บทที่ 4 สวย...แต่น่าหมั่นไส้
รถสปอร์ตคันสีดำมันปลาบเคลื่อนเข้าสู่ทิศทางใจกลางเมือง แล้วแล่นเลียบไปตามถนนสายที่ร่มรื่นด้วยต้นไม้ที่ปลูกเป็นทิวแถว ย่านนี้ขึ้นชื่อว่าเป็นที่อยู่อาศัยระดับดี เจ้าของบ้านแต่ละหลังล้วนมีรากฐานมาตั้งแต่เก่าก่อน แค่พูดถึงนามสกุลของเจ้าของบ้าน เชื่อได้เลยว่าเกือบทั้งหมดเป็นที่รู้จักในสังคมไทย...และนั่นก็รวมถึงพ่อเลี้ยงของตุลวัตด้วย
ชายหนุ่มดับเครื่องยนต์เสร็จ เหลือบมองทางกระจกก็เห็นผู้ให้กำเนิดยืนกอดอกรออยู่ที่ระเบียงบ้านสองชั้นที่โอบล้อมด้วยต้นไม้ใหญ่มากมาย บ้านหลังนี้แลคล้ายสวนป่ากลางเมืองใหญ่
“สวัสดีครับแม่”
ตุลวัตยกมือไหว้พลางยิ้มประจบ เพียงแค่นี้คนที่ปั้นหน้าเคร่งก็แทบเปลี่ยนสีหน้าทันที
“เข้ามาในบ้านก่อน แล้วนี่กินอะไรมาหรือยัง หิวไหมลูก”
“นิดหน่อยครับ”
ทีแรกก็ตั้งใจว่าจะไม่รบกวนแม่ แต่พอพูดถึงความหิว ท้องของเขาก็ประท้วงขึ้น...เพิ่งนึกได้ว่าวันนี้เพิ่งได้กินมื้อแรกในตอนสายของวันไปแค่ครั้งเดียว
“ดีทีเดียว แม่ให้เด็กตั้งโต๊ะรอเราแล้ว งั้นไปที่โต๊ะกินข้าวกันเลย”
คุณสินีกระวีกระวาดเข้าไปในบ้าน โดยที่ลูกชายวัยสามสิบปีทอดฝีเท้าเอื่อยตามเข้าไป แล้วเธอก็หันมาทางเขาเหมือนเพิ่งนึกบางอย่างขึ้นมาได้
“โต้งไปบอกคุณอาให้มากินข้าวด้วย คุณอาดูทีวีอยู่ในห้อง”
ตุลวัตไม่ขัดแม่ เขาเดินไปยังห้องพักผ่อนที่รู้ว่าเป็นห้องประจำของแม่และพ่อเลี้ยง พอเข้าไปถึงก็เห็นคนอาวุโสกว่านั่งดูรายการกีฬา แค่ยกมือไหว้ ฝ่ายนั้นก็ทักขึ้นมาก่อน
“ว่ายังไง ไม่เจอหน้ากันเลยนะ”
“คุณอาก็อีกคน ชอบคิดว่าผมหายไปอยู่เรื่อย ทั้งที่เมื่อเดือนก่อนผมก็เพิ่งมากินข้าวที่บ้านนะครับ”
ตุลวัตพูดเชิงเย้า ฝ่ายพ่อเลี้ยงก็หัวเราะเบาๆ พลางโคลงศีรษะ แล้วบอกอย่างไม่เห็นด้วย
“กินข้าวที่บ้านเดือนละครั้ง ใครที่ไหนเขาทำกัน แม่ก็พูดถึงอยู่เรื่อยๆ โต้งต้องมาให้บ่อยกว่านี้ เพราะแม่คิดถึง”
ตั้งแต่เห็นแม่ที่หน้าบ้าน แม้จะตีสีหน้าเข้มไว้แล้ว แต่พอเขามาถึง แม่ก็ปิดแววตาดีใจไม่มิด...
