BAD ENG' : 04
[ ? คิดไหม...? ว่าใครบางคนจะติดอยู่ในใจได้นานขนาดนี้]
-----------------
BAD ENG' : 04
วันเปิดภาคการศึกษา…
เซเนเซนท์ เปรียบเสมือนศูนย์รวมเหล่าลูกผู้รากมากดีและเด็กหัวกะทิไอคิวสูงปี๊ดไว้มากมาย ซ้ำยังเป็นเป้าหมายหลักของเด็กมอ.ปลายหลายๆ คน
หนึ่งในนั้นก็...ใบชา ฌาริดา นักศึกษาทุนพิเศษที่ทำคะแนนสอบนำโด่งติดอันดับหนึ่งจนขึ้นหน้าเว็บบอร์ดมหาลัย ฉลาด เก่ง และสวย เรื่องปากกัดตีนถีบก็ขั้นสุดถ้าเทียบกับเด็กกว่าค่อนในรั้วมหาลัยระดับภาค แถมยังดูโดดเด่นมากๆ วัดจากที่เธอสามารถสะกดนัยน์ตาคู่คมของรุ่นพี่ต่างคณะได้นานนับนาที...
หนุ่มวิศวะยืนกอดอกทิ้งข้างลำตัวพิงกำแพงอยู่อีกมุมหนึ่งซึ่งห่างจากลานกิจกรรมหลังตึกนิติศาสตร์ไม่เท่าไหร่
“มายืนทำห่าไรตรงนี้วะ”
เป็นไฟที่เข้ามาขัดจังหวะช่วงเวลาสุนทรี ฝ่ามือใหญ่ตบลงบนไหล่คนอยู่ก่อนและฝากวางไว้บนนั้นโดยไม่ได้รับอนุญาต เรียกให้สายตาดุดันตวัดมองพร้อมตอบกลับด้วยพรสวรรค์ที่ติดตัวมาแต่กำเนิด
“ส้นตีนกู กูจะยืนตรงไหนก็ได้”
เรื่องสกิลปากต้องยกให้เขาเลย นายภูตะวันไม่เป็นที่สองรองใครแน่นอน! จนอีกฝ่ายนึกฉุน
“ปากมึงนี่นะ กูนึกว่าคาบส้นตีนมาเกิด”
“มึงอยากลองคาบส้นตีนกูไหมล่ะ”
“คุยกับมึงก็เหมือนคุยกับหมา เสียเวลาฉิบหาย” หนุ่มนิติส่ายหน้าเอือมระอาให้กับสุนัขนับร้อยที่เพื่อนเลี้ยงไว้ และกำลังจะหมุนตัวกลับไปทางเดิม แต่ถูกตะวันยกแขนกอดคอเหนี่ยวรั้งไว้
“นั่น…ใบชา” ว่าแล้วพยักพเยิดหน้าไปยังร่างสวยที่กำลังเหยียบย่างออกจากกลุ่มรับน้องและมุ่งตรงหน้าเข้าอาคารหลัก “มึงทำยังไงก็ได้ ให้ได้เป็นพี่รหัสเธอ”
ไฟมองตามไปด้วยสีหน้าตกตะลึง คล้ายกับทึ่งในความบังเอิญ
“เอาจริง?” แว่นถูกดันให้เข้าที่ขณะหันกลับมาหรี่ตามองไอ้จอมปากเสียอย่างนึกสงสัย
“...” ตะวันกระตุกคิ้วแทนคำตอบ
“ความลำบากมาเยือนกูเต็มตัวแล้วสินะ” น้ำเสียงของหนุ่มนิติฯ ดูเหนื่อยมากทั้งที่ยืนอยู่กับที่
“ไปทักทายสักหน่อยดิ”
“กูว่าต้องอาศัยไอ้จ้าวด้วยวะ” ไฟเสนอแล้วล้วงไอโฟนออกมากดหน้าจอหยิกๆ เพื่อเรียกกำลังเสริม
….
ครึ่งชั่วโมงต่อมา....
ฝีเท้าทั้งหกหยุดลงแทบจะพร้อมกันหลังก้าวเข้าสู่ห้องอาหารชั้นล่างภายในตึกนิติศาสตร์ ที่ประดับด้วยชุดโต๊ะรูปทรงต่างกันออกไปมีตั้งแต่ธรรมดาจนถึงโซฟาสุดหรู เหล่านิสิตรวมตัวเป็นกลุ่มก้อนกระจัดกระจายหลายจุด ตะวันส่งสองมือเข้าเก็บไว้ในกระเป๋าเสื้อช็อปสีเลือดหมูประจำสาขา เขากวาดมองไปรอบๆ ก่อนจะหยุดที่หญิงสาวซึ่งปลีกวิเวกอยู่ผู้เดียวกลางโต๊ะสี่เหลี่ยมยาวด้านในสุดทางปีกซ้าย
“นั่นเหรอ...”
