14 พ้นภัย
“หยุดร้องก่อน มีคนกำลังมา” และเขาก็มั่นใจว่าไม่ใช่คนงานในไร่ที่เขาให้ออกตามหาเธอแน่ เพราะถ้าเป็นคนงานในไร่แล้วก็จะต้องเปิดไฟเพื่อตามหาเธอหรือไม่ก็ต้องส่งเสียงร้องเรียกเธอดังๆ แต่นี่ไม่มีสักอย่างที่บ่งบอกว่าเป็นคนของเขา อาจจะเป็นคนข้างนอก หรือไม่ก็พวกขี้ยาแถวนี้ หรืออาจเป็นคนของไร่ข้างๆ ที่ชอบมาทำลายไร่องุ่นของเขา มือหนาเลื่อนไปจับกระบอกปืนที่เหน็บไว้ข้างเอวสอบไว้แน่นย่างระวังภัย
เสียงที่เขาได้ยินเธอเองก็ได้ยินเช่นกัน แขนเรียวโอบรอบเอวเขาแน่นด้วยความกลัว ใบหน้าสวยซุกซบเข้าหาอกแกร่งของเขา ก่อนจะเอ่ยบอกเขาเสียงแผ่วเบา
“ฮึก เป็นพวกมันค่ะ คนที่ทำร้ายขวัญ”
“พวกมันน่าจะกำลังตามหาขวัญมา” วายุพยักหน้ารับก่อนจะตั้งใจฟังเสียงฝีเท้าที่เริ่มดังเข้ามาเรื่อย ๆ มือหนาที่จับปืนอยู่กระชับมันแน่นมากขึ้น และนิ้วสอดเข้าไกปืนเตรียมพร้อมที่จะลั่นไกลตลอดเวลาหากมีอะไรไม่ชอบมาพากล
“ออกมาเถอะคนสวย”
“พวกพี่ไม่ใจร้ายหรอก”
“จะพาน้องไปขึ้นสวรรค์ด้วยซ้ำ”
“ใช่ไหมพวกมึง ฮ่าๆ” เสียงพูดคุยดังไปทั่วบริเวณคำพูดที่เอ่ยออกมาไม่รู้สึกผิดบาปในใจเลยแม้แต่น้อยที่จะข่มเหงรักแกผู้หญิงไม่มีทางสู้ ทำอย่างกับมันเป็นเรื่องสนุก เป็นเรื่องตลกขบขัน เป็นเรื่องปกติ ทั้งที่มันไม่มีความปกติเลยแม้แต่น้อย พวกนี้มันเกินเยียวยาจริงๆ ไอพวกสารเลว เธอได้แต่ก่นด่าสาปแช่งพวกมันในใจ ขออย่าให้พวกแกตายดี ไอพวกชั่ว!
“กูรู้ว่ามึงอยู่แถวนี้ ออกมาซะดีๆ ถ้าไม่อยากมีผัวทีเดียวสิบคน!”
“มึงพูดแบบนั้นนางฟ้ากูก็กลัวน่ะสิวะ คนสวยอย่าไปฟังเพื่อนพี่เลยมันปากหมา ฟังพี่ดีกว่าพี่จะพาเราขึ้นสวรรค์เอง”
“นั่นสิออกมาเถอะคนสวย ตอนที่พวกพี่ยังใจดีๆ กันอยู่” คำพูดแสนน่าเกลียดถูกพ่นออกมาจากเหล่าชายฉกรรจ์ไม่หยุด จนคนฟังเองก็เริ่มที่จะทนไม่ไหวแล้วเช่นกัน มือหนาที่ว่างจากการจับปืนขบเข้าหากันแน่นพยายามระงับอารมณ์ที่กำลังเดือดพล่านภายในใจอย่างสุดความสามารถ เพราะเขาไม่รู้ว่าพวกมันมากันกี่คนและมีอาวุธอะไรติดตัวมาบ้าง หากทำอะไรวู่วามจากที่จะได้ช่วยเธอกลับพาอันตรายมาหาเธอก็เป็นได้!! แต่จะให้มาทนฟังพวกมันพูดจาทุเรศๆ แบบนี้ เขาก็ไม่สามารถที่จะทนไหวเช่นกัน สมองอันชาญฉลาดที่มักคิดแก้ปัญหาได้ดีมาตลอด ใบหน้าหล่อเหลาดูเคร่งเครียดขึ้นเมื่อต้องนึกหาทางออกว่าจะทำอย่างไรถึงจะพาเธอออกไปจากที่นี่อย่างปลอดภัย และพวกมันตามมาไม่เจอหรือหากพวกมันตามมาทัน…ก็ต้องมีวิธีที่พวกเขาจะเอาตัวรอดได้ ‘คิดสิไอวินท์ คิดสิวะ มันต้องมีทางออก’ ใช่มันมีทางออก
“เธอพอมีแรงอยู่บ้างไหม” เสียงทุ้มเอ่ยถามคนในอ้อมกอดแผ่วเบาด้วยกลัวว่าพวกมันจะหูดีมาได้ยิน
ใบหน้าสวยพยักหน้าน้อยๆ ตอบเขาไป เธอพอจะมีแรงอยู่บ้าง เขาคงคิดหาทางที่จะพาเธอหนีไปจากพวกนี้อยู่เธอจึงพยักหน้ารับ แม้แรงที่มีจะน้อยนิดก็ตามแต่เธอเชื่อว่าเมื่อถึงเวลาจริงๆ เธอจะพอฮึดสู้ได้บ้าง
