BAD ENG' : 02
[ ? เคยไหม...? รู้สึกไม่ถูกชะตากับคนคนหนึ่งตั้งแต่แรกเจอ]
-----------------
BAD END' : 02
@โรงพยาบาล
หลังใบชาได้รับสายจากพยาบาลเวรโทรมาแจ้งว่าแม่ฟื้นแล้ว พี่ชายคนเดียวของเธอก็บึ่ง...ไม่สิ ใช้คำว่าเหาะน่าจะเหมาะกว่า จากสนาม แข่งรถมาถึงจุดหมายปลายทางอย่างปลอดภัยโดยใช้เวลาไปเพียงสิบนาทีเศษเท่านั้นเอง ซึ่งมันเร็วกว่าปกติเกือบเท่าหนึ่งเลย
ดวงหน้าสวยบ่งบอกชัดเจนว่ารู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอกที่ได้มีโอกาสก้าวขาลงจากมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์คู่ใจของคนเป็นพี่ซึ่งได้มาเพราะชนะศึกดวลความเร็วครั้งก่อน
ฟู่ว์...
ลมหายใจถูกผ่อนออกยาวขณะเร่งฝีเท้าเล็กไปยังตึกผู้ป่วยในทางปีกซ้าย วิญญาณและจิตใจเธอล่องลอยไปหาผู้ให้กำเนิดเรียบร้อย เหลือแค่กายหยาบที่ยังวิ่งอยู่ ส่วนเจ้าของรถก็คงจะเอามันไปจอดตามระเบียบ
ไม่นานใบชาก็มาหยุดเปลี่ยนรองเท้าด้วยความรีบเร่งหน้าห้องผู้ป่วยหญิง แล้วผลักดันประตูกระจกเข้าไปอย่างไม่ลังเล สายตาโฟกัสเป้าหมายที่อยู่เตียงริมสุดของแถวสามก่อนเท้าจะเดินไปถึงเสียอีก
“แม่...” ลูกสาวฉีกยิ้มกว้างพลางโน้มลงไปซบอ้อมอกอบอุ่นด้วยความระแวดระวัง เพราะกังวลว่าความเซ่อซ่าทำให้คนป่วยที่เพิ่งฟื้นตัวได้รับบาดเจ็บเพิ่ม
“ไง เด็กดื้อ” น้ำเสียงแหบแห้งเนื่องจากหลับไปนานก็ฟังไม่ค่อยถนัดอยู่แล้ว แถมตอนนี้ยังติดอู้อี้เพราะริมฝีปากอุ่นร้อนกดแนบชิดบริเวณหน้าผากมนของแก้วตาดวงใจไม่ห่าง ฝ่ามือไร้เรี่ยวแรงค่อยๆ ยกขึ้นมาวางบนหัวและลูบไปมาด้วยความเอ็นดู สัมผัสอ่อนโยนบวกไออุ่นที่แสนคุ้นเคย ทำเบ้าตาเจ้าเด็กดื้อแสบร้อนขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่
พานให้คิดไปถึงสิ่งร้ายแรงที่ยังไม่เกิดขึ้น ว่าถ้าอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นเมื่อสองวันก่อนมันร้ายแรงกว่านี้จะเป็นยังไง...
ไม่นานเปลือกตาบอบบางก็ปิดลงแน่นพลางสะบัดหน้าไร้สิ่งเลวร้ายเหล่านั้นออกจากหัว
บ้าเอ๊ย! ห้ามคิดแบบนี้สิ!
“ยังเจ็บอยู่ไหม” คำถามห้วนๆ หลุดออกมา หลังจากร่างเล็กดันออกจากอ้อมกอดแล้วใช้สายตาไล่สำรวจเรือนร่างคนเป็นแม่เกือบจะทั่วทุกซอกทุกมุม
“นิดหน่อย” คนเจ็บแสร้งตอบไปแบบนั้น ทั้งๆ ที่ยังนิ่วหน้าเวลาขยับตัว แต่คงเพราะไม่อยากให้ลูกๆ เป็นห่วงเกินกว่าเหตุ
และที่หญิงสูงวัยต้องมีสภาพแบบนี้ สืบเนื่องมาจากกลุ่มเด็กวัยรุ่นแถวบ้านมันขับมอเตอร์ไซค์ไม่ดูตาม้าตาเรือเพราะมัวแต่ดวลความเร็วเล่นกัน และเฉี่ยวชนแม่ของเธอจนล้มหัวฟาดฟุตบาท นอนซมไปตั้งสองวัน กว่าจะฟื้นเต็มตัว แต่ก็ใช่ว่าจะวางใจได้ ต้องรอตรวจอย่างละเอียดอีกที รวมไปถึงเข้าทีซีสแกนสมองด้วย
ซึ่งนี่ก็เป็นเหตุผลให้ลูกชายคนโตต้องไปลงแข่งแมตช์สำคัญในคืนนี้ เพื่อเตรียมเงินไว้สำรองยามฉุกเฉิน ทว่าทุกอย่างพังไม่เป็นท่าเพราะมีการสับเปลี่ยนตัว หากเป็นไปตามแพลนเดิมที่วางไว้ นักแข่งมือฉมังอย่างบีมไม่มีทางแพ้แน่!