“อือ” ตะวันตอบรับคำถามของแฝดน้องเป็นเสียงครางในคอ
“สวยขนาดนี้มึงได้สกัดเหนื่อยแน่เฮีย”
“หน้าอย่างกูจำเป็นต้องทำแบบนั้น?” ตะวันวางค้อนอันโตเมื่อได้ยินคำพูดขัดหูของไอ้น้องตัวดี รู้สึกเหมือนถูกตีนรูปหน้า หยามเรื่องอะไรก็ได้แต่ต้องไม่ใช่ความหล่อ “ชนะขาดตั้งแต่ยังไม่เริ่มแล้วไหม?”
“แต่วันนั้นโดนตบหน้าสะบัดเลยนะ” ไฟแจมเหมือนอยากเตือนความทรงจำเพื่อน และได้เป็นแววตาเกรี้ยวกราดตอบแทนความหวังดี
“ไม่ต้องพูด...”
“มึงหล่อมากนะเฮีย แต่ต้องเป็นใบ้อะ”
“…!” มะเหงกเกือบทิ่มลงกลางกระบาล เฉียดไปเพียงเศษเซนตอนร่างเล็กเอี้ยวหลบ
ดูไปดูมาฝีปากของสองแฝดนี่ก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่
จากนั้นพวกเขาก็พากันตรงเข้าไปหาเป้าหมายที่ยังคงนั่งก้มหน้าก้มตาไม่รับรู้ถึงหายนะที่กำลังเคลือบคลาน
ครืด…! ครืด…! ครืด…!
เสียงลากเก้าอี้เหล็กอย่างอุกอาจของพวกเขาทำสาวนิติฯ ที่กำลังตวัดปลายปากกาลงบนกระดาษอย่างขะมักเขม้นสะดุ้งสุดตัว
ดวงหน้าสวยเงยขึ้นมองด้วยความตกใจ คิ้วสีอ่อนขมวดยุ่งคล้ายทบทวนความทรงจำ ขณะที่ตะวันทิ้งตัวลงนั่งพร้อมกับยกแขนวางซ้อนทับกันบนโต๊ะแล้วเคลื่อนเข้าไปใกล้อีกคืบ สิ่งนี้ทำให้ฝ่ายตรงข้ามยิ่งตื่นกลัว เธอรีบดึงกายไปด้านหลังเพื่อรักษาระยะห่างพลางกะพริบตาปริบๆ หวังเรียกสติกลับคืนหรืออาจกำลังพาตัวเองออกจากความคิดอะไรทำนองนั้น
จังหวะสายตาสบกัน เหมือนใบชาชะงักไปชั่วขณะ และเป็นตะวันที่เคลื่อนหลบ เขากลบเกลื่อนด้วยการเอียงศีรษะเล็กน้อย ยักคิ้วหลิ่วตาตามสไตล์ ก็รู้ตัวนะว่าที่ทำอยู่มันคือการกวนบาทาเบื้องล่าง แต่จะให้มาส่งยิ้มหวานๆ เหมือนเปี๊ยกน่ะ ฝันไปเหอะ!
ทำให้ใบชาถึงกับลอบถอนหายใจราวกับเหนื่อยหน่ายเหลือเกิน มิหนำซ้ำเธอยังทำเมินเฉยแล้วละสายตาไปหาหนุ่มแว่นที่กำลังนั่งลงข้างเขา และคนมีศักดิ์เป็นพี่รหัสคลี่ริมฝีปากเป็นยิ้มบางตามมาดสุขุมของนักกฎหมายในอนาคต
หากแต่สาวรุ่นน้องคนนี้เหมือนจะเข้าถึงยากกว่าที่คิด เธอยังคงนิ่ง สุดท้ายจุดโฟกัสของใบชาก็จบที่ จันทร์เจ้า ซึ่งเลือกนั่งฝั่งเดียวกับเธอ
สาวรุ่นน้องกลอกตามองสามคนสลับไปมาอย่างไม่ไว้วางใจ นั่นคงเพราะตะวันเป็นคู่อริพี่ชายและเคยพ่นคำดูถูกใส่เธอมาก่อน
แต่อีกสองคน…?
“ใบชา ใช่ไหม” เจ้าของน้ำเสียงนุ่มลึกใช้ปลายนิ้วขยับกรอบแว่นเมื่อเริ่มบทสนทนาแบบเป็นเอง ไฟคงอยากทำลายบรรยากาศอึมครึมและเพิ่มความสนิทชิดเชื้อ แต่เหมือนจะไม่เป็นผลสำเร็จ ในสายตาเธอพวกเขาไม่ต่างจากโจร
ผ่านไปเกือบครึ่งนาทีไฟก็พูดต่อ...