“แล้วผมจะมาให้บ่อยกว่านี้ครับ” ตุลวัตตอบรับอย่างสำนึกได้ แล้วรีบบอกต่อ “เมื่อกี้แม่ให้มาเรียกคุณอาไปที่โต๊ะกินข้าว ผมเกือบลืมทีเดียว”
“งั้นก็ไปกันสิ”
ผู้ชายต่างวัยสองคนพากันเดินไปหาผู้หญิงที่พวกเขารัก แม้ทั้งคู่จะไม่มีความเกี่ยวข้องกันทางสายเลือด แต่ความผูกพันก็เหนียวแน่น ความเข้าใจและความห่วงใยยังมีให้กันเสมอ
อาหารหลักของครอบครัวผ่านพ้นไปแล้ว ชุดของหวานและผลไม้หลังมื้ออาหารก็ตามมา…มะปรางริ้วติดขั้วที่อยู่ในโถแก้วใสถูกนำมาวางไว้ตรงหน้าตุลวัต
“แม่ให้คนไปซื้อมะปรางจากซูเปอร์มาร์เกตก่อนพี่มาถึงไม่นาน พอปอกเสร็จ แม่ก็ยังคว้านเมล็ดแล้วแกะสลักเป็นเปลือกหอยไว้ให้พี่โต้งอีกด้วย”
แม่รู้ว่าเขาชอบกินมะปราง ตั้งแต่เขาเป็นเด็ก แม่ก็บรรจงแกะสลักให้เขาทุกครั้ง แต่พอโตขึ้นมา ชายหนุ่มก็ไม่คิดว่าจะเห็นสิ่งนี้อยู่อีก แม่ยังพิถีพิถันจัดของโปรดไว้ให้เขาเช่นเดิม
ชายหนุ่มมองผลไม้ในโถแก้วนิ่งๆ วูบหนึ่งนั้นก็นึกเปรียบเทียบกับผู้หญิงอีกคน...ผู้หญิงที่เพิ่งเดินออกไปจากชีวิตของเขา โดยที่เขาไม่รู้เนื้อรู้ตัว
“แม่อยากรู้เรื่องของเมใช่ไหมครับ”
“ใช่ โต้งพร้อมจะเล่าให้แม่ฟังหรือเปล่า”
พอถึงเวลาจริงๆ คุณสินีกลับนึกถึงจิตใจลูกชายเป็นสำคัญ เรื่องที่เกิดขึ้นมันหนักพอแล้ว จนเธอไม่มั่นใจว่าการเรียกให้เขามาหาแล้วเล่าเรื่องราวให้ฟังนั้นจะเป็นการตอกย้ำกันมากเกินไปหรือเปล่า
คุณสินีมองรอบโต๊ะอาหาร เห็นสามีนั่งกินผลไม้ด้วยท่าทางเหมือนไม่สนใจ แต่รู้ดีว่าเขากำลังตั้งใจฟัง จนมาถึงลูกสาวคนเดียวที่นั่งเท้าคางรออย่างใจจดใจจ่อ เธอก็เบือนหน้าไปถามลูกชายอย่างเอาใจ
“หรือจะให้น้องออกไปก่อน”
“คุณแม่! ทำไมมาไล่กันอย่างนี้ แต้วไม่ไปหรอก พี่โต้งก็เป็นพี่ของแต้ว แต้วจะอยู่ฟังด้วย”
ศวรรยาอุทานเสียงดัง ทำหน้างอง้ำอย่างให้รู้ว่าไม่ชอบใจที่ถูกกันออกจากวง เพราะไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นกับทุกคนในครอบครัว เธอก็ต้องมีส่วนร่วมด้วย
“ผมยังไม่รู้อะไรมาก รู้แต่ว่าเมหายไป และผมก็ยอมรับการตัดสินใจของเธอ เธอขายคอนโดที่ผมซื้อไว้ให้ การขายของพวกนี้ต้องใช้เวลา แสดงว่าเธอวางแผนมาก่อนแล้ว”
“ทั้งสองคนมีเรื่องขัดแย้งกันหรือเปล่า”
เพราะกลางปีนี้ ลูกชายกับผู้หญิงคนนั้นวางแผนจะแต่งงานกัน แต่จู่ๆ ฝ่ายหญิงก็หนีหาย คุณสินีนึกสงสัยถึงต้นเหตุของเรื่องที่เกิดขึ้น
“ไม่มีครับ”
ตุลวัตส่ายหน้า ดวงหน้าคมสันก้มมองจานอาหารตรงหน้า มะปรางคว้านเมล็ดฝีมือของแม่วางอยู่อย่างพร้อมรับประทาน
“มันแย่ตรงที่ผมไม่รู้ว่าเรามีปัญหากันหรือเปล่า เมอาจจะมีแต่ผมไม่รู้ก็ได้ ผมคบกับเมโดยที่เข้าใจว่าความสัมพันธ์ของเราสองคนราบรื่นดี เราไม่เคยทะเลาะกัน เมอยากได้อะไรผมก็หาให้ทุกอย่าง”
“ไม่เคยทะเลาะกัน ไม่เคยขัดใจกันเลยหรือ”
คราวนี้คุณนิธิเงยหน้าขึ้นมาถาม แล้วลูกเลี้ยงหนุ่มก็พยักหน้าตอบรับ
“ครับ ผมตั้งใจรักษาความสัมพันธ์ของเราให้ราบรื่นดี เพราะผมคิดว่าการเริ่มต้นครอบครัวที่ไม่มีความขัดแย้ง จะนำไปสู่ปลายทางดีๆ”
“อากับแม่ของนายทะเลาะกันประจำ”
คุณนิธิพูดต่อ แล้วมีเสียงปรามจากคู่ชีวิตตามทันควัน
“คุณคะ เรากำลังพูดถึงเรื่องของลูก”
