5.ข้าทรมานเหลือเกิน
ลั่วฟางเซียนพยายามดึงสติตนกลับคืน แต่กลายเป็นว่าร่างกายนางอ่อนแรงลง ผิดกลับกลีบหวานนุ่มที่ชุ่มฉ่ำเร่าร้อนขึ้น นางรู้สึกว่ามันโหยหาความใหญ่โตของบุรุษ อยากให้เขาโจนจ้วงความแข็งขันอันร้อนลวกเข้าสู่แอ่งเนื้อนิ่ม
ความรู้สึกดังกล่าว ย่อมเป็นเพราะนางได้รับพิษรุนแรง ทั้งที่ป้องกันตนแล้ว ทว่านางยังตื้นเขิน ประมาทศัตรูเกินไป
ตอนนี้ในหัวของลั่วฟางเซียน พยายามคิดถึงสิ่งที่จะช่วยให้ตนรอดพ้นจากสถานการณ์ตรงหน้า
ฝ่ายฉิงไท่ ไม่เอ่ยสิ่งใด เพียงแต่ส่งสายตาคมกริบถึงนาง ส่วนลิ้นสากร้อนกลายเป็นมีดสั้นว่องไว และมันอาบด้วยพิษร้ายซึ่งทำให้นางไม่อาจขัดขืนเขา
“อ๊ะ...ทรมาน ข้าทรมานหรือเกินพี่ไท่”
“เป็นสามีภรรยากัน จะทรมานได้เยี่ยงไร”
ลั่วฟางเซียน ส่ายหน้าปฏิเสธเขาช้าๆ ดูเหมือนร่างกายนางไม่เป็นปกติเสียแล้ว มันไม่เชื่อฟังคำสั่งของคนเป็นนาย
“อี้...ท่าน คิดทำสิ่งใดต่อสตรีผู้นี้”
“ซินเอ๋อร์...ร่วมรักกับพี่ไท่เถิด เจ้าแต่งเข้ามาที่นี่ ย่อมเป็นอนุ...เอ่อเป็นเมียของพี่ไท่”
เมื่อครู่เขาเอ่ยบางสิ่ง และส่งผลให้ลั่วฟางเซียนเกือบปะติดปะต่อความจริงที่เขาลอกลวงเอาไว้ได้
“ข้าเป็นอนุเหยียนของถานป๋อ”
“มิได้ ยามนี้เจ้าเป็นของพี่ไท่ จำไว้บุรุษที่เจ้าจะตกเป็นของเขาชื่อ ฉิงไท่”
เขาว่าเสียงขึงขังแล้วแทรกลิ้นเข้าไปในแอ่งเนื้อหวานฉ่ำ ทั้งดูดติ่งเนื้อ แลบเลียเย้าหยอก สิ่งที่เขาปรนเปรอทำให้ลั่วฟางเซียน แทบขาดใจตาย
สองมือเรียวสวยพยายามไขว่คว้าหาศีรษะเขา อยากผลักไส อยากขัดขืน ทว่าความหวานแหลมและซ่านใจที่ได้รับมันช่างอิ่มเอม
คำถามในหัวผุดขึ้น นางต้องตกเป็นของชายหลังค่อมและขาเป๋ผู้นี้หรือ ลั่วฟางเซียนไม่ใช่หญิงร่านสวาท นางถูกจ้างมาเพื่อสืบเรื่องราวในเรือนหลังนี้ พร้อมจัดการชายชั่วสกุลถาน!
ในขณะที่มึนงงสับสน ความสุขได้ถาโถมเข้าใส่ลั่วฟางเซียนไม่ยั้ง นางพยายามลืมตามองไปรอบๆ ตัว และเห็นว่ามีสายตาแดงก่ำจับจ้องอยู่ ยามนี้นางนอนอยู่บนแท่นหินด้านหน้าเรือนไม้หลังหนึ่ง มันมีบรรยากาศอึมครึม อีกทั้งมีกลิ่นสาปรุนแรงของสัตว์ป่า ผสมกินคาวอ่อนๆ ซึ่งนางคะเนว่าคงเป็นกลิ่นเลือด!