“หลังจากฉันยิงปืนขึ้นสองนัด เธอรีบเข็นฉันเข้าไปในไร่ แล้วเธอก็วิ่งไปตามทางนั้นวิ่งต่อไปห้ามหยุด อีกไม่นานจะมีคนมาช่วย” มือหนาชี้ไปตามทางที่เขาจะให้เธอวิ่งไป แม้จะมืดแต่เขาเชื่อว่าเธอคงจะเข้าใจในสิ่งที่เขาสื่อว่าวิ่งไปทางนั้น และวิ่งต่อไปห้ามหยุด
“ไม่ค่ะฉันจะอยู่กับคุณ ฮึก ฉันจะไม่หนีไปคนเดียวและทิ้งคุณไว้เด็ดขาด” ใบหน้าหวานเต็มไปด้วยหยาดน้ำตาเงยหน้าขึ้นมองเขาผ่านความมืด สายตาจดจ้องไปในดวงตาคู่คม เธอจะไม่ยอมทิ้งเขาไว้แล้วหนีไปคนเดียวแน่และการมีเขาอยู่ข้างกายแม้จะได้รับอันตรายแต่เธอก็รู้สึกปลอดภัยกว่าที่จะต้องไปคนเดียวและไม่รู้ว่าหลังจากที่เธอวิ่งออกไปแล้วเธอจะเจอกับอะไรและเขาจะเจอกับอะไรบ้าง
“เชื่อใจฉันนะ เธอจะต้องปลอดภัย จะมีคนงานของฉันมาช่วยเธอ”
มือหน้ายกขึ้นประคองใบหน้างามผ่านความมืด ก่อนจะใช้นิ้วเกลี่ยเช็ดน้ำตาให้เธออย่างอ่อนโยน
“ขวัญ เชื่อใจพี่นะ”
“ฮึก แล้วคุณวินท์ละคะ คุณจะไม่เป็นอะไรใช่ไหมคะ ฮือ”
“พี่ไม่เป็นไร แต่ขวัญต้องวิ่งต่อไปอย่าหยุด ไม่ว่าจะได้ยินอะไรก็ตามแต่ ห้ามหยุดจนกว่าจะเจอคนงานของพี่”
“เข้าใจไหม”
“พี่วินท์สัญญานะคะ ว่าจะกลับมาหาขวัญ กลับมาอย่างปลอดภัย” สรรพนามที่เขาใช้เรียกแทนตัวเองนั้นมันทำให้เธออบอุ่นใจ และรู้สึกปลอดภัยอย่างประหลาด ใจดวงน้อยเต้นไม่เป็นจังหวะ กับคำพูดของเขาน้ำเสียงทุ้มอ่อนโยน ไม่ได้ดุดัน ว่าร้ายเธออย่างแต่ก่อน มันทำให้เธอกล้าที่จะเรียกเขาอย่างที่เขาแทนตัวเอง เธอจะเชื่อใจเขาดูสักครั้ง หวังว่าครั้งนี้ทุกอย่างจะดำเนินไปได้ด้วยดีเป็นไปตามที่เขาคาดการณ์ไว้
“ครับ พี่สัญญา” ริมฝีปากหนาจุมพิตเบาๆ ที่หน้าผากมนเพื่อให้คำมั่นสัญญา
“พร้อมไหม” สายตาคมจดจ้องไปที่ดวงตาคู่สวยผ่านความมืด ก่อนจะเอ่ยถามความพร้อมจากเธอเพื่อเริ่มแผนการหลังจากที่พูดคุยตกลงกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“ค่ะ” สิ้นเสียงหวานใส กระบอกไฟฉายในมือถูกเปิดออกให้สว่างขึ้น ก่อนที่มันจะถูกโยนไปยังทิศทางตรงกันข้ามกับทางที่เธอต้องวิ่งหนีไป
“อุดหูไว้” เสียงทุ้มเอ่ยบอกหญิงสาวที่ยืนเตรียมพร้อมที่จะเข็นรถเข็นของเขาอยู่ด้านหลัง
ปัง ปัง
เสียงปืนที่ดังขึ้นสองนัด ทำให้เหล่าชายฉกรรจ์ที่กำลังวิ่งไปตามแสงสว่างของไฟฉายสะงักฝีเท้าไว้ ก่อนจะหันมองหน้ากันเลิ่กลั่กอย่างไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี จะตามไฟฉายหรือจะตามเสียงปืนไป แต่เสียงปืนในตอนค่ำคืนที่ดังไปทั่วบริเวณ มันทำให้พวกเขาจับจุดยากว่าที่มาของต้นเสียงนั้นมาจากทางไหน อีกทั้งสติที่ไม่ครบถ้วนเพราะมีสารเสพติดอยู่ในร่างกายทำให้ความคิด
ที่จะตามเสียงปืนไปนั้นยิ่งยากเข้าไปอีก อีกทั้งไม่รู้ว่าต้นตอของเสียงนั้นเป็นฝีมือของเขา ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัวสำหรับสมองขี้เลื่อยอย่างพวกเขา
“โธ่เว้ย! แยกย้ายสิวะ ยืนให้พ่อมาจับมึงรึไง ไป!!”