พอนึกถึงเรื่องนี้ ใบชาก็ออกอาการฟึดฟัดในห้วงความคิด อดโมโหไอ้คนปากเสียไม่ได้!
ทว่าก็มีแวบหนึ่งเหมือนกันนะ ที่เธอรู้สึกคุ้นกับท่าทางของชายผู้นั้น แต่ก็เลือกที่จะตัดทิ้ง เพราะไม่อยากยุ่งเกี่ยว ออกให้ห่างไว้คงจะดีกว่า
มือเรียวเอื้อมไปลากเก้าอี้มานั่งลงข้างเตียงได้เพียงไม่เท่าไหร่ สองแม่ลูกก็เคลื่อนสายตาไปยังผู้มาเยือนใหม่ที่เดินมาหยุดยืนปลายเตียงแทบจะพร้อมกัน
“พี่ชาย เขาดูแลลูกดีรึเปล่า” ผู้เป็นแม่ตั้งคำถามเสียงนิ่งเรียบทันควัน เขม่นมองลูกชายไม่วางตา เหมือนมีอะไรบางอย่างซ้อนอยู่ในนั้น ทำให้บีมย่นคิ้วเข้าหากัน เขานึกสงสัยอยู่ลึกๆ ว่าเหตุใดแม่ถึงมีท่าทีแปลกไป
“ดีสิคะ” ใบชาหันกลับมายิ้มให้เจ้าของคำถาม วินาทีเดียวกันนั้นคนเพิ่งมาถึงหมาดๆ ก็ออกปากขอตัว คล้ายกับเขาอยากหนีสายตากดดันยังไงยังงั้น
“เดี๋ยว...ขอไปคุยเรื่องค่ารักษาก่อนนะ” ไม่รอฟังคำตอบจากใคร ร่างสูงหมุนตัวกลับออกไปทางเดิม
ใบชาอ้าปากจะทักท้วงก็ไม่ทัน ได้แต่มองตามแผ่นหลังกว้างตาปริบๆ ด้วยความฉงน แต่พอหันกลับมามันยิ่งเพิ่มพูนความเคลือบแคลงใจหนักเข้าไปอีก
“ทำไมแม่ มองพี่เขาแบบนั้นอะ”
แววตาของผู้ให้กำเนิดที่มองพี่ชายช่างแตกต่างจากมองเธอโดยสิ้นเชิง
“ไม่รู้สิ กลับมารอบนี้เหมือนพี่ของลูกเขาเปลี่ยนไปมาก” พูดดั่งความคิดในหัวโดยไม่ละสายตาจากลูกชายถึงแม้เขาจะออกประตูไปแล้วก็ตาม
ความจริงเมื่อแปดปีก่อนพวกเขาถูกจับแยก พ่อพาบีมไปอยู่ภูเก็ตบ้านเกิดของท่านหลังตัดสินใจแยกทางไปใช้ชีวิตใหม่ การเจอกันของพี่น้องก็ค่อยๆ เลือนหายไปตามกาลเวลา จนกระทั่งพ่อล้มป่วยและจากโลกนี้ไปเมื่อตอนต้นปี บีมก็เลยกลับมา
มาอยู่กันเป็นครอบครัวเหมือนเดิม...
“ยังไงคะ” คิ้วสีอ่อนเลิกมอง เธอไม่เข้าใจเลยสักนิด ว่าสิ่งที่แม่พูดต้องการจะสื่ออะไร คนถูกคาดคั้นด้วยสายตานิ่งไปชั่วขณะ ก่อนจะหลุบหลบแล้วเลือกที่จะตอบปัด ไม่ลงดีเทล
“อาจเป็นเพราะเขาโตขึ้นด้วยแหละมั่ง”
ตอนแรกสาวน้อยก็ไม่ได้คิดอะไร แต่ท่าทางของแม่ทำให้เธอต้องรื้อบันทึกความทรงจำอีกครั้ง
เปลี่ยนไปงั้นเหรอ...