เมื่อตระหนักถึงสิ่งที่ชวนให้ครั่นคร้ามใจ ร่างที่ชวนให้ขวัญเสียงก็เยื่องย่างเข้ามาใกล้ๆ กระทั่งลั่วฟางเซียนตัวแข็งทื่อ
เสียงคำรามของสุนัขป่าดังอยู่ข้างหูนาง พวกมันหายใจเสียงดัง
ลั่วฟางเซียนรู้สึกอับอายและอดสู นางกำลังทำเรื่องน่าละอายกับฉิงไท่ โดยมีสัตว์เดรัจฉานจ้องมองอยู่
“ปะ ปล่อยข้า พะ พี่ไท่...อย่าข่มเหงข้าเช่นนี้”
“มีสิ่งใดที่ต้องปิดบัง พวกเขาคือพี่น้องพี่...เมื่อซินเอ๋อร์เป็นเมียพี่แล้ว เราคือครอบครัวเดียวกัน”
ฉิงไท่เอ่ยจบก็ทำในสิ่งที่ลั่วฟางเซียนต้องตื่นตะลึง เขาเงยหน้าขึ้น แล้วหอน เสียงเขาก้องกังวาน ฟังดูคล้ายเสียงสุนัข
ลั่วฟางเซียนกำลังจะใช้โอกาสดังกล่าวเคลื่อนตัวหลบหนีเขา แต่มือใหญ่คว้าตัวนางไว้ ก่อนเลื่อนขึ้นมาบีบลำคอระหง แล้วออกแรงบีบอย่างไม่ปรานี
หญิงสาวนึกว่าตนคงต้องขาดอากาศหายใจเป็นแน่ เขาป่าเถื่อนทั้งโหดร้ายจนนางขยาดกลัว
ทว่าความรู้สึกเหมือนจะสิ้นลมหายใจเกิดขึ้นเพียงประเดี๋ยวเดียว ด้วยนิ้วใหญ่ๆ สองนิ้วแทงลึกเข้าสู่แอ่งเนื้อนิ่ม แทงแล้วคว้านวนไปมา จนน้ำหวานพรั่งพรูชะโลมนิ้วยาวใหญ่
ดวงตาคมกริบจ้องใบหน้างามล้ำ ยิ่งเห็นนางมีสีหน้าราวกับคนตื่นกลัวและใกล้สลบเหมือด เขาก็สาแก่ใจ
“ซินเอ๋อร์อยากเป็นของพี่ไท่หรือไม่”
“อย่าทำร้ายข้า”
นางร้องประท้วง
“ช่างเบาปัญญา พี่ไท่เพียงแค่อยากทำให้เจ้ามีความสุขในคืนแรกของเรา”
เมื่อเขาเอ่ยถึงตรงนี้ ลั่วฟางเซียนจึงคล้ายตระหนักได้ถึงบางสิ่ง นางมาที่นี่ในฐานะอนุเหยียน เช่นนั้นย่อมมิอาจให้ชายอื่นเข้าหอกับนางได้
“ขะ ข้าคืออนุเหยียนของคนแม่ทัพถาน...”
“หึๆ ๆ ซินเอ๋อร์ เนื้อนิ่มเจ้าฉ่ำเยิ้มด้วยลิ้นของพี่ และสองมือนี้ ยังคิดอยากเป็นของถานป๋ออีกรึ เจ้าช่างไร้ยางอาย!”
ลั่วฟางเซียนขนลุกชันทั้งสรรพางค์กายทั้งรังเกียจคำพูดเขา ก่อนพยายามรวบรวมพลังของตน เพื่อข่มใจไม่ให้หลงระเริงไปกับแรงสิเน่หาและไฟราคะที่ท่วมร่างในตอนนี้
และหญิงสาวไม่ได้ดิ้นขัดขืน ยามนี้นางกลับหลับตาลง แล้วกลั้นลมหายใจ จนร่างกายค่อยๆ อ่อนแรง การกระทำของนางทำให้ฉิงไท่จ้องเขม็งที่ร่างงาม ก่อนปล่อยนางเป็นอิสระ
“เจ้าอ่อนแอถึงเพียงนั้น”
ฉิงไท่เอ่ยจบจึงตบใบหน้างามไปหนึ่งฉาด เพื่อเรียกสตินางหวังให้ฟื้น
“พี่ไท่นิยมเนื้ออุ่นๆ และชุ่มชื่น หากลมหายใจออกจากร่างนี้ ซินเอ๋อร์ก็เป็นได้เพียงเนื้อตายที่ให้พี่น้องของพี่ แทะกระดูกเล่น”
เขาว่าและยิ้มเหี้ยมเกรียม ชีวิตน้อยๆ ที่เขาอยากเล่นสนุกด้วยบอบบางเช่นนี้ ฉิงไท่จึงไม่อยากเสียเวลาอีก เขาเอื้อมมือไปคว้าขวานผ่าฝืนที่อยู่แถวนั้น ตั้งใจสับร่างงดงามให้เป็นชิ้น ๆ และโยนสุนัขป่าที่กำลังจ้องเนื้อหวานอย่างหิวโหย