“เฮียชื่อไฟ เป็นพี่รหัสเธอ”
คนฟังเริ่มมีปฏิกิริยาตอบสนองมากกว่าแววตาหวาดหวั่น เธออ้าปากเหวอสีหน้าปรับเปลี่ยนเป็นแปลกประหลาดชวนขำ จนไอ้หนุ่มเลือดร้อนเผลออมยิ้มไม่รู้ตัว
“มะ…มาบอกแบบนี้เลยเหรอคะ ไม่ใช่ว่าฉันต้องเป็นคนตามหา เออ…”
เหมือนสาวสวยเพิ่งค้นหาตัวเสียงตัวเองเจอ ประโยคหลุดออกมาแบบงกๆ เงิ่นๆ และถูกหยุดไว้แค่นั้น เธอลังเลในสรรพนามที่รุ่นพี่ใช้แทนตัวเอง เพราะแบบนั้นมันแปลว่าต้องสนิทสนมระดับหนึ่งแล้ว
แต่นี่เพิ่งได้คุยกันครั้งแรก...
“เรียกเฮียนั่นแหละ ยังไงก็ต้องสนิทกันอยู่แล้ว”
ไฟโพล่งขึ้นราวกับเข้าไปนั่งอยู่ในความคิดสาวรุ่นน้อง ทำให้ใบชานิ่งไปพักหนึ่ง ถึงพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ
“...”
“ความจริงมันก็ต้องเป็นแบบนั้นนะ แต่…”
เป็นจันทร์เจ้าที่เรียกความสนใจจากคนสวยไปด้วยการวนตอบคำถามซึ่งถูกทิ้งไว้ในตอนแรก แล้วหยุดกระตุกมุมปากแปลกๆ พร้อมกับเคลื่อนสายตาไปจ้องตัวต้นเรื่อง รวมถึงการพาพวกเขามาอยู่ตรงนี้ด้วย
“แฮ่ม!...”
เสียงกระแอมไอของไฟ ทำตะวันสะดุ้งหลุดจากภวังค์ เขารีบเบนมองไปทางอื่นพลางขยับกายนั่งตรงพร้อมกลืนก้อนนำลายเหนียวหนืดลงคอหลายอึก คิ้วเข้มย่นเข้าหากันแสดงความเคร่งเครียดเพื่อกลบเกลื่อนอาการประหม่า เมื่อสายตาไม่รักดีมันเสือกจ้องแต่รุ่นน้องเกินความจำเป็นอย่างเผลอไผลจนเจ้าตัวจับได้
ตอนนี้บนใบหน้าสวยมีแต่เครื่องหมายคำถามเต็มไปหมดเพียงแค่ไม่ปริปาก เธอเห็นว่าตะวันมองเธอราวกับคนเหม่อลอย…
จังหวะนั้นก็มีเสียงหัวเราะคิกคักสนุกสนานของอีกสองคนดังแทรกขึ้น แต่เพียงอึดใจเดียวก็ต้องพากันเงียบกริบราวกับมีใครเตะปลั๊ก พวกเขาเม้มริมฝีปากเข้าหาเป็นเส้นตรงแทบจะพร้อมกันในตอนที่รับรู้ได้ถึงรังสีความอำมหิตผ่านสายตาคมกริบที่ตะวันส่งไปคาดโทษ
ตะวันแค่นหัวเราะในลำคอขณะดึงกลับมาที่คนนั่งตรงข้าม
ประโยคที่ผุดขึ้นในหัวคือ ขอโทษที่พูดไม่ดีในวันนั้น แต่สิ่งที่หลุดมา…
“ตบเสร็จแล้วก็หายหัวทั้งพี่ทั้งน้อง”
“ปากแบบนั้นก็สมควรโดนแล้วไหม...คะ!”
“…!” คนถูกสวนขบกรามแน่น ไม่ได้โกรธน้อง แต่อยากตบปากตัวเอง ทว่าเพื่อนไม่รู้ ไฟรีบส่งเสียงปรามนึกว่าเพื่อนกำลังจะเกรี้ยวกราดใส่อีกฝ่าย
“หือ”
“หือเหี้ยไร กูยังไม่ได้ทำไรเลย” แล้วคนหวังดีก็เลยซวยอีกรอบ กลายเป็นเครื่องรองรับความร้อนจากดวงอาทิตย์ไปแทน ก่อนที่แฝดสาวจะเป็นคนต้อนบรรยากาศให้กลับเข้าสู่โหมดปกติได้ด้วยการแนะนำตัว
“เจ้ ชื่อจันทร์เจ้า”
“…” และคนที่ดึงหน้าใส่รุ่นพี่วิศวะเมื่อไม่กี่นาทีก่อนก็หันไปยิ้มให้อย่างเป็นมิตร ราวกับคนละคน
“ส่วนนั้น เฮียตะวัน มันเป็นพี่เจ้ไม่กี่นาทีหรอก”
แต่พอเป็นผู้ชายฝั่งตรงข้าม ใบชากลับปรายตาแวบเดียวแล้วสะบัดหน้าหนีคล้ายไม่อยากจะเสวนาด้วย
เดี๋ยว...นี่คือนับเบอร์วันของวิศวะเลยนะ
ยัย...