“แล้วนี่ไปไหนกันมา”
“อ้อ...” ใบชาถูกดึงกลับมาสู่โลกปัจจุบันและจำใจต้องโป้ปด “ไปทำพาร์ทไทม์ค่ะ”
แต่ก็มีความจริงอยู่นิดหน่อย เพราะขืนปล่อยให้แม่รู้ว่าพี่ชายไปแข่งรถเพื่อเงินเดิมพัน ต้องโดนคนป่วยบ่นหูชาแน่
“แล้วเงินที่คุณเขาให้น่ะ ไม่พอใช้เหรอ”
“มันก็พอนะคะ แต่ใบเกรงใจ เขาช่วยเรามาเยอะมากเลยนะแม่ ครั้งนี้ใบก็ไม่ได้บอกว่าแม่เข้าโรงพยาบาล เพราะยังไงก็มีเงินจากผู้ปกครองไอ้เด็กพวกนั้นมาช่วยอยู่ อีกอย่างใบกับพี่บีมก็พอช่วยกันหาได้ ใบว่าจะไม่รับเงินเขาแล้ว”
คุณ ที่ถูกกล่าวถึงก็ความหมายตรงตัวเลย ผู้มีพระคุณอันลึกลับ ไม่มีใครรู้ว่าเขาคือใคร หรือมาจากไหน ปรากฏตัวแต่ละครั้งก็ปกปิดใบหน้าราวกับเซเลบท่านหนึ่ง เด่นชัดคงจะเป็นรูปร่างสันทัดกำยำ จัดว่าเป็นชายหนุ่มที่หุ่นเพอร์เฟกต์เอาเรื่อง อีกอย่างที่เห็นก็ดวงตาเฉี่ยวคมคู่นั้น
อยู่ๆ เขาก็ยื่นมือเขามาช่วยเหลือโดยไม่หวังอะไรตอบแทนเมื่อประมาณต้นปี ช่วงเวลาเดียวกับที่บีมโผล่มา
พอคิดมาถึงตรงนี้ ดวงตากลมก็เบิกกว้างคล้ายฉุกคิดบางอย่างขึ้นมาได้ แต่ก็ต้องหยุดไว้เมื่อถูกขัดจังหวะ
“แล้วเขาจะยอมเหรอ”
“ไม่รู้สิ ค่อยว่ากันเนอะ แม่พักผ่อนดีกว่า อยากให้ใบอยู่เฝ้าไหม” พูดไปก็ดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมร่างให้คนนอนบนเตียง
“ไม่ต้อง กลับนอนสบายๆ เถอะ”
“ห่วงไอ้ยูโร่ก็บอกมาเหอะ” ลูกสาวสวนออกไปอย่างรู้ทันพร้อมกับแกล้งเป่าลมพองแก้ม ลึกๆ ก็แอบหมั่นไส้ ไอ้สุนัขพันธุ์ บีเกิล ลูกชายคนเล็กสุดหวงของคุณนายฐาศินี
“หาข้าวให้น้องกินด้วยละ”
ห่วงยิ่งกว่าลูก ก็หมาเนี่ยแหละ
“ค่า งั้นพรุ่งนี้ ใบจะมาแต่เช้านะ” ใบชารับปากด้วยการลากเสียงยาวประชดแกล้มเย้าหยอก ก่อนจะยื่นหน้าไปหอมแก้มซ้ายขวาผู้เป็นที่รักสุดดวงใจเพื่อล่ำลา จากนั้นก็รีบเดินออกจากห้องเนื่องจากใกล้จะหมดเวลาเยี่ยมเต็มที
ขณะก้มสวมรองเท้า สายตาก็เหลือบไปเห็นคนตัวสูงยืนพิงกำแพงในท่ายกเท้าข้างหนึ่งขึ้นยันไว้ข้างหลัง ห่างออกไปราวๆ สิบก้าว พอทำ
ทุกอย่างเสร็จสับ ใบชาจึงเอ่ยเรียก
“พี่บีม”
เจ้าของชื่อปรายตามองเล็กน้อยแล้วจึงขยับเดินเข้ามาน้องสาว
“ทำไมไม่เข้าไปหาแม่ละ”
“ดึกแล้วอะ แม่คงอยากพักผ่อน” เป็นคำตอบที่คล้ายจะเลี่ยง คิดว่าแบบนั้น สิ่งนี้ทำให้ใบชายิ่งครุ่นคิดถึงคำแม่
ทุกคำพูด ทุกท่าทางของพี่ชาย ล้วนน่าจับตามองไปหมด...
“แต่...” พูดได้แค่นั้น คนพี่ก็แทรกขึ้นด้วยการเริ่มประเด็นใหม่
“กลับเลยไหม เดี๋ยวพี่ไปส่ง”
“แต่พี่ต้องไปไนต์คลับต่อไม่ใช่เหรอ” ใบชาถามกลับ เธอจำได้ว่าทุกวันเสาร์พี่ชายจะต้องไปเล่นดนตรีที่ไนต์คลับกลางเมือง
“ก็ไปส่งใบก่อนไง” พี่ชายเสนอด้วยความเป็นห่วง ใบชายกข้อมือขึ้นมาเพื่อคำนวณเวลา ตอนนี้สามทุ่ม หากให้พี่ไปส่งถึงบ้านเขาคงมาทำงานไม่ทันแน่ เธอจึงปฏิเสธ
“ไม่เป็นไร ใบกลับเองได้ เดี๋ยวเรียกรถในแอพเอา”
“ถึงบ้านแล้วก็ไลน์มาบอกพี่” พยักรับทั้งที่สีหน้ายังกังวลเล็กน้อย เขาเอื้อมมือไปโยกหันคนตัวเล็กเบาๆ ก่อนเดินจากไป เพราะด้วยความที่มีเวลามาเป็นตัวกำหนด ทางเลือกก็มีไม่มากนัก ดวงตากลมโตมองประเมินตามสัญชาตญาณ แต่แล้วก็โคลงศีรษะน้อยๆ
แม่อาจคิดมากไป คนเราพอโตขึ้นก็ต้องเปลี่ยนกันทั้งนั่นแหละไม่ใช่รึไง...