ทางด้านหญิงสาวที่เข็นรถเข็นของเขาไปจอดไว้ในมุมอับใกล้ต้นองุ่นใกล้ๆ ก็รีบวิ่งออกมาตามที่เขาบอกเธอไว้วิ่งอย่างไม่คิดชีวิตแม้ใจจะพะว้าพะวงเป็นห่วงคนที่อยู่ข้างหลัง แต่หากเธอหนีพวกมันมาไม่พ้นอาจจะไม่ใช่เธอที่เป็นอันตรายคนเดียวอย่างทีแรก เขาก็จะเป็นอันตรายไปกับเธอด้วย คิดได้ดังนั้นก็ฮึดสู้ครั้งแล้วครั้งเล่า เพื่อรวบรวมแรงทั้งหมดที่มีมาวิ่งต่อไป หวังในไม่ช้าว่าจะพบคนของเขาตามที่เขาบอก และในที่สุดความหวังของเธอก็เป็นจริง เมื่อวิ่งมาได้สักพักก็เจอกับดวงไฟหลายๆ ดวง คาดว่าจะเป็นกลุ่มคนงานที่ออกตามหาเธออย่างที่เขาบอก รอยยิ้มน้อยๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าเมื่อวิ่งเข้าไปใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ก็ได้ยินเสียงเรียกของเธอชัดเจนมากขึ้น ไม่ผิดแน่ เป็นคนของเขาอย่างที่เขาบอกจริงๆ
‘ฮึก ขวัญเจอพวกเขาแล้วค่ะพี่วินท์ ขวัญเจอแล้ว รอขวัญก่อนนะคะ ขวัญจะรีบไปหาพี่’
“หนูขวัญ!!” เสียงของป้าเล็กหัวหน้าคนงานดังขึ้นเมื่อตนและพวกนั้นวิ่งมาตามเสียงปืนสองนัดที่ดังขึ้น ก่อนที่แสงสว่างจากกระบอกไฟฉายของเธอจะส่องสว่างไปปะทะร่างบางที่ตนและทุกๆ คนกำลังตามหาอยู่ หญิงวัยกลางคนรีบถลาเข้าไปหาหญิงสาวที่อยู่ในสภาพอิดโรยเนื้อตัวมอมแมมทันที
พรึบ
“ป้าเล็กคะ คุณวินท์ คุณวินท์…” นิ้วเรียวยกขึ้นชี้ไปยังทางที่ตนจากมาและมีใครอีกคนรออยู่ที่นั่น ก่อนที่ทุกอย่างจะดับมืดไป
“หนูขวัญ หนูขวัญได้ยินป้าไหม” เธอตบกำลังจะตบหน้าหญิงสาวเบาๆ เพื่อเรียกสติให้ แต่มือเหี่ยวย่นต้องชะงักข้างไว้เมื่อสายตาปะทะเข้ากับรอยแดงใหญ่รูปฝ่ามือบริเวณแก้มนวล ซ้ำยังมีเลือดแห้งน้อยๆ ติดกรังอยู่ที่มุมปาก ใบหน้างามข้างที่คาดว่าจะถูกตบตามร่องรอยของบาดแผลนั้นบวมเล็กน้อย เธอเลยเลือกที่จะเขย่าตัวหญิงสาวเบาๆ เพื่อเรียกสติเท่านั้น
“พ…พี่..วินท์” สติที่มีครั้งสุดท้ายเอ่ยพูดชื่อของเขามือน้อยพยายามยกขึ้นชี้ไปยังทิศทางที่ที่เธอเดินจากมา
“หนูขวัญ หนูขวัญ”
“ไอ่ใหญ่ เองพาคนงานเดินไปทางนู้น”
“เดี๋ยวแม่พาหนูขวัญกลับไปก่อน” เสียงปืนที่ดังขึ้นทำให้เธอรู้สึกไม่ดีกลัวว่าจะมีคนเป็นอันตรายหรือได้รับบาดเจ็บ อีกทั้งหญิงสาวในอ้อมแขนยังพร่ำเพ้อพูดชื่อพ่อเลี้ยงหนุ่มของเธอไม่หยุดอีกด้วย แบบนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่ พ่อเลี้ยงอาจจะเจอเธอเข้าและช่วยเธอไว้ก็เป็นได้ แต่ที่เธอเห็นหญิงสาววิ่งหนีมาคนเดียวแบบนี้ก็ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ สภาพของหญิงสาวในอ้อมแขนเธอก็ดูไม่ได้เลยทีเดียว ขออย่าให้มีใครเป็นอะไรด้วยเถิด…