกล้อีกทำให้ฉันต้องถดถอยโดยอัตโนมัติ จู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนร่างกายหดลงเหลือกระจึ๋งเดียว ทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังพองขนสู้อยู่เลย
สุดท้ายก็แพ้ด้วยเพศสภาพจนได้ โลกแม่ง...ไม่ยุติธรรมเอาซะเลย
“...” ลมหายใจฉันสะดุดกึกในตอนที่บั้นท้ายชนเข้ากับขอบโต๊ะ เพราะนั่นแปลว่าไม่เหลือพื้นที่ให้รักษาระยะห่างอีกแล้ว ต่อให้คนตัวโตจะหยุดเดิน แต่ก็ไม่ได้ทำให้บรรยากาศอึดอัดดีขึ้นเลย เพราะเขายังโน้มตัวเข้ามาแล้วใช้สองมือค้ำยันไว้กับโต๊ะด้านหลัง ทำให้ฉันตกอยู่ใต้อาณัติคนเจ้าเล่ห์ไปโดยปริยาย
และด้วยสถานการณ์บีบบังคับ ฉันจำต้องยกกำปั้นขึ้นดันแผงอกแข็งแกร่งเอาไว้ ทั้งที่ไม่อยากแตะต้องเลยแม้แต่น้อย
บ้าเอ๊ย! เขามันตัวอันตรายชัดๆ
และประโยคต่อมาของเขายิ่งทำให้โทสะทะยานขึ้นสู่จุดเดือดจนหน้าออกร้อน
“มา ‘เอา’ กับเฮียนี่มา”
ความนัยแอบแฝงอยู่ในคำว่า เอา ที่คนพูดจงใจเน้นย้ำเป็นพิเศษ
“นี่มือค่ะ!”
ฉันแทรกสองหมัดขึ้นหว่างกลางเฉียดปลายคางแหลมไปเพียงเศษมิล ทำให้ร่างสูงผละออกเล็กน้อย เขากระตุกคิ้วเข้มขึ้นขณะเหล่มอง ฉันแอบเห็นนะว่าดวงตาเฉี่ยวคมฉายแววหวาดหวั่นลึกๆ
“...!” เหมือนเขาจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ฉันไม่รอฟัง
“และนี่ก็เท้า!”
ปลายนิ้วถูกชี้ลงพื้นพร้อมยกมันกระแทกลงในตำแหน่งเหลื่อมหน้านิดหน่อยอย่างท้าทาย
“ยัย-”
“ไม่ได้พิการ ไม่ต้องมาช่วยเหลือ เก็บเงินของพี่ไว้ตอนนอนหยอดน้ำข้าวต้มเหอะ ปากดีขนาดนี้!”
“ใครกันแน่ที่ปากดี” เขาเลื่อนมือขึ้นมาบีบปลายค้างฉันเชิดขึ้น แล้วจ้องมองอวัยวะที่เราพูดถึงอยู่ขณะนี้ ด้วยสายตาที่แบบ...น่ารังเกียจ! ทำให้ฉันตัดสินใจออกแรงผลักอกเขาให้ออกห่างและทิ้งท้ายด้วยการกระแทกส้นสูงลงปลายเท้าไปหนึ่งที
ปึก!
ซี้ด...อึก!!
ร่างสูงกระโดดโหย่ง พลางนิ่วหน้าเจ็บปวด
“ใบโพธิ์!! ยัยตัวแสบ...”
เสียงตะโกนดังลั่นไล่ตามหลังตอนฉันสะบัดตูดหนีออกมา พอถึงหน้าคลับฉันก็ล้วงมือถือขึ้นมากดเรียกรถผ่านแอพ ก่อนจะเริ่มทบทวนความทรงจำถึงเลขสิบหลักในกระดาษใบนั้น และพอกดลงไปในหน้าจอโทรออก...
สิ่งที่ปรากฏบนหน้าจอทำฉันสตั้นไปหลายวิเลย
คุณ...!
เขาเป็นเจ้าของ เอสเอเอ็มคลับ งั้นเหรอ!?
ฉันหันกลับไปแล้วไล่มองทาวน์โฮมปูนเปลืองสไตล์โมเดิร์นลอฟสี่ชั้นพร้อมกับคำถามมากมายแล่นวนอยู่ในหัวไม่หยุด
เขาอยู่ที่นี่...? ถ้างั้นก็ไม่ใช่เรื่องยากในการหาตัวตนรึเปล่า...
อย่างน้อยพนักงานก็ต้องรู้จักเขาสิ
แต่ตอนนี้ฉันคงต้องเลิกคิดเรื่องจะมาทำพาร์ทไทม์ที่ไปก่อนเลย คุณเขาไม่มีวันยอมแน่ๆ
….
@บ้านกิจวัฒนา
ฉันเพ่งมองไปยังลานจอดรถบิ๊คไบค์คันโปรดของพี่ชายแต่พบเพียงความว่างเปล่า นั่นแสดงว่าเขาไม่ได้กลับมาบ้านอีกแล้ว หลังแม่ออกจากโรงพยาบาลเมื่อสองวันก่อน พี่บีมก็อ้างว่าต้องทำงานพาร์ทไทม์ดึกจำเป็นต้องไปพักกับเพื่อนที่อยู่ใกล้วิทยาลัย แปลกมาก...ที่แม่ไม่ได้ขัด แถมไม่ถามถึงอีกด้วย ฉันพบความผิดปกติระหว่างสองแม่ลูกคู่นี้ แต่ก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร...
“ไอ้เด็กดื้อ...”
ความคิดฉันเตลิดจนหมดสิ้นเมื่อได้ยินเสียงแหบพร่าดังขึ้น ในตอนที่กำลังลงกลอนประตูไม้หน้าบ้าน ก่อนจะหันกลับไปหาหญิงสูงวัยเดินย่องออกมาจากห้องนอนตัวเองด้วยท่าทีไม่ค่อยถนัดตามสภาพคนเพิ่งฟื้นจากอาการบาดเจ็บ
“ทำไมยังไม่นอน” เอ่ยถามพร้อมกับปรี่เข้าไปประคองด้วยความเป็นห่วง หมอบอกว่ายังไม่ค่อยอยากให้ออกกำลังมาก ควรนอนพักเยอะๆ แต่เชื่อไหม คำว่ายิ่งห้ามยิ่งยุ ไม่ได้มีไว้ใช้แค่เด็ก คนแก่แสนดื้อรั้นนี่ก็เป็นแบบนั้นด้วย เดินทั้งวัน ไม่รู้จะเดินไปไหนนักหนา
“ลูกสาวนอกไปเที่ยวที่แบบนั้น แม่จะนอนหลับได้ยังไง” ท่านว่าแกล้มประชด ปิดท้ายด้วยวางค้อนวงโต
“ใบดูแลตัวเองได้น่า”
“เหรอ...”
“จ้า…ไปนอนกันเถอะ” ได้แต่ส่งยิ้มแหย่ๆ แล้วพากันเดินกลับเข้าห้อง
แม่...ก็ยังคงเป็นแม่อยู่วันยังค่ำ
-END Special Part : Baicha-