“พ่อแม่ทะเลาะกัน แต่แต้วไม่ซีเรียสค่ะ ขอแค่อย่าตบตีกันจนบ้านแตกก็พอ ล่าสุดเมื่อคืนตอนดึกคุณพ่อแอบลงมากินไอศกรีมในครัว แล้วคุณแม่ย่องตามมาแย่งไปจากมือ คุณแม่ทิ้งไอศกรีมลงถังขยะเลยค่ะ เพราะหมอสั่งให้คุณพ่อควบคุมน้ำตาล แต่คุณพ่อก็ยังโวยวายลั่นบ้าน”
พอพูดจบ ลูกสาวคนเล็กของบ้านก็กลอกตามองเพดาน ก่อนจะตบท้ายด้วยการทอดถอนใจ ส่วนหัวหน้าครอบครัวนั้นถึงกับหัวเราะร่วน
“อาคงไม่ต้องอธิบายแล้วนะ อย่างที่น้องเล่าให้ฟัง คนเราถ้าอยู่ด้วยกันก็ต้องปล่อยตัวเองไปตามสบาย อะไรถูกอะไรผิดก็ค่อยมาปรับกัน แต่ถ้าตั้งใจมากเกินไป มันจะตึงเครียดจนกลายเป็นความสัมพันธ์ที่ไม่สะดวกสบาย ทำให้อึดอัดใจกัน”
คุณนิธิไม่ได้สรุปจากคำพูดแค่ 2-3 ประโยคของตุลวัต แต่เพราะเขามองเห็นความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่มานานแล้ว
“ผมผิดใช่ไหม”
“เรื่องพวกนี้ไม่มีใครผิดหรือถูก มันแทบไม่มีเหตุผลให้มองหาด้วยซ้ำ ถ้าเราต่างเป็นคนที่ใช่ต่อกัน ก็ไม่ต้องมีฝ่ายใดพยายามหรือตั้งใจประคองความสัมพันธ์จนเกินไป”
“ตอนแต้วโทร.ไปหา พี่โต้งยังบอกว่าไม่รู้ว่าตัวเองเสียใจหรือเปล่าด้วยซ้ำค่ะคุณพ่อ แต่รู้ว่าเสียหน้าและเสียความรู้สึกมาก”
น้องสาวได้ทีก็ฟ้องจ๋อยๆ พี่ชายก็แกล้งยกกำปั้นขึ้นต่อยเบาๆ ที่ต้นแขน จนคนช่างฟ้องได้แต่ค้อนปะหลับปะเหลือก
“ถ้าลูกไม่เสียใจ แม่ก็ดีใจ” คุณสินีพูดเปรยเบาๆ
“ลูกเสียใจหรือไม่ก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของเขา ความรู้สึกของคนมันเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา อย่าไปกะเกณฑ์ให้เขาต้องรู้สึกหรือไม่รู้สึก” คุณนิธิพูดให้ได้คิด ก่อนจะถามต่อถึงเรื่องที่คิดว่าสำคัญไม่แพ้กัน “แล้วข้าวของล่ะ มีอะไรหายไปบ้างไหม”
“เท่าที่รู้ตอนนี้ก็มีคอนโดที่ผมซื้อให้เมครับ คอนโดนั้นเป็นชื่อของเม เขาขายแล้วเอาเงินไป”
“ดีนะที่ห้องชุดในตึกที่พี่อยู่ยังเป็นชื่อของพี่”
ศวรรยาพูดขึ้นบ้าง ตุลวัตก็พยักหน้ารับ เขาเชื่อว่าถ้าโอนให้เป็นของเมวิกา มันก็จะถูกขายไปด้วยอย่างแน่นอน
“ผมเสียความรู้สึก พอเกิดเรื่องนี้ขึ้น ผมรู้สึกเหมือนไม่เคยรู้จักเม”
“แล้วตอนนี้ผู้หญิงคนนั้นอยู่ที่ไหน โต้งรู้ไหม”
“อยู่ที่สิงคโปร์ครับ ผมรู้ที่อยู่ของเธอ แต่ไม่อยากยุ่งด้วยแล้ว”
“ดีแล้ว”
คุณสินีบอกอย่างพอใจ และตุลวัตก็สมัครใจที่จะเล่าแค่นี้
เมวิกาเคยเป็นคู่หมายที่เขาจะแต่งงานด้วย ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นกับหล่อน ในฐานะที่แม่เป็นผู้ใหญ่ของเขาก็ควรได้รับรู้ด้วย
ส่วนผู้ชายอีกคน...จากหลักฐานที่สืบมาได้ ทำให้ตุลวัตรู้ว่านายคนนี้ย้ายไปอยู่ที่สิงคโปร์เช่นเดียวกับเมวิกา ชายหนุ่มเชื่อเต็มร้อยว่าสองคนนี้มีส่วนรู้เห็นกันแน่นอน
ห้องชุดเลขที่ 523 เดิมตุลวัตตั้งใจจะให้เป็นที่อยู่ของเมวิการะหว่างที่ทั้งสองคนคบหากัน เขาอยากให้หล่อนมีพื้นที่ส่วนตัวแต่เมวิกาบอกว่าถูกใจห้องชุดอีกแห่งมากกว่า เขาจึงตามใจ จัดการซื้อให้เป็นของหล่อน ส่วนห้องชุดนี้ หญิงสาวก็จัดหาคนเช่ามาอยู่แทน และคนคนนั้นก็คืออทิน
ไม่มีทางที่ความเป็นไปของคนทั้งคู่จะเป็นแค่เรื่องบังเอิญ เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันสอดคล้องกันมากเกินไป