“ใบหนาด!” ปากเขามันไวกว่าความคิดเสมอ
“...” คนถูกแปลกชื่อตวัดมองจนตาแทบหลุด เป็นไงวิธีเรียกความสนใจ สิ้นคิดดีไหม และจะยังไงต่อในเมื่อหลุดออกไปแล้ว ก็ต้องแถให้สุด เขาแสร้งหันไปหาเพื่อนรักเพื่อแก้เกม แต่หารู้ไหมว่ามันยิ่งเป็นการทำลายล้าง
“มันเอาไว้ทำอะไรนะ ไอ้ใบอันนั้นน่ะ”
“เอาไว้ไล่พี่มั่งคะ” รุ่นน้องคนสวยหวังดีหาคำตอบให้ เธอเอียงคอมองอย่างท้าทายอำนาจมืด
“เกินไป...” คนหัวร้อนสติแทบหลุด ดีที่ไฟวางมือลงบนไหล่ขวาแล้วกดไหล่ห้ามไว้ได้ก่อน
“พอไหม”
“หึ เอาเรื่องวะ” จันทร์เจ้ากระตุกยิ้มเย้ยหยันเมื่อเห็นว่ายัยรุ่นน้องคนสวยโต้ตอบพี่ชายแบบไม่เกรงใจใบหน้าหล่อเหลาเด่นเป็นสง่าที่เขามั่นนักมั่นหนานั่นเลย
“เราเป็นนักเรียนทุนพิเศษเหรอ” หนุ่มนิติฯ รีบชวนเปลี่ยนเรื่องคุย ขณะที่คนหัวร้อนจากการถูกเมินกระแทกหลังไปกับพนักพิงเก้าอี้ด้วยความหงุดหงิด
“ใช่ค่ะ” ทั้งน้ำเสียงและรอยยิ้มโคตรสองมาตรฐาน ทำตะวันเหลือบมองและแอบนินทาในใจไม่หยุด
“เก่งวะ...” จันทร์เจ้าแสดงสีหน้าชื่นชม ผิดกับแฝดพี่ที่ปากไม่มีหูรูด
“ฟลุ๊ค รึเปล่าเหอะ”
“มันก็ไม่ใช่เรื่องของพี่นะ” ใบชาสวนทันควัน สายตาดุดันจ้องเขม่นเอาเป็นเอาตาย และความนัยของประโยคทำไอ้น้องตัวดีถึงกับหลุดหัวเราะอย่างห้ามไม่อยู่
“ฮ่าๆๆ น้องมันว่าเฮียเสือกเปล่าวะ”
“ไอ้จ้าว!”
หลังจากตะวันชี้หน้าไอ้น้องตัวแสบที่อุตส่าห์หวังดีขยายความรูปประโยคให้ชัดเจนขึ้น ก็ถูกไฟฉุดให้ลุกขึ้น
“ปะ…มึงไปหาหนมกินกะกูดีกว่า”
ผู้ห้ามทัพรีบลากคอไอ้หนุ่มที่ใจร้อนสมชื่อออกไปจากที่แห่งนี้โดยเร็ว ก่อนที่การสมานฉันท์จะเป็นเรื่องยากกว่านี้อีกพันเท่า
ด้านจันทร์เจ้าก็นึกสนุกอยากพาคนสวยไปเปิดตัวกับชาวแก๊ง
“เย็นวันศุกร์ว่างไหม พอดีเฮียไฟเขาอยากเลี้ยงต้อนรับน้องรหัสน่ะ”
“เออ…” เอ่ยได้แค่นั้นก็ต้องชะงักเมื่อรุ่นพี่คนสวยเล่นดักทางอย่างรู้ทัน
“ต้องไปนะ เจอกันที่ เอสเอเอ็มคลับ ตอนสามทุ่มครึ่ง”
“แต่ว่า…”
จันทร์เจ้าลุกพรวดโดยไม่เว้นช่วงให้น้องได้มีโอกาสปฏิเสธ
“เจ้ไปเข้าเรียนก่อนละ บาย เจอกันวันศุกร์”
จบประโยคร่างระหงก็เดินจากไปอย่างสบายใจ ทิ้งความหนักใจไว้กับใบชาแต่เพียงผู้